เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ถ้าใครเป็นแฟนผลิตภัณฑ์ของ Apple จะอ่านสนุกมากขึ้น ได้รู้ถึงวิวัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอุสาหกรรมของ Apple แนวความคิด ภาษาการออกแบบ ความใส่ใจถึงขั้นหมกมุ่นของทีมออกแบบ ขั้นตอนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคขั้นสูงของ Apple ที่น่าทึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว
รายละเอียดอื่นๆที่เขียนไว้ตอน update status ตาม page ที่อ่านถึง
page 108: “นักออกแบบที่สำคัญอย่างมากในการวางรากฐานแนวทางการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่ถือว่าเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก แนวทางของเขาจะใช้ Design นำ Engineer แนวทางของนักออกแบบผู้นี้คือออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปคุยกับฝ่าย Engineer เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ดูโดดเด่นสวยงาม นักออกแบบท่านนี้ คือ “Robert Brunner” ชายผู้จ้าง Johnny Ive เข้ามาทำงานที่ Apple”
page 114: “อ่านถึงตรงนี้ กลายเป็นว่า Steve Jobs ต่างหากที่เป็นคนวางรากฐานการใช้การออกแบบขับเคลื่อนองค์กร แต่เมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัท Apple วิธีคิดแบบเก่าๆก็กลับมา วิศวกรมีอำนาจมากว่า และ Robert Brunner ก็เป็นคนพยายามนำมันกลับมาอีกครั้ง”
หลายคนคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะขึ้นมาเป็น CEO ของ Apple แทนสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเข้ากันกับแนวทางการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ และวัฒนธรรมการทำงานของ Apple ด้วย แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยุ่งกับงานบริหารด้านอื่นเลย เขาสนใจแค่เรื่องออกแบบ และคนที่เป็น CEO จะต้องเป็นคนทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการด้วย และดูเหมือนทิม คุกจทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยม
เคยมีคนคิดว่าจอนนี่ ไอฟฟ์จะลาออกจาก Apple หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นตอนที่สตีฟ จ๊อบส์ ลงจาก CEO และเสียชีวิตไปในเวลาต่อมา ช่วงนั้นน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจของลูกรักลูกชังกันตอนหัวเรือไม่อยู่ แต่กลับเป็นว่าจอนนี่ ไอฟฟ์ได้อำนาจมากขึ้นแทบจะเรียกว่าในบริษัท Apple ทีมงานของเขาดูจะเป็นคนคุมบริษัททั้งหมดอยู่แล้ว โอกาสที่เขาจะไปจาก Apple เหมือนจะผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ทิม คุก ก็อยู่ข้างเขาเต็มตัว โอกาสที่จะจาก Apple ไปน่าจะมีน้อยมากๆ นอกเสียจากจะวางมือเอง
จอนนี่ ไอฟฟ์ถูกมองว่าเป็นไอคอนคนใหม่แทนสตีฟ จ๊อบส์ในบริษัท Apple ไปแล้ว ทุกคนดูจะคาดหวังผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมของเขามากกว่าทุกทีมใน Apple และเราก็เชียร์อยู่เช่นกันให้เขาทำมันสำเร็จ
เครื่องผมลง Parallels desktop ไว้ด้วย หลักๆใช้งานทางด้านเอกสารพวก MS Office ภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษนั้นทำใน MS Office for Mac พอได้ สิ่งที่น่ารำคาญอย่างหนึ่งคือ Windows Applications มันจะเข้ามาอยู่ใน Spotlight ด้วย
จึงค้นหาวิธีซ่อน Windows Applications ออกจาก Spotlight ไปเจอที่นี้ ลองทำตามแล้วก็ได้ผลตามที่หวัง
ตัวอย่างการค้นหาที่มี Windows Applications เข้ามาด้วย โดยเฉพาะจะเปิด terminal ใน OSX ตัวที่อยากเปิดดันไม่อยู่ในลิตส์ซะนี้
จะเอา Applications พวกนี้ออกก็คลิกไปที่ Spotlight Preferences อยู่ด้านล่าง หรือจะเข้าผ่านทาง System Preferences ก็ได้
พอเข้าไปแล้วจะตั้งให้ Spotlight ค้นหาเฉพาะไฟล์อะไรบ้างก็กำหนดจากส่วนี้ แต่ถ้าอยากจะเอา Windows Applications ออกให้เข้าไปที่ Privacy
Spotlight เป็นระบบ search ร่วมกับเป็นตัว launcher ด้วยใน OSX เมื่อเราค้นเจอแล้วก็เปิดขึ้นมาได้ทันที ในตอนแรกใช้งานมันค้นหาไฟล์เอกสารแล้วเปิดขึ้นมา แต่ตลกดีที่เราหาที่อยู่ของไฟล์นั้นในเครื่องไม่เจอ จะเอาไฟล์นั้นส่งอีเมลทำเอางงไปหลายนาที ความจริงแล้วเวลาค้นเจอในลิสต์ที่แสดงผลการค้นหา เราก็เลือกให้แสดงใน Finder ได้โดยคลิกที่ Show All in Finder ถ้าเว็บหรือโปรแกรมนั้น Drag and Drop ได้ก็ดีไป แต่ต้องหาที่อยู่จริงๆ ก็ต้องมาคลิก Get info อีก หรือน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้? ก็เป็นได้แต่ไม่รู้
เมื่อรู้ดังนี้จึงตัดสินใจจะเพิ่มแรมให้น้อง Macbook Pro ครับ ส่วนท่านที่สนใจจะเพิ่มแรมให้ Mcbook Pro ของตัวเองก็อยากให้ดูข้อมูลหลายๆด้านข้อดีข้อเสียก่อนจะตัดสินใจนะครับ
จะเห็นว่ามีคู่มืออุปกรณ์ทุกชนิดของ Apple ให้ดาวน์โหลดไปศึกษาได้ฟรี ตาก็เหลือบไปเห็น other langues ที่มุมชวา เอาภาษาไทยมาอ่านน่าจะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เลยเข้าไปที่หน้าของภาษาไทยที่ https://support.Apple.com/th_TH/manuals/
การเปลี่ยนจาก Windows เป็น Mac OS X ไม่ยากเย็นอะไร ใช้ไปสัก 2-3 ชั่วโมงก็คุ้นเคยแล้ว โดยเฉพาะการใช้ TouchPad รู้สึกว่าใช้งานได้ดีกว่า Windows อยู่นิดหน่อยในแง่ของการควบคุมการทำงาน มีวิธีใช้เป็นวีดีโอให้ดูใน System Preference
ส่วนหนึ่งที่ทำให้การย้ายจาก Windows มาเป็น Mac OS X ทำได้ง่าย เพราะเราใช้ Freeware, Open source ในการทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ มีเวอร์ชั่นที่รองรับใน Mac OS X อยู่แล้ว ทำให้ตัวที่ใช้บ่อยๆ มาครบเกือบหมด อีกอย่างคือเคยใช้ Ubuntu อยู่พักหนึ่ง มีหลายส่วนที่เหมือนกัน
ตัว Port ต่างๆที่มากับเครื่อง ที่รู้สึกว่ายังไม่มีประโยชน์นะตอนนี้ คือ Thunderbolt มันคงมีประโยชน์ในบ้านเราน้อย ตัว USB 3.0 ดูจะเหมาะสมมากกว่า อุตสาห์ซื่อ Ext HDD USB 3.0 มา เครื่อง Macbook Pro ไม่รองรับ USB 3.0 ในขณะที่คู่แข่งฝั่ง PC ใส่มาหมดแล้ว Apple คงดัน Thunderbolt เต็มที แต่ต้องดูไปสักพักว่าจะเปลี่ยนไปใช้ USB 3.0 เมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนตัว 2.0 ให้เป็น 3.0 อุปกรณ์ต่างๆพวกเครื่องปรินต์วันหนึ่งคงต้องเปลี่ยนเหมือนกัน
Mac OS X เขียน Ext HDD ที่เป็น NTFS ไม่ได้ ต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ System บางตัว หรือง่ายกว่าคือลงโปรแกรมเสริม
หน้าสั่งปรินต์ใช้งานยากกว่าใน Windows มาก เพราะมันตั้งค่าได้ละเอียดมาก ต้องเลือกทีละเมนูไม่สะดวกเลย (ทางออกคือตั้งค่าไว้แล้ว save การตั้งค่าไว้ใช้ภายหลัง)
ถ้าคิดจริงๆแล้วราคามันไม่ต่างจาก PC เท่าไหร่ ถ้าเวลาซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไปคุณบวกค่า Windows OS เข้าไปด้วย แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มราคาสูงอยู่ดี ใช้บริการของ U-Store ที่จุฬาฯ ทำให้ได้ราคาถูกลงเยอะพอดูเลย
แบตเตอรีอยู่ได้ 7 ชั่วโมงจริงๆ Apple ไม่ได้โม้แต่อย่างใด โน๊คบุ๊คที่เคยใช้มาไม่มีเครื่องไหนอยู่ได้เกิน 3 ชั่วโมงเลย
อันนี้แปลกใจหน่อยๆ เวลาซื้อโน๊ตบุ๊คของ Apple ทำไมร้านต้องถามว่าจะติดฟิล์มหน้าจอไหม? ทีซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไป(ราคาเท่ากัน)ไม่เห็นมีร้านไหนถามเรื่องติดฟิล์มเลย สองมาตรฐานชัดๆ
สิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุดของการเปลี่ยนจาก Windows ที่ใช้มาตลอดมาเป็น Mac OS X คือโปรแกรมหลักที่ใช้ทำงานว่าซับพอร์ต Mac OS X หรือไม่ และตัวที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุดคืองานเอกสารพวก MS Office แม้จะมี Office for Mac แต่ทำงานร่วมกันกับ Windows ได้ห่วยมาก ทางออกของการแก้ไขปัญหานี้คือ ใช้ Parallel ลง Windows แล้วไปใช้งาน MS Office บน Windows แทน
ใช้เวลาบูธนานกว่า Windows 7 64 bit ใน Dell เครื่องก่อน แต่ตอนปิดเครื่องทำได้เร็วกว่า
โดยรวมตอนนี้ก็แฮปปี้ดีกับ Macbook Pro เครื่องนี้ คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน ส่วนใครมีอะไรแนะนำ Mac user มือใหม่อย่างผม เชิญเขียนคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยนะครับ