หนังสือแนะนำให้อ่าน โดย CEO ระดับโลก

ผมว่าบางครั้งหลายๆคนน่าจะเป็นเหมือนกันว่าอยากเดินไปร้านหนังสือ แล้วก็ค่อยๆเดินดูตามชั้นหนังสือหมวดต่างๆ เปิดดูเนื้อหาข้างในสักหน้าสองหน้า แล้วค่อยเลือกซื้อ นี่คือหนึ่งในวิธีการหาหนังสือสักเล่มของผม แต่สมัยนี้การซื้อออนไลน์มันสะดวกมาก และถึงแม้ว่าการออกไปเดินในร้านหนังสือมันจะเพลิดเพลินเพียงใด เราก็คงทำบ่อยๆไม่ได้

พวกคำนิยมที่อยู่หน้าแรกๆของหนังสือนั้น ผมแทบจะไม่สนใจเลย หรือบางทีก็ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ บางทีมันอดคิดไม่ได้ว่า คนที่เขียนคำนิยมเหล่านั้นได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆไหม รีวิวจากคนทั่วไปที่ไม่ได้ส่วนได้ส่วนเสียจากหนังสือเล่มนั้นเลยน่าเชื่อถือมากกว่า

ผมมีวิธีเลือกอ่านหนังสือแบบนี้ครับ (บางทีก็แค่อยากซื้อมาเก็บเฉย) ซึ่งก็พอจะสรุปเป็นข้อๆได้ประมาณนี้ครับ

  • หนังสือที่ถูกกล่าวถึงหรือถูกอ้างอิงในหนังสืออีกเล่มที่เคยอ่าน ทำให้หนังสือแต่ละเล่มมักจะมีการเชื่อมโยงถึงกัน ยกตัวอย่างเช่น เราอ่านหนังสือประวัติของ Isaac Newton ในหนังสือบอกว่า The Principia คือ ผลงานปฎิวัติวงการของเขา หนังสือที่เราอยากอ่านเล่มต่อไปย่อมเป็น The Principia หรือไม่ก็หนังสือที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับ The Principia (แค่ยกตัวอย่างนะครับ มิอาจเอื้อม แต่ก็อยากซื้อมาประดับชั้นหนังสือนะ)
  • ผลงานของนักเขียนคนเดิม บ่อยครั้งที่จะดูว่านอกจากเล่มที่กำลังอ่านอยู่นั้น มีผลงานอื่นอะไรอีกที่น่าสนใจ เช่น เราอ่าน Surely You’re Joking, Mr. Feynman! เป็นไปได้หรือที่จะไม่ตามอ่าน What Do You Care What Other People Think?
  • ในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Goodread, Time, Nature, Wired, etc. ก็มักจะมีลิสต์หนังสือแนะนำให้เลือกติดตาม ในช่วงหลังๆที่ไม่รู้ว่าจะหาหนังสืออะไรมาอ่าน ช่องทางนี้ถูกเลือกใช้บ่อยๆ

นอกจากนี้ คนดัง ผู้มีอิทธิพลของโลก มหาเศรษฐี CEO หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ ก็มักจะมีหนังสือแนะนำกันทั้งนั้น ปีที่แล้ว Mark Zuckerberg ก็ลิสต์หนังสือที่เปลี่ยนใหม่ทุกๆ 2 สัปดาห์ สุดท้ายได้ออกมา 23 เล่ม Ayearofbooks.net

แต่ถ้าอยากรู้ว่า CEO แต่ละคน เช่น Mark Zuckerberg, Sam Altman, Bill Gates, Larry Page, Elon Musk, etc. มีลิสต์หนังสือแนะนำอะไรบ้าง เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์นี้ Bookicious.com

Book Collections Bookicious

ใน Bookicious จะเป็นการแนะนำหนังสือแบบรวบร่วมจากสื่อต่างๆ ที่ CEO แต่คนเคยบอกไว้ หรือเคยในสัมภาษณ์ไว้ ทำให้เราง่ายที่จะติดตามหนังสือตามบุคคลที่เราสนใจ หนังสือบางเล่มก็ได้รับการแนะนำจากหลายคน เช่น Sapiens by Yuval Noah Harari, The Innovator’s Dilemma by Clayton M. Christensen เป็นต้น ถ้าหลายคนแนะนำ แสดงว่าหนังสือเล่มนั้นก็น่าจะได้รับการการันตีในระดับหนึ่งว่าต้องดีแน่ๆ

แต่คนที่อยากพูดถึงเป็นพิเศษ นั้นคือ Bill Gates ดูจะเป็นคนที่จริงจังกับการอ่านมากที่สุด เขามีบล็อกที่เขียนรีวิวถึงหนังสือที่เขาอ่านอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็ทำออกมาเป็นลิสต์ให้ได้ตามอ่านกันเลย และหนังสือก็มีหลากหลายแนว จึงขอแนะนำสำหรับคนที่คิดอะไรไม่ออก และกำลังตามหาลิสต์หนังสือน่าอ่านครับ

ตามไปดูหนังสือของ Bill Gates ได้ที่ Gatesnotes.com

Book reviews by Bill Gates

เคยอ่านคำแนะนำของคนที่อ่านหนังสือเก่งๆว่า ถ้าหนังสือเล่มไหนที่เราอ่านแล้วไม่สนุก ก็อย่าพยายามอ่านมันต่อ แค่ไปหาเล่มอื่นที่ใช่กว่ามาอ่านแทน ทำแบบนี้จะทำให้เราสนุกและไม่เบื่อการอ่านเลย ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

MR.ROBOT ซีรี่ย์สนุกที่ขอแนะนำครับ

Mr. Robot (TV series)

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่งดูซีรี่ย์เรื่อง MR.ROBOT อีกครั้ง หลังจากเคยดูมาแล้ว 2 ตอนเมื่อนานมาแล้ว แต่หยุดไปด้วยที่ยุ่งมาก เลยต้องกลับมาดูใหม่ตั้งแต่ต้น

เนื้อเรื่องโดยย่อ “เกี่ยวกับวิศกรหนุ่ม ที่กลางวันทำงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ส่วนกลางคืนเป็นแฮคเกอร์ ด้วยความสามารถในการแฮคที่เก่งมากๆ ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับกลุ่มแฮคเกอร์ที่มีอิทธิพล โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบการเงินของโลก ด้วยการโจมตีศูนย์ข้อมูลของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ดูแลข้อมูลทางด้านการเงินของคนเกือบทั้งโลก”

การเดินเรื่องใช้ตัวเอกบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เหมือนเราได้ยินความคิดของเขา (นึกถึงหนังไทยเรื่อง ฟรีแลนซ์ ก็ได้) บางเรื่องมันเสียดสีสังคมได้ดีมาก เช่น การใช้ชีวิตอยู่กับโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ค ใครที่ไม่เล่นพวก FB, Instagram กลายเป็นคนประหลาด แต่ที่ประหลาดกว่า คือ นั้นเป็นช่องทางที่คุณเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณเองให้กับใครที่คุณก็ไม่รู้(แฮคเกอร์)โดยสมัครใจ

ที่น่าแปลกอีกอย่าง คือ ตัวพระเอกของเราเป็น โรคเกลียดการเข้าสังคม ไปไหนมาไหนต้องใส่ฮูดตลอด พูดน้อย ไม่ยอมแม้จะให้ใครแตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ ถึงขั้นต้องกินยาและรับการบำบัด แต่เขากลับรู้จักตัวตนของทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาอย่างดีผ่านการแฮคข้อมูลของคนๆนั้น (ใช่แล้ว พระเอกมันแฮคทุกคน) ตอนที่พระเอกสารภาพว่าทำไมเขาต้องแฮค มันทำให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีอำนาจมากๆในมือเป็นคนที่น่าสงสารมากๆในเวลาเดียวกัน

ช่วงตอนกลางๆของเรื่อง รู้สึกว่าหลายๆเรื่อง ตัวละครมันทำอะไรดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย ทำให้รู้สึกเนื่อยๆ แต่…..พอเรื่องต่างๆเปิดเผยออกมาตอนช่วงท้ายๆ ทำให้เรื่องที่เคยคิดว่าไร้เหตุมันลงตัวมากๆ ซะงั้น…..

สรุปแนะนำให้ดูครับ สนุกมาก

ชอบ Quote นี้มากๆ ของก๊อบมาวางเลยนะ

What I’m about to tell you is top secret. A conspiracy bigger than all of us. There’s a powerful group of people out there that are secretly running the world. I’m talking about the guys no one knows about, the ones that are invisible. The top 1% of the top 1%, the guys that play God without permission. And now I think they’re following me.

Season 2 กำลังจะมาในเร็วๆนี้

https://www.youtube.com/watch?v=YibylhkLwGo

ทดสอบระบบจำลองภาพถ่ายจากฟิล์มของ Fujifilm X70 (ขาวดำ)

ผมเข้าใจความสำคัญของการถ่ายภาพขาวดำมากขึ้นตอนได้ถ่ายภาพ Portrait ของเพื่อนชาวต่างชาติ ที่ไม่ได้มีสีผิว สีผม สีตา เหมือนเราชาวเอเชีย การเลือกถ่ายภาพขาวดำแบบมาตรฐานได้ภาพออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้ครับ เช่น เพื่อนคนที่มีผมสีส้มอ่อน ตอนถ่ายเป็นขาวดำออกมาทั้งหัวและคิ้วขาวโพนดูไม่มีคอนทราสเลย สีตาด้วยเช่นกัน ทำให้ภาพดูแปลกๆครับ การเลือกแบบมีฟิวเตอร์ด้วยทำให้ได้ภาพที่ดีขึ้นเยอะเลยครับ

ในกล้อง Fujifilm X70 มีระบบจำลองภาพถ่ายจากฟิล์มมาให้ด้วย ที่ผมสนใจคือ ภาพถ่ายขาวดำ ซึ่งมีมาให้เลือกตั้ง 4 แบบ คือ

  • Monochrome : ภาพขาวดำแบบมาตรฐาน
  • Monochrome+Y filter : ภาพขาวดำแบบเพิ่ม contrast เล็กน้อย และลดโทนสว่างของท้องฟ้าเล็กน้อย
  • Monochrome+G filter : ภาพขาวดำแบบเพิ่ม contrast และลดโทนสว่างของท้องฟ้า
  • Monochrome+ R filter : ภาพขาวดำที่ทำให้โทนสีผิวดูนุ่มนวลมากขึ้น

อ่านรายละเอียดแล้วก็งงนิดหน่อย เลยจับมาถ่าย RGB บนหน้าจอคอมดูเลย ซึ่งก็ทำให้เข้าใจโทนขาวดำจากแต่ละโหมดได้มากขึ้นครับ

Fujifilm black and white film simulation

ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพขาวดำครับ

(รีวิว) ชอบ ไม่ชอบ Fujifilm X70 ตามใจคนใช้งาน

จุดที่ชอบ ไม่ชอบ ในกล้อง Fujifilm X70

หลังจากใช้ Fujifilm X70 มาได้ราวๆสัปดาห์หนึ่ง มาอัพเดตว่าจุดไหนที่ชอบและจุดไหนที่ไม่ชอบ แต่โดยรวมชอบมากๆ มีจุดขัดใจนิดหน่อยที่คิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้อีกอยู่บ้าง กล้องนี้เป็นกล้องใหม่หลังจากใช้ Canon มานาน น่าจะ 4-5 ปีได้แล้ว การคอนโทรลกล้องแรกๆก็งง ต้องเอาคู่มือมาเปิดอ่าน ต้องทำความเข้าใจกับวิธีการตั้งค่าต่างๆที่ไม่มีในกล้องเดิม เช่น Dynamic range, Highlight tone, Shadow tone, Auto ISO และอื่นๆ ความจริงก็พอรู้ความหมายของมันอยู่บ้าง แต่การตั้งค่าและการใช้งานในกล้องยังไม่เคยใช้มาก่อน จะถ่ายเป็น RAW ไว้เลยก็ได้นะ แต่พอมันเป็น Compact camera ก็อยากจะจบหลังกล้องไปเลย ถ่ายเสร็จแชร์เลยไม่ต้อง Process อีกแล้ว อันไหนพิเศษก็ค่อยเปลี่ยนเป็น RAW ตามโอกาสแล้วกัน ไม่อยากเปลืองพื้นที่เก็บไฟล์ในคอมพิวเตอร์มากนัก (เพราะถ่ายเยอะอยู่แล้ว) อันที่สรุปข้างล่างนี้ คือว่าพอใช้ไปเจออะไรก็จดบันทึกมาเรื่อยๆ เอามารวมกันได้ราวๆนี้ ถ้าเจออีกจะเอามารวมไว้ที่บล็อกนี้แล้วกัน

จุดที่ชอบ

  • ไฟล์คุณภาพเยี่ยม ภาพเก็บรายละเอียดได้ดี คม จัดการ Noise ได้ดีมาก ไม่เคยคิดในชีวิตจะถ่ายภาพ ISO เกิน 400 ได้
  • ขนาดภาพ 16MP พอดี อัพโหลดฟรีใน Google Photo (ที่เป็นตัวหลักของผมในการเก็บภาพ) แบบไม่ต้องกินพื้นที่และไม่ต้องย่อ คืออัพได้เลย แมทกับชีวิตประจำวัน
  • ขนาดเล็กเบา ห้อยคอได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อย
  • เร็วทั้งการปิดและเปิดแล้วพร้อมถ่าย โฟกัสก็เร็ว เทียบกับกล้องตัวเก่าที่ใช้อยู่ ถ้าถ่ายแบบ live view เร็วคนละเรื่องเลย
  • ระบบการวัดแสง และการทำงานอัตโนมัติฉลาด ทำให้ภาพที่ถ่ายไม่เสีย ส่วนหนึ่งเพราะมันตั้งความเร็วชัตเตอร์อัตโนมัติต่ำสุดได้, ISO Auto ไม่เกินที่กำหนดได้ เลยทำให้ภาพออกมาดีที่สุดในสภาพแสงนั้นได้
  • เสียงชัตเตอร์เงียบ ไม่รบกวนแบบ ถ่ายในห้องสมุดได้เลย
  • เอารูปโหลดเข้ามือถือได้ง่าย พร้อมอัพขึ้นโซเซียลในทันที
  • การควบคุมการใช้งานง่ายดีปุ่ม Q สะดวกสุดๆ และมีปุ่มลัดเยอะดี (Fn) เข้าถึงการ setting ต่างๆได้ง่าย
  • ชอบ film simulation มาก เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ Film อีกครั้ง
  • มี Digital Tele-converter to 35, 50 mm หรือเรียกอีกอย่างว่าซูมดิจิตอลก็คงได้ แต่ไฟล์ออกมาดีกว่าซูมดิจิตอลทั่วไปนะ

จุดที่ไม่ชอบ

ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการ setting ต่างๆในกล้องที่ยังไม่ชินนัก

  • ปิดเสียงอยู่ใช้ flash ไม่ได้ งงมากว่าทำไม (ให้เดาคงคิดแทนเราว่า ไม่ต้องการรบกวนคนอื่น แล้วจะเปิด flash ทำไม มั้ง) ทำได้แล้วครับ มันมีเมนูตั้งแค่เสียงแยกต่างหาก เพื่อนที่ X series club แนะนำมา
  • เปิด face detector ใช้ AE-L/-AF-L ไม่ได้นะ ล็อกโฟกัสไม่ได้เพราะกล้องต้องวิ่งหาหน้าของแบบ อันนี้พอเข้าใจได้ แต่ทำไมล็อคแสงไม่ได้
  • ปุ่ม video record กดยากมากกกก นิ้วใหญ่ หมดสิทธิ์มันชิดกับตัวปรับชดเชยแสงมากเกินไปและปุ่มมันเล็กและตื้นมาก
  • ปุ่มรอบวงกลม OK ฝั่งซ้ายกดยากเหมือนกัน ติดกับจอที่นูนออกมา ถ้านิ้วใหญ่หมดสิทธิ์ หรือต้องวางนิ้วแบบยื่นมาจากด้านข้างแทน
  • ปิดหน้าจอ LCD ไม่ได้ แต่ 2 นาทีมันถึงจะปิดเอง(sleep) แต่ไม่อยากเปิดปิดเครื่องบ่อยๆ ปกติแล้ว DSLR ไม่เคยปิดกล้องระหว่างทริปเลยนะ อยากได้แบบนั้น ชินกับ 600D ที่มีปุ่มกดปิดจอ LCD
  • ใช้ Digital Tele-converter to 35 and 50 mm ในโหมด P S T M ไม่ได้ ถ้าตั้งบันทึกภาพเป็น RAW อันนี้พอเข้าใจได้เพราะกล้องต้อง Process ภาพออกมาเป็น JPEG แต่ไม่บอกในคู่มือ หาสาเหตุนานมากว่าทำไมใช้ไม่ได้ กว่าจะหาเจอว่าเพราะเราตั้งเป็น RAW ไว้เสียเวลาเป็นชั่วโมงเลย
  • กลัวที่ปิดเลนส์หาย ความจริงมันก็ปิดแน่นดีนะแต่ก็กลัวหาย เพราะต้องเปิดปิดตลอด
  • กลัวเลนส์เป็นรอย กำลังหาฟิวเตอร์มาใส่ แต่มันต้องมีตัวแปลงใส่เพิ่มก่อน
  • มันไม่มี view finder ต้องซื้อเพิ่มเอง

โดยรวมแล้ว Fujifilm X70 ตัวใหม่ของเรา ทำให้ถ่ายรูปสนุกขึ้น ช่วยให้ชีวิตถ่ายภาพได้ง่ายและได้ภาพ(ที่ดี)ง่ายขึ้น กล้องตัวเก่าทำงานในโหมดอัตโนมัติต่างๆได้แย่มาก ทำให้เราชินกับโหมด M มากกว่า ไม่ใช่ไม่อยากใช้โหมดอื่นๆแต่มันทำงานได้ไม่ดี ทำให้ภาพเสียเยอะและไม่ได้ดังใจนึกเลยไม่อยากใช้ แต่ถึงจะใช้โหมด M จนชินและคล่องแค่ไหนยังไงก็เร็วเท่าโหมดอัตโนมัติ P S T ในกล้องไม่ได้ มันเก่งขึ้นมาก คิดว่าในกล้องรุ่นใหม่อื่นๆก็น่าจะดีขึ้นมากๆ เหมือนกัน ไอ้เรามันใช้กล้องรุ่นเก่ามันเลยตามเทคโนโลยีเขาไม่ทัน เลยทำเป็นตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งจะได้ใช้กับเขาเท่านั้นเอง

ลองเล่น BLE Wireless Sensor Tag Demo V1.1

เมื่อวานก่อนไปงาน Embedded World 2016 ที่ Nürnberg มาครับ งานใหญ่มาก มีบริษัทใหญ่ๆทั่วโลกมาออกบูธแสดงสินค้าและบริการของตัวเองเพียบ มีของแจกเยอะมากๆด้วย ได้ของแจกฟรีมาเยอะเลยครับ หนึ่งในนั้นที่โชว์อยู่คือ BLE(Bluetooth Low Energy) Wireless Sensor Tag เป็นของโชว์ IoT ของบริษัท TE connectivity มีบอร์ดอื่นๆอีกหลายอย่างให้เลือก แต่เลือกเอาตังนี้มาน่าจะเล่นได้เลย ส่วนบอร์ดอื่นบางอันต้องการ module อื่นเชื่อมต่ออีกที

BLE Wireless Sensor Tag Demo V1.1

สิ่งที่ BLE Wireless Sensor Tag Demo V1.1 ทำได้คือ มีเซนเซอร์ตรวจวัด Humidity, Temperature, Pressure แล้วส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth รองรับทั้ง Android และ Windows ลองเล่นดูแล้ว ถือว่าเจ๋งมากๆ เขาเครมว่าใช้ถ่าน CR2032 ก้อนกลมๆ นั้น อยู่ได้นาน 3 เดือนเลยครับ เจ๋งดีจริงๆ

รายละเอียดทั้วไปของบอร์ด BLE Wireless Sensor Tag Demo V1.1 download link

  • Bluetooth Low Energy Tag
  • Humidity (0-100%RH)
  • Temperature (-20°C + 85°C)
  • Pressure (300 to 1200mBar)
  • Android & Windows PC compatible แต่ใน App Store ก็มีแอพให้เล่นเหมือนกันนะแต่ไม่มีเครื่องลองเลยไม่รู้ว่าใช้ได้ไหม
  • อื่นๆ มี SDK ให้เอาไปพัฒนาต่อได้ด้วย

แกะกล่อง Fujifilm X70 (วิดีโอ)

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปครับ ชอบแนว Street photography มากๆครับ (ปู่ Elliot Erwitt เนี้ย ไอดอลผมเลย) อยากจะพกกล้องไปด้วยทุกที่ แต่ DSLR มันไม่ค่อยสะดวก และไม่ค่อยเป็นมิตรกับการขอถ่ายรูปคนอื่นเท่าไหร่ นานๆถึงจะได้ออกทริป แต่ก็ถือว่ายังจำเป็นอยู่นะ เราก็ถ่ายรูปมาขายจากกล้องนี้ได้ ส่วนกล้องมือถือติดตัวตลอดแต่คุณภาพไม่ได้เรื่อง เอาง่ายๆคืออยากได้คุณภาพแบบ DSLR แต่ อยากหิ้วกล้องเล็ก ยัดเข้ากระเป๋ากางเกงได้ ที่ผ่านมายังไม่มีอะไรถูกใจเลย จนมาเห็น Fujifilm X70 เซนเซอร์ APS-C ขนาดเล็กกระทัดรัด เลนส์ได้ระยะ 28 mm F2.8 แปลงเป็น 35 mm หรือ 50 mm ก็ได้ มี film simutation มาให้ด้วย แม้จะไม่มี View finder ให้ ก็พอจะมองข้ามได้ มีงบค่อยไปซื้อมาใส่เพิ่มได้ สรุปว่าค่อนข้างลงตัวมาก

แกะกล่อง Fujifilm X70

วันนี้ได้กล้องมาก็เลยมาแกะกล่องให้ดูครับ ไม่มีเวลามานั่งเขียนรายละเอียดเหมือนครั้งก่อนๆ อัดวิดีโอก็ดีเหมือนกัน อัดกันสดๆ เทคเดียว มีพูดผิด พูดถูก ก็มองข้ามๆไปแล้วกันนะครับ

ขอเวลาใช้งานสักพักก่อนแล้วค่อยมาเล่าว่ามันดีไม่ดีอย่างไงนะครับ เท่าที่ดูในคู่มือ มีหลายอย่างต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยครับ

ขายภาพบน Shutterstock แล้วนะ

www-shutterstock-com

Portfolio: https://www.shutterstock.com/g/sarapuk?rid=3759287

ไม่ได้อัพเดตบล็อกมานานมาก นานจนเพื่อนบางคนคิดว่าเลิกเขียนไปแล้วแน่ๆ ช่วงเวลาที่หายไปมีหลายอย่างเปลี่ยนไปเยอะมาก มีทั้งดีและร้าย ดีใจมากและเสียใจมาก ปนๆกันไป ชีวิตมันก็คงเป็นแบบนี้แหละ

ขอเขียนตามหัวข้อด้านบนดีกว่าจะได้จะได้ไม่ออกนอกเรื่องมากเกินไป

เรื่องการขายภาพดิจิตอลผ่านทางเว็บไซต์นั้นพอจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดูจากที่ปีที่สมัครเป็นสมาชิกครั้งแรกใน iStockphoto.com ของตัวเองนั้นมันตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ช่วงปีนั้น iStock น่าจะเป็นเจ้าตลาดอยู่ ตอนน้ันส่งรูปเข้าไปสอบแต่ไม่ผ่านเลยคิดว่าตัวเองน่าจะยังถ่ายรูปได้ห่วย เอากล้องของมหาลัยมาถ่ายด้วย เลยเลิกล้มความคิดไป เวลาผ่านไป 7 ปี (ใช้เวลาในการฝึกนานนะ) กว่าจะกลับมาสอบผ่านและขายได้

ส่วนของ Shutterstock.com ตัวเองเป็นสมาชิกเมื่อไม่นานมานี้ คือตอนปี 2015 คิดว่าตอนนี้เจ้านี้ น่าจะเป็นผู้นำในตลาดอยู่นะ อันนี้ดูมาจากสัดส่วนรายได้ของช่างภาพที่อัพโหลดขายหลายที่ แล้วเขาได้รับรายได้จาก Shutterstock เยอะที่สุด ยังมีอีกหลายเจ้าที่เขานิยม เช่น Fotolia, Depositphotos, Dreamstime, 123rf, 500px etc. แต่ก็เลือกอันที่น่าจะทำรายได้ได้เยอะสุดก่อน

แล้วทำไมกลับมาสนใจถ่ายภาพขายอีกครั้งหลังจากทิ้งความสนใจนี้ไปนานมากแล้ว ก็ต้องตอบว่าตอนนี้อยู่ยุโรป ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ต่างๆเยอะ เราก็ถ่ายรูปมานานแล้วทั้งถ่ายเล่น ถ่ายจริงจัง มันก็ควรจะมีประสบการณ์มากขึ้นบ้าง หลังจากไปเที่ยวกลับมานำรูปไปแชร์ในที่ต่างๆ เช่น Facebook หรือแม้แต่ใน 500px ก็มีติด Popular กับเขาอยู่บ้าง เพื่อนฝรั่งก็บอกว่ารูปที่คุณถ่ายคุณภาพใช้ได้เลยนะ ไม่ลองขายมันเลยล่ะ จึงได้กลับมาลองส่งภาพไปสอบอีกรอบ ปรากฏว่าผ่าน สามารถขายใน Shutterstock ได้ แล้วก็ทยอยอัพโหลดรูปที่มีในเครื่องให้เขาตรวจสอบ ก็มีทั้งผ่านและไม่ผ่าน เดี๋ยวเล่าต่อว่าหลังจากส่งไปแล้ว อันที่ผ่านก็โอเคไป ส่วนอันที่ไม่ผ่านมีอะไรบ้าง

หลังจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั่งขุดรูปที่ยังเหลืออยู่ในคอมมาปรับและส่งไปตรวจ ได้ไปราวๆร้อยกว่ารูป สรุปว่าผ่านประมาณ  70% ของรูปทั้งหมดที่ส่ง ส่วนที่ไม่ผ่านมีปัญหา เรียงจากที่เจอบ่อยสุดไปน้อยสุดได้ดังนี้

Kyoto มองชัดแต่ขยาย 100% ระยะไกลจะหลุดโฟกัส

Focus, ถูก rejected ไปราว 10% เป็นภาพชุดของการถ่าย Cityscape ตอนถ่ายไม่ได้คำนึงถึงความชัดมากนัก ภาพที่ได้จากรูรับแสง f5.6 นี้คือหมดสิทธิเลย f8 ผ่านบ้าง ตอนถ่ายเราคิดว่ามันน่าจะชัดตลอดแนวแล้ว แต่ภาพเมื่อดูแบบ 100% กับมีเบลอเล็กน้อยที่ไกลๆ แต่มีคนแนะนำว่าให้เพิ่ม Sharpen ให้ภาพและลดขนาดของภาพลง แล้วลองส่งใหม่ ลองทำดูราว 10 ภาพเมื่อวาน ปรากฏว่าผ่านครับ คิดว่าภาพในชุดนี้น่าจะเอามาแก้ไขใหม่แล้วลองส่งใหม่อีกที อีกอย่างถ้าใช้ขาตั้งกล้องน่าจะช่วยได้เยอะให้ภาพไม่สั่นไหว แล้วเกิดอาการเบลอในระยะไกล หรือใช้ shutter speed สูงขึ้นหน่อย

ในพื้นที่บางแห่งต้องมีเอกสารประกอบ

-Propety Release, ถูก rejected ไปราว 5% เป็นชุดภาพที่ไปถ่ายในวัง Kyoto imperial palace โดนทั้งชุด อันนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ครั้งหน้าต้องดูให้ดีว่าถ้าเป็นพื้นที่เฉพาะ หรืออาจจะต้องเขียนคำอธิบายให้ดีกว่านี้ แต่บางคนแนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็น Editorial อาจจะผ่านได้ เลยจะลองส่งใหม่ดูอีกที

ภาพที่โดน rejeted จากปัญหาเรื่องแสง

-Poor lighting, ถูก rejected ไปราว 5% เป็นภาพชุดของ Golden temple โดนทั้งชุดเหมือนกัน ต้องบอกว่าถ่ายมาไม่ดีเอง เพราะตอนนั้นวัดซึ่งเป็นสีทองอยู่แล้ว โดนแสงจากพระอาทิตย์ช่วงราวๆบ่าย 3-4 ยิงใส่ตรงๆเลย สะท้อนเข้ากล้องพอดีถ้าวัดแสงที่บรรยากาศรอบๆ พอถ่ายออกมาจะทำให้ตัวปราสาทแสงหลุดไปเลย แต่ถ้าวัดแสงที่ตัวปราสาทบรรยากาศรอบๆก็มืดจมดินเลย ห่างกันราว 3-4 stop เลย ตอนนั้นถ้าหยิบตัว CPL ขึ้นมาใส่อาจจะช่วยลดแสงสะท้อนได้บ้าง หรือไม่ก็เลี่ยงสถานการณ์อะไรแบบนี้

อันนี้ composition ไม่ผ่าน

-Composition, ถูก rejected ไปราว 5% เหมือนกับปัญหาที่แล้ว อันนี้บางทีเรามองว่าเราจัดดีแล้ว คิดถึงกฏต่างๆดีแล้ว แต่บางทีก็ไม่พอ ต้องจัดมุมมอง และซ้อมให้เยอะขึ้น

ภาพ Cityscape ต้องระวังเรื่องโลโก้ Trademark

-Trademark, ถูก rejected ไปราว 3% ตอนถ่าย City view ต้องเช็คให้ดีว่ามีโลโก้บริษัทอะไรโผล่มาหรือไม่ ถ้ามีควรรีทัชออกก่อน แต่เอาให้เนียนๆนะ

Noise เยอะถ้าดูที่ส่วนของเงามืด

-Noise, มีหลุดไปบ้าง ต้องพยายามเช็คให้ละเอียด และใช้ noise reduction นิดหน่อยได้ หรือไม่ก็ย่อรูปลงแล้วส่งใหม่ ตามคำแนะนำของคนที่มีประสบการณ์บอก หรือแนะนำให้ซื้อกล้องใหม่ระดับ Full fram หรือพวก High end จะจัดการสัญญาณรบกวนได้ดีมาก ถ้าอยากแก้เบื้องต้นใช้ iso ต่ำสุดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภาพที่ถ่ายจาก Canon 600D iso เกิน 400 คือแย่มาก (อยากได้กล้องใหม่)

สรุปว่า หลังจากส่งภาพไป ทำให้เราได้ feedback กลับมา ทำให้รู้ว่าภาพแบบไหนที่จะผ่านหรือไม่ผ่านมากขึ้น และนำมาคิดก่อนตั้งแต่จะกดชัตเตอร์ สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำมากขึ้น คิดว่าในการออกไปถ่ายรูปในครั้งต่อไปน่าจะทำให้ถ่ายอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น และรู้ว่าควรถ่ายยังไงบ้าง เช่น ควรเลี่ยงคนที่เข้ามาในภาพ ตรวจสอบแสงให้ดี ตรวจดูความคมชัด ดูการจัดองค์ประกอบ ฯลฯ น่าจะถ่ายรูปแบบคำนึงภาพหลัง Process มากขึ้น

ตามไปดู Portfolio: https://www.shutterstock.com/g/sarapuk

อยากขายเองบ้าง: https://submit.shutterstock.com

รีวิวหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

ผู้เขียน Leander Kahney (ลีนแอนเดอร์ เคนีย์)

ผู้แปล ณงลักษณ์ จารุวัฒน์

336 หน้า

สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์

ตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2557

หนังสือเล่มนี้อ่านจบไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่พึ่งมีโอกาสมาเรียนรีวิวสรุปเนื้อหาและสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้เก็บไว้ก่อนที่จะลืมไปก่อน เขียนรีวิวหลังอ่านจบครั้งแรกไว้ใน Goodreads ไว้ดังนี้ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ถ้าใครเป็นแฟนผลิตภัณฑ์ของ Apple จะอ่านสนุกมากขึ้น ได้รู้ถึงวิวัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอุสาหกรรมของ Apple แนวความคิด ภาษาการออกแบบ ความใส่ใจถึงขั้นหมกมุ่นของทีมออกแบบ ขั้นตอนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคขั้นสูงของ Apple ที่น่าทึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

รายละเอียดอื่นๆที่เขียนไว้ตอน update status ตาม page ที่อ่านถึง

  • page 23: “จอนนี่เป็นเด็กจากอังกฤษและมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม เลือกเรียนการออกแบบตั้งแต่แรก โดยบุคคลที่สำคัญคอยสนับสนุนเขาตลอดมาคือพ่อของเขาซึ่งเป็นช่างเงินและครูสอนการออกแบบ ดูเหมือนว่าความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบของเขาไม่ได้ถูกบังคับให้รัก แต่ถูกซึบซับมาจากพ่อเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
  • page 41: “จอนนี่เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 พร้อมกับรางวัลจากงานประกวดใหญ่ๆของประเทศอังกฤษ จากรางวัลอันหนึ่งที่ได้รับ เขาได้ไปดูงานที่อเมริกาเขาชอบที่นั้นมาก และมีหลายบริษัทที่อยากจะได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปร่วมงานด้วย แต่เขาติดสัญญากับบริษัท RWG ที่เป็นคนให้ทุนเขาในการเรียนในระดับป.ตรี เขาจึงต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่นี้”
  • page 62: “ตอนนี้จอนนี่เข้ามาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Tangerine รับงานออกแบบและเป็นที่ปรึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์ใฟ้กับบริษัทตั้งแต่เล็กๆจนถึงบริษัทนานาชาติใหญ่ๆ ในงานที่ทำให้ Apple บรันเนอร์ประทับใจมากและชวนจอนนี่เป็นครั้งที่ 3 ให้มาทำงานที่ Apple และเขาก็ตกลง”
  • page 72: “Apple ใช้บริการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก studio ข้างนอก บริษัท Frog Design แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำเองเหมือนกัน ผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกที่ทำ Design Studio ภายใน Apple เองคือ โรเบิร์ต บรันเนอร์ เขาคือผู้ที่ค้นหาและชวนนักออกแบบที่เก่งๆให้เข้ามาทำงานที่ Apple จอนนี่คือหนึ่งในนั้น”
  • page 82: “Newton MessagePad 110 คือ ผลงานแรกๆที่สร้างชื่อให้จอนนี่หลังจากเข้ามาทำงานกับ Apple ได้ไม่นาน ผลงานการออกแบบกดฝาปิดจอลงไปแล้วเด้งฝาเปิดออกมา และการกดปากที่ใช้เขียนจอแล้วเด้งออกมาจากที่เก็บ ปัจจุบันเราอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอะไรแบบนี้ ผลงานออกแบบชิ้นนี้ทำให้จอนนี่ได้รับรางวัลจากสถานบันออกแบบมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยไปรับรางวัลเลยสักอัน”
  • page 108: “นักออกแบบที่สำคัญอย่างมากในการวางรากฐานแนวทางการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่ถือว่าเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก แนวทางของเขาจะใช้ Design นำ Engineer แนวทางของนักออกแบบผู้นี้คือออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปคุยกับฝ่าย Engineer เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ดูโดดเด่นสวยงาม นักออกแบบท่านนี้ คือ “Robert Brunner” ชายผู้จ้าง Johnny Ive เข้ามาทำงานที่ Apple”
  • page 114: “อ่านถึงตรงนี้ กลายเป็นว่า Steve Jobs ต่างหากที่เป็นคนวางรากฐานการใช้การออกแบบขับเคลื่อนองค์กร แต่เมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัท Apple วิธีคิดแบบเก่าๆก็กลับมา วิศวกรมีอำนาจมากว่า และ Robert Brunner ก็เป็นคนพยายามนำมันกลับมาอีกครั้ง”

ตอนที่อ่านหนังสือจะมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่จอนนี่ออกแบบ โดยจะบรรยายลักษณะต่างๆโดยละอียด แต่ถ้าอยากเห็นว่าหน้าตาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นอย่างไรให้เปิดไปดูที่ส่วนตรงกลางจะมีภาพประกอบบางส่วนให้ดูประกอบ จะทำให้ได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น แต่ขอแนะนำว่าให้เราอ่านอย่างเดียวก่อน จินตนาการถึงผลิตภัณฑ์นั้น จากนั้นค่อยเปิดดูรูปอีกทีจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราจินตการถึงกับรูปจริงเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน ทำให้อ่านหนังสือเล่มนี้สนุกมากขึ้นเยอะเลยครับ

ภาพประกอบงานการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์

บางตัวไม่มีรูปประกอบ แนะนำให้ค้นหารูปในกูเกิลดูประกอบเลยครับ รวมทั้งวิดีโอสัมภาษณ์ โฆษณา การเปิดตัวสินค้าของ Apple ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ถ้าเราเปิดดูไปด้วยจะทำให้อ่านสนุกขึ้นมากเลยครับ

ตัวอย่างวิดีโอ ที่ดูแล้วจะทำให้อ่านหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple สนุกมากขึ้น

วิดีโอที่แนะนำ Unibody Macbook ที่เปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้ยึดแนวทางนี้กับเกือบจะทุกผลิตภัณฑ์ จอนนี่ ไอฟฟ์ ขึ้นนำเสนอบนเวทีตั้งแต่เวลา 10:30 นาที น้อยครั้งมากๆที่จะเห็นเขาขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวที แต่ในวิดีโอโฆษณาจะมาบ่อย

https://youtu.be/-rJRMafcRUU?t=10m30s

วิดีโอนี้จะเห็นขั้นตอนการผลิต Unibody Macbook Pro ซึ่งนำการผลิตแบบนำเทคนิค CNC มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูงและมีรายละเอียดที่แม่นยำ แต่การผลิตสินค้าจำนวนมากด้วยวิธีนี้จะทำให้ผลิตได้ช้าและต้นทุนสูงมาก แต่ Apple สามารถลดต้นทุน ทั้งยังผลิตได้เร็ว ยังเป็นความลับอยู่ว่าทำได้ยังไง แต่ Apple ลงทุนกับโรงงานนี้ด้วยเงินมหาศาลมาก กว้านซื้อเครื่อง CNC จากญี่ปุ่นแทบจะทุกเครื่องที่บริษัทผลิตเครื่อง CNC ผลิตได้เลยทีเดียว

การให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ ที่หลายคนคิดว่าฉากด้านหลังที่เขานั่งอยู่คือห้องออกแบบของบริษัท Apple แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นแค่ห้องช่างธรรมดาที่เขามานั่งให้สัมภาษณ์ ห้อง Studio ออกแบบ ที่จอนนี่ ไอฟฟ์และทีมงานออกแบบของเขาทำงานอยู่ถือเป็นห้องที่ลึกลับมาก มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก มีแค่ไม่กี่คนในบริษัทที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้ การรักษาความลับผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นเข้มงวดมากจะไม่มีใครได้เห็นมันจนกว่าจะมีงานเปิดตัว ส่วนใหญ่ที่เราเห็นข่าวว่ามีภาพหลุดส่วนใหญ่จะมาจากขั้นตอนการผลิตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งโรงงานจะอยู่ในประเทศจีนเกือบจะทั้งหมด อย่างเช่น Apple Watch ไม่มีใครเห็นข่าวรั่วของสินค้าเลยจนกระทั้งมันเปิดตัว

คลิปวิดีโอที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์กล่าวรำลึกถึงสตีฟ จ๊อบส์ เขาได้เล่าถึงความสนิทสนมของเขากับสตีฟ จ๊อบส์ที่เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง การถูกหัวเราะทุกครั้งที่ออกเสียง “อะลูมินุม” แบบ British accent

อีกหนึ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ เกี่ยวกับเรื่องการรออกแบบ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เขาจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบถาม-ตอบแบบยาวๆ ในการให้สัมภาษณ์อันนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเขากับทีมงาน ถ้าพูดถึงการออกแบบที่บริษัทเขาจะใช้คำว่า “We” คือ “พวกเรา” แทนการกล่าวถึงตนเอง เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันในการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และวิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ลอกการออกแบบของทีมของเขาไป

วิเคราะห์ความเป็นจอนนี่ ไอฟฟ์

จอนนี่เกิดมาเพื่อจะเป็นนักออกแบบ พ่อของเขามีส่วนกับการปลูกฝั่งในเรื่องการออกแบบอย่างมาก เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เด็กและฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด (ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตัวเองให้ไวแล้วมุ่งหน้าไปให้สุดแรง) จอนนี่ได้รับรางวัลการออกแบบแทบจะทุกสถาบันแต่ไม่ค่อยจะไปรับรางวัลเลย เขามีแนวทางการออกแบบชัดเจนมาก

แนวทางการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์ คือ Minimalism น้อยคือดี ทำให้คนทั่วไปดูแล้วเหมือนไม่มีการออกแบบอยู่ในนั้นเลย ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สีขาว ใส่ใจกับทุกรายละเอียด แม้ส่วนที่คนใช้จะมองไม่เห็น ทำต้นแบบจริงหลากหลายแบบออกมาให้ได้สัมผัส งานออกแบบนำงานด้านวิศวกรรมเสมอ

จอนนี่ไม่น่าจะเป็นลูกจ้างใครได้ เขาไม่สามารถทำงานในบริษัทที่รับจ้างออกแบบได้เพราะการออกแบบที่เขาอยากทำกับคนจ้างงานถ้าไม่ตรงกัน ผู้จ้างงานจะเป็นคนตัดสินใจนั้นทำให้เขาอึดอัดใจที่จะทำมัน แต่เมื่อเขาเป็นคนคุมการออกแบบเองอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ตัวเขาเอง ความคิดสร้างสรรค์จึงเบ่งบานได้มากกว่า

หลายคนคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะขึ้นมาเป็น CEO ของ Apple แทนสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเข้ากันกับแนวทางการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ และวัฒนธรรมการทำงานของ Apple ด้วย แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยุ่งกับงานบริหารด้านอื่นเลย เขาสนใจแค่เรื่องออกแบบ และคนที่เป็น CEO จะต้องเป็นคนทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการด้วย และดูเหมือนทิม คุกจทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยม

เคยมีคนคิดว่าจอนนี่ ไอฟฟ์จะลาออกจาก Apple หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นตอนที่สตีฟ จ๊อบส์ ลงจาก CEO และเสียชีวิตไปในเวลาต่อมา ช่วงนั้นน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจของลูกรักลูกชังกันตอนหัวเรือไม่อยู่ แต่กลับเป็นว่าจอนนี่ ไอฟฟ์ได้อำนาจมากขึ้นแทบจะเรียกว่าในบริษัท Apple ทีมงานของเขาดูจะเป็นคนคุมบริษัททั้งหมดอยู่แล้ว โอกาสที่เขาจะไปจาก Apple เหมือนจะผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ทิม คุก ก็อยู่ข้างเขาเต็มตัว โอกาสที่จะจาก Apple ไปน่าจะมีน้อยมากๆ นอกเสียจากจะวางมือเอง

จอนนี่ ไอฟฟ์ถูกมองว่าเป็นไอคอนคนใหม่แทนสตีฟ จ๊อบส์ในบริษัท Apple ไปแล้ว ทุกคนดูจะคาดหวังผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมของเขามากกว่าทุกทีมใน Apple และเราก็เชียร์อยู่เช่นกันให้เขาทำมันสำเร็จ

วิธีแสดงภาพขนาดใหญ่ด้วย Google Maps Viewer

ถ้าหากต้องการแสดงภาพที่มีขนาดใหญ่มากๆ อย่างเช่น ภาพพาราโนมา ภาพแผนที่ขนาดใหญ่ สไลด์ชิ้นเนื้อที่ถ่ายแบบทั้งสไลด์ เป็นต้น ต้องการแสดงผลแบบที่เห็นภาพโดยรวมของภาพทั้งหมดก่อน และเมื่ออยากดูรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถซูมเข้าไปดูได้ พูดง่ายๆคือแสดงเหมือนแผนที่ใน Google Maps เมื่อเลือกตำแหน่งที่สนใจได้แล้ว ก็สามารถซูมเข้าไปดูใกล้ๆได้ เพื่อดูรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในความเป็นจริงถ้าเราแสดงภาพที่มีความละเอียดสูงตั้งแต่แรกจะทำให้การโหลดข้อมูลทำได้ช้ามากเพราะภาพจะมีขนาดใหญ่ วิธีดังกล่าวนี้จะเลือกโหลดภาพเฉพาะส่วนที่จำเป็นมาแสดงทำให้การแสดงผลทำได้ราบรื่นกว่ามาก เช่น ถ้าหากต้องการดูพื้นที่โดยรวมทั้งหมดก็จะโหลดภาพที่มีความละเอียดต่ำมาแสดงผล ถ้าต้องการดูส่วนที่ละเอียดมากขึ้นเมื่อกดซูมระบบจะดึงภาพที่มีความละเอียดสูงกว่ามาแสดงเฉพาะส่วนตรงจุดที่เราสนใจ เมื่อเราคลิกเลื่อนตำแหน่งไปเรื่อยๆก็จะโหลดภาพส่วนนั้นเพิ่มเข้ามาแสดงผล

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้ Google Maps Viewer มาใช้งาน มีหลากหลายเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น https://www.pathobin.com

ขั้นตอนการใช้ Google Maps Viewer แสดงภาพขนาดใหญ่

  1. ดาวน์โหลดโปรแกรม GMap Image Cutter  ลงไว้ในเครื่อง แตกไฟล์ที่อยู่ใน zip ออกมา
  2. เปิดโปรแกรมที่ชื่อ GMapImageCutter.jar ขึ้นมา ในเครื่องจะต้องมี Java ติดตั้งไว้ด้วย ถ้าไม่มีดาวน์โหลดและติดตั้งได้ที่ https://java.com/en/download/index.jsp
  3. คลิกเลือก File → Open เลือกไฟล์ภาพที่ต้องการนำมาแสดงด้วย Google Maps Viewer ในส่วนของ Max Zoom Level ควรตั้งไว้ตามค่าเดิม แต่ถ้าต้องการเพิ่มให้ซูมได้มากยิ่งขึ้นสามารถปรับเพิ่มได้ แต่ก็จะทำให้ต้องใช้เวลาในการสร้างไฟล์นานยิ่งขึ้น จากนั้นคลิกปุ่ม Create

    Gmap cutter

  4. เมื่อโปรแกรมสร้างไฟล์เสร็จแล้ว จะได้ไฟล์ HTML และโฟลเดอร์ที่เก็บภาพที่โปรแกรมสร้างขึ้นมาใหม่จำนวนจะมากน้อยตามความละเอียดที่ตั้งไว้ สามารถแสดงผลได้ทันทีโดยการคลิกเปิดไฟล์ HTML ด้วยบราวเซอร์ท่องเว็บไซต์ทั้วไป เช่น Internet Explorer, Google chrome, Safari เป็นต้น สามารถดูในแบบ Offline ได้ทันที

    ภาพที่พร้อมใช้งาน

  5. ถ้าต้องการนำภาพดังกล่าวไปแสดงบนเว็บไซต์สามารถทำได้โดยการอัพโหลดไฟล์ HTML และโฟลเดอร์ภาพขึ้นไปไว้บนเซิร์ฟเวอร์จากนั้นเรียกการแสดงผลโดยการใช้โค้ด

ยกตัวอย่างโค้ด

<iframe src="panorama.html" width="800" height="600" frameborder="0" marginwidth="0" marginheight="0" scrolling="no">
 </iframe>

หรืออัพโหลดขึ้น Dropbox ซึ่งสามารถแสดงไฟล์ที่เป็น HTML ได้เลยเช่นกัน ต้องใส่ไว้ใน public folder ยกตัวอย่าง https://dl.dropboxusercontent.com/u/1622318/Tissue-section.html

ข้อมูลจาก https://www.labnol.org

Flickr for Android ดาวน์โหลดไปใช้งานกัน

Flickr for Android

แปลกมากที่จะโหลด Flickr ลงมือถือแต่ดันฟ้องขึ้นมาว่าที่ประเทศไทยใช้ไม่ได้ ทำเอางงมากๆ ทำไมยังไม่เปิด Worldwide ทำให้เข้าไปค้นใน Google play ก็ไม่เจอ ต้องเข้าผ่านลิงค์ตรง Flickr for Android เข้าไปก็จะรู้ว่าติดตั้งไม่ได้ ใน iOS ก็ดาวน์โหลดไม่ได้เช่นกันนะ

Flickr ใน Google Play ติดตั้งไม่ได้

Flickr เป็นที่เก็บภาพถ่ายที่ให้พื้นที่ฟรีเยอะมาก 2TB บางครั้งภาพที่ต้องการเก็บแบบเต็มขนาดไฟล์ ใหญ่ๆ ก็จะเข้ามาใช้งาน Flickr บางครั้งก็อยากเข้าใช้งานผ่านมือถือ แต่ติดที่มันไม่ให้บ้านเราดาวน์โหลดผ่านทาง Google play ดังนั้นจึงได้ไปค้นหาไฟล์ APK มาติดตั้งเสียเลย

ค้นจาก Google ได้จากเว็บไซต์นี้ https://www.apk4fun.com ก็ดาวน์โหลดแล้วติดตั้งได้เลย ติดตั้งจากตัว APK ก็ใช้งานได้ดีเลยทีเดียว

ตัว Flickr for Android ก็มีฟีเจอร์ Auto Sync อยู่ด้วยซึ่งต้องระวังเรื่องการใช้ดาต้ากันให้ด้วย สามารถปิดได้ หรือเลือกให้ Sync เฉพาะตอนต่อ Wi-Fi ก็ได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ค่า Privacy รูปที่ถ่ายจะเป็น Public เป็นค่าเริ่มต้น ควรเข้าไปตั้งค่าให้เหมาะสม เดี๋ยวใครที่ชอบถ่ายภาพแบบลับๆจะโชว์ให้ชาวบ้านเห็นในทันที ระบบ Auto Sync ทำงานได้ดีมาก เร็วทันใจ

Flickr for Android เมนูต่างๆ

ส่วนการใช้งานอื่นๆการถ่ายภาพ แล้วใส่ฟิวเตอร์ทำได้ง่ายและเร็ว แชร์ไปที่ Facebook, Tumblr, Twitter ได้พร้อมกันทันที ตัวแก้ไขภาพก็มีให้ใช้งานอย่างครบครันทั้งปรับสี ตัดภาพ ความสว่าง หมุนภาพ ฯลฯ

ตัวปรับแก้ไขภาพ และตัวเลือกฟิวเตอร์

ส่วนที่ใช้ปรับแต่ง แก้ไขภาพ และส่วนฟิวเตอร์ในแบบต่างๆ และการแชร์ภาพ

การถ่ายภาพ เมนูด้านขวาใส่ฟิวเตอร์ เมนูฝั่งขวาปรับแต่งภาพ และจบด้วยการแชร์ภาพ

Flickr for Android ทำให้เราสามารถเข้าถึงบัญชี Flickr ของเราได้ง่ายชึ้น และยังเป็นแอพที่ใช้ถ่ายภาพ ตกแต่งภาพ ที่ใช้ง่าย สมควรมีติดไว้ในสมาร์ทโฟนของท่านอย่างยิ่ง

ถ้าลิงค์จากด้านบนโหลดไม่ได้ คลิกโหลดจากนี้ได้ครับ Flickr for Android V3.1.3

Exit mobile version