ของฝากจากประเทศไทยสำหรับเพื่อนต่างชาติ

ของฝากจากประเทศไทยสำหรับเพื่อนต่างชาติ

ถ้าคิดจะซื้อขนม ของกิน จากไทยไปฝากเพื่อน ๆ ในที่ทำงานที่เป็นเพื่อนต่างชาติ ขอนำเสนอ 3 อย่างนี้ รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง

  1. ชาตรามือ แบบ 3 in 1 ที่ชงง่ายและหวานมันอร่อย เพื่อนต่างชาติส่วนใหญ่จะชอบ และนำเสนอความเป็นไทยได้ดีทีเดียว เวลาเพื่อนถามถึงแต่จำชื่อไม่ได้ก็มักจะยกนิ้วโป้งโชว์กัน มีภาพจำที่ดี
  2. โก๋แก่ รสวาซาบิ อันนี้ค่อนข้างประหลาดใจนิดหน่อย ที่เพื่อนต่างชาติชอบ แต่ แต่ ก่อนจะให้เขาชิมต้องเตือนเรื่องถั่วและความเผ็ด บางคนอาจจะแพ้ได้ด้วย แต่ความสนุกคือมีเรื่องท้าทายให้ได้เล่นกันได้ดีในวงเพื่อน คนที่กินไม่ได้ก็จะกินไม่ได้เลย ส่วนใครที่กินได้คือแบบว่าหลงรักไปเลย
  3. ข้าวแต๋น สำหรับสิ่งนี้ มันคือสิ่งอัศจรรย์สำหรับคนต่างชาติ ร้อยทั้งร้อยเพื่อนต่างชาติรักสิ่งนี้ทุกคน ขนมาได้เท่าไหร่ขนมา ขอเพิ่มกันทุกคน มีเท่าไหร่ก็หมด ความกรุ๊บกรอบผสมรสหวานนิด ๆ มันคือความเข้ากันที่ลงตัวสุด ๆ กินได้ทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ถือว่ามาแชร์ประสบการณ์กันสำหรับใครคิดหาไอเดียซื้อของฝากให้เพื่อนชาวต่างชาติ

อ้างอิง เพื่อนคนเยอรมัน สเปน ยูเครน จีน ตุรกี

รีวิว Humble Pi, คณิตคิดพลาด: รวมเรื่องวายป่วงในวันที่คณิตศาสตร์รู้พลั้ง

Humble Pi โดย Matt Parker (คณิตคิดพลาด: รวมเรื่องวายป่วงในวันที่คณิตศาสตร์รู้พลั้ง แปลโดย สกุลรัตน์ บวรสันติสุทธิ์) เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากและให้ข้อมูลที่น่าสนใจของความผิดพลาดของคำนวณคณิตศาสตร์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเสียหายในระดับเล็กน้อยไปจนถึงความเสียหายในระดับหายนะ

สไตล์การเขียนของคนเขียนเน้นเล่าเรื่องให้สนุกและมีอารมณ์ขันแทรกเข้ามาอยู่ตลอด ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของการคำนวนที่ผิดพลาดทางคณิตศาสตร์ที่ง่าย ๆ ก็สามารถนำไปสู่หายนะอันใหญ่หลวง ตั้งแต่สะพานถล่ม กระจกจากตึกสูงเกิดการรวมแสงแล้วเผารถยนต์ที่จอดอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม หายนะของสายการบิน หรือความผิดพลาดของกระสวยอวกาศสำรวจดาวอังคาร โดยเขายกเคสมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นจากหลายแหล่ง รวมถึงประสบการณ์โดยตรงของเขาเองด้วย

คณิตคิดพลาด: รวมเรื่องวายป่วงในวันที่คณิตศาสตร์รู้พลั้ง

จุดเด่นของคนเขียนคือเขาเป็นนักคณิตศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก ทำให้เรื่องคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเข้าถึงได้ง่ายและน่าสนใจสำหรับผู้อ่านทุกระดับ

สรุปว่าใครก็ตามที่สนใจที่จะเข้าใจบทบาทของคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันและศักยภาพของคณิตศาสตร์ทั้งในด้านความช่วยเหลือและอันตราย ควรอ่าน Humble Pi อย่างยิ่ง สนุกจริง ยกให้เป็นหนังสือที่ชอบมากเล่มแรกที่ได้อ่านของปีนี้

เคล็ดลับสำหรับการบรรลุเป้าหมายการอ่านจาก Goodreads

Goodreads Reading Challenge

ใน Goodreads ในช่วงต้นปีจะมี Challenge ให้เราได้เล่นกัน โดยเราสามารถกำหนดเป้าหมายจำนวนของหนังสือที่เราตั้งใจจะอ่านให้จบในปีนั้นๆ ตอนท้ายปีก็มาสรุปอีกทีว่าอ่านอะไรไปบ้าง บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่

เคล็ดลับที่นำมาให้อ่านกันคือ เป็นทิปเล็กๆที่จะทำใหเราบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ง่ายขึ้น โดยคัดมาเฉพาะส่วนที่คิดว่าทำงานกับตัวเองได้ดีและคิดว่าน่าจะทำงานได้ดีกับคนอื่นด้วย

ทำให้ง่ายต่อการหยิบหนังสือมาอ่าน

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปนิสัยจะบอกคุณว่ายิ่งคุณทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ง่ายเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งทำสิ่งนั้นได้มากขึ้นเท่านั้น วางหนังสือตรงตำแหน่งที่คุณจะอ่าน (โต๊ะข้างเตียง โซฟา ในกระเป๋าเป้สำหรับการเดินทางของคุณ อื่นๆที่ใกล้ตัว) คุณจึงไม่ต้องคิดเกี่ยวกับมัน แต่เพียงแค่หยิบหนังสือขึ้นมา และลองอ่านหนังสือสองสามเล่มพร้อมๆ กัน เพื่อที่คุณจะได้เลือกหนังสือที่เหมาะกับอารมณ์ตอนนั้นของคุณได้

ผลักดันตัวเอง แต่ให้นึกถึงความเป็นจริง

หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพการอ่านตกต่ำด้วยการมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ความจริง คุณสามารถเพิ่มหรือลดเป้าหมายของคุณได้ตลอดเวลาตลอดทั้งปี เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สนุกในการสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง ดังนั้นไม่ต้องกดดันตัวเอง หากคุณจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายก็เปลี่ยนได้ (ตั้งไว้ให้เยอะเพื่อสร้างแรงจูงใจ)

อ่านหนังสือที่คุณชอบ (ยกให้สำคัญสุด)

ฟังดูง่าย แต่บางครั้งเราลองอ่านหนังสือเพราะรู้สึกว่าเราควรอ่าน แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่ และไม่ชอบ คุณวางมันลงและไม่สามารถหาแรงจูงใจที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่านต่อได้ บางทีก็ฝืนอ่านต่อ รู้สึกถูกบังคับ ส่งผลให้ไม่สนุกกับการอ่าน และมันจึงเริ่มปิดกั้นไม่ให้คุณอ่านอย่างอื่น ดังนั้นจงตัดจบและไปต่อ—ไม่มีกฎว่าคุณต้องอ่านหนังสือให้จบ! มีหนังสือที่น่าอ่านอีกมากมายรอคุณอยู่ ดังนั้นเปิดหนังสือใหม่และรักษานิสัยการอ่านของคุณต่อไป หาแรงบันดาลใจ หาดูหนังสือที่นักอ่านคนอื่นๆ ชื่นชอบ หรือหนังสือที่คนอื่นตั้งตารอ

ที่มา https://www.goodreads.com/blog/show/2465-tips-to-read-more-books-in-2023-with-the-goodreads-reading-challenge

How to use Latexdiff to mark changes to Tex documents.

Latexdiff is a tool for highlighting changes between two latex documents. So, I remind myself how to use it.

  1. install Perl click
  2. download latexdiff and unzip it into the Perl > bin folder
  3. Optional: installing the latexdiff package in MiKTek appears to work as well.

How to use it:

  1. cmd
  2. cd to file folder
  3. latexdiff oldfile.tex newfile.tex > diff.tex

Enjoy!

Ref: https://www.overleaf.com/learn/latex/Articles/Using_Latexdiff_For_Marking_Changes_To_Tex_Documents

Review Dale Carnegie’s “How to Win Friends and Influence People”

Dale Carnegie’s “How to Win Friends and Influence People” is a timeless classic in the self-help genre, commonly found on lists of essential reading materials. Originally published in 1936, the edition I read was an updated version with added content.

How to Win Friends and Influence People

The author provides practical advice on enhancing social abilities and building relationships with others, with a strong emphasis on the significance of active listening, expressing genuine interest in others, and being cautious when using criticism and negativity. The principles outlined in the book are drawn from a range of sources, including the author’s personal experiences. Despite its age, the book remains relevant and applicable to modern-day situations, as human nature has evidently not changed. I highly recommend “How to Win Friends and Influence People” to anyone seeking to improve their social skills and gain a deeper understanding of human nature.

รีวิวหนังสือ ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ

ผลงานของฮิงาชิโนะ เคโงะ มีเรื่องเด่นอย่างหนึ่งที่ทำได้สุดยอดมากๆคือ เราจะถูกดึงให้อ่านต่อแบบหยุดไม่ได้ตั้งแต่อ่านได้แค่ 10-20 หน้าแรกของนิยายความยาวระดับ 500 หน้า 

“เรื่องปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ” เป็นผลงานเล่มแรกที่เกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติของฮิงาชิโนะ เคโงะ ที่เราได้อ่าน (นี่ฉันสปอยรึเปล่านะ?) ก่อนหน้านี้จะได้อ่านแค่แนวสืบสวนฆาตกรรมซะเป็นส่วนใหญ่ 

ส่วนเนื้อนั้นเป็นเรื่องของร้านชำในแบบยุคเก่า แต่นามิยะเจ้าของร้านกลับเปิดบริการรับปรึกษาปัญหากลุ้มใจ ลูกค้าของคุณนามิยะจะส่งจดหมายมาขอให้เขาช่วยตอบปัญหาหนักใจ 

เรื่องราวปัญหาของลูกค้าแต่ละคนมีทั้งง่ายๆ ไปจนถึงหนักหนาสาหัส แต่เรื่องราวของตัวละครก็มีความสอดคล้อง เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง มีเรื่องราวที่อบอุ่น และเศร้าปนกันไป 

เราจะได้ติดตามชีวิตของแต่ละคนที่ได้รับคำปรึกษาจากเจ้าของร้าน พวกเขาได้ทำตามคำแนะนำอย่างไรบ้างและมันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปในทิศทางไหนได้บ้างนั้น คนอ่านจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน 

เป็นอีกเล่มที่อ่านสนุก และขอแนะนำให้ได้อ่านกันครับ

รีวิว What if? 2 จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…เล่ม 2

what if2 จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…เล่ม 2

หนังสือ what If? 2 ถ้าชอบเล่มหนึ่งแล้ว คิดว่าจะชอบเล่มสองด้วยแน่นอน Randall Monroe ตอบปัญหาที่กวนส้นได้สนุกและบันเทิงสุดๆ ความแตกต่างที่เรียกว่าเป็นสิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเล่มแรกมีหลายอย่าง เช่น นอกจากจะมีการตอบคำถามหลักที่ยาวและละเอียดแบบเล่มแรก ยังมีแทรกการตอบคำถามแบบสั้นๆไว้ด้วย เหมือนให้เราได้พักเบรคจากคำถามหลัก แต่คำถามก็น่าสนใจและบ้าบอเหมือนกัน

อีกอย่างใน what if? 2 เล่มนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะใส่ใจและจริงจังกับการหาคำตอบให้กับคำถามกวนๆมากขึ้น เราจะได้เห็นการใส่อ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากหลายแหล่งมากขึ้น รวมทั้งการได้ไปคุยกับผู้เชียวชาญเฉพาะในเรื่องนั้นๆโดยตรง แทนที่จะพยายามจะตอบคำถามด้วยตัวเองคนเดียว เราจึงได้เห็นการตอบคำถามที่หลากหลายมากกว่าแค่แนวฟิสิกส์ที่เขาเชี่ยวชาญ

หนังสือ What if? 1-2 ของ Randall Monroe เป็นหนังสือที่ตอบโจทย์อ่านเอาสนุก เอาฮา หรืออ่านเอาวิธีคิดในการหาคำตอบที่มีชั้นเชิงโดยอิงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่ข้อควรระวังคือเราจะเอาความจริงจังและความถูกต้องมากไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคำตอบแค่ในเชิงสมมุติฐาน ไม่มีการทดลองจริง (ก็แน่สิ คำถามบ้าบอสุดๆ) แต่ก็ไม่ใช่การตอบแบบมั่วๆเพราะยังอิงกับความรู้และข้อมูลที่มีในปัจจุบันอยู่ด้วย มันจึงเป็นหนังสือที่อ่านสนุกแบบไม่ไร้สาระและก็ไม่จริงจังเกินไป รวมทั้งมีการ์ตูนประกอบยิ่งทำให้อ่านเข้าใจง่ายและสนุกเพิ่มขึ้นอีก

เยี่ยมชมห้องคลีนรูม สำหรับทำงานวิจัยที่ Forschungszentrum Jülich (FZJ) เยอรมนี อย่างอลังการ

สัปดาห์ก่อนได้ไปที่ Forschungszentrum Jülich (FZJ) ข้อมูลเบื้องต้นคือ เป็นสถาบันวิจัยระดับชาติของเยอรมันที่ทำวิจัยหลายด้านมาก มีพนักงานประมาณ 6,800 คน มีสถาบัน 10 แห่งและสถาบันย่อย 80 แห่ง ถือเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ข้างในเปรียบเหมือนเป็นเมืองอีกหนึ่งเลยทีเดียว มีโรงพยาบาล มีสถานีดับเพลิง และสิ่งจำเป็นอื่นๆอยู่ภายใน

เราไปทำธุระอย่างอื่น แต่เนื่องจากว่าเพื่อนร่วมงานเคยทำงานที่นั้นและคุ้นเคยกับคนที่นั้นอย่างดี เขารู้ว่าเราสนใจงานทางด้าน Miro and Nanofabrication เลยอาสาพาทัวร์ตึกคลีนรูมของที่นั้น

Helmholtz Nano Facility (HNF) คือห้องคลีนรูมขนาด 1200 ตร.ม. ตามมาตรฐาน ISO 1-3 ทำงานตามมาตรฐาน VDI DIN 2083 และ DIN EN ISO 14644 ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 ที่ศูนย์รับทั้งงานร่วมวิจัยภายในองค์กร และรับบริการภายนอกด้วย มีบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเคยเข้ามาทำงานในนี้และบางบริษัทก็ยังเช่าห้องอยู่เพื่อทำงานวิจัยโดยใช้ Facility ของศูนย์ในการทำงาน หลายๆกลุ่มวิจัยก็ใช้ที่นี้สร้างชิพสำหรับควอนตัมคอมพิวเตอร์

ห้องคลีนรูมอธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือห้องที่ควบคุมให้ห้องมีฝุ่นน้อยที่สุด การสร้างชิพหรือวงจรที่มีความละเอียดในระดับนาโน อนุภาคที่ปนเปื้อนเพียงเล็กน้อยก็ทำให้อุปกรณ์ที่สร้างอยู่เสียหายได้ จึงจำเป็นต้องสร้างห้องที่มีฝุ่นปนเปื้อนในอากาศให้น้อยที่สุด (ความจริงควบคุมหมดทั้ง อนุภาค ความชื่น อุณหภูมิ แรงดัน ทิศทางและการไหลของอากาศ)

คลีนรูมของที่นี้ต้องเรียกว่าอลังการมาก อาจเรียกได้ว่าทั้งตึกเป็นส่วนหนึ่งของคลีนรูม โดยสร้างตึกขึ้นมาครอบตึกอีกทีเพื่อให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมภายในได้ดียิ่งขึ้น เราจึงสามารถเดินชมห้องได้โดยรอบผ่านตรงจุดเชื่อมตึกที่ครอบและตึกด้านใน ด้านบนเป็นระบบควบคุมอากาศและอุณหภูมิ ชั้นกลางคือส่วนของห้องคลีนรูม ที่แบ่งย่อยเป็นห้องตามจุดประสงค์ในการทำงาน ด้านล่างเป็นส่วนของซัพพลาย เช่น ไฟฟ้า น้ำ แก๊ส ปั๊ม ฯลฯ เป็นระบบที่ออกแบบมาได้ดีมากๆ ลิสต์เครื่องมือมีพร้อมทุกอย่าง ตามไปดูในลิงค์ ภายในนี้สามารถออกแบบ ผลิตชิพ และร่วมทั้งทดสอบ งานจบได้ในที่นี่ เครื่องมือค่อนข้างใหม่มาก จนหลายคนที่นี้เรียกกันขำๆว่า โชว์รูมของ Oxford Instructions (บริษัทที่ออกแบบและผลิตอุปกรณ์งานทางด้านซิมคอนดักเตอร์) การได้เดินทัวร์ดูอุปกรณ์และระบบที่ออกแบบมาอย่างดีถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว คาดว่าน่าจะได้มีโอกาสเข้าไปใช้ Facility ของที่นี่ในอีกไม่นาน

เอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังประมาณนี้แล้วกันครับ

ปล. อยากเห็นศูนย์วิจัยของ TSMC จริงๆว่าจะอลังการขนาดไหนนะ

ข้อมูลเบื้องต้น
Wet bench
E-Beam Lithography
Surface characteristic
Air flow and temperature control center
ICP RIE, PECVD, SPUTTER
ปั๊มและเครื่องทำความเย็นแยกออกมาอยู่ด้านล่างของห้อง

Old enough วาไรตี้การทำธุระครั้งแรก ของเด็กวัยอนุบาลญี่ปุ่น

Old Enough! วาไรตี้ชมได้ทาง Netflix

Old enough เป็นรายการวาไรตี้ญี่ปุ่น ดูได้ทาง Netflix รูปแบบรายการเป็นลักษณะสารคดี ตามติดการทำธุระด้วยตัวเองเพื่อช่วยครอบครัวของเด็ก ๆ ก่อนวัยเรียน เช่น ออกไปซื้อของชำ จัดส่งพัสดุ ส่งข้าวกลางวัน เป็นต้น ตอนละ 10 กว่านาทีเอง

รีวิวสั้น ๆ น่ารัก สนุก และดีมาก ๆ เด็ก ๆ ตัวนิดเดียวแต่เก่งมาก ๆ น่าทึ่งสุด ๆ

ส่วนตัวได้แต่อิจฉาวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมของญี่ปุ่นที่เอื้อให้เด็กสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวคนเดียวได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ในรายการจะมีคนของรายการดูแลความปลอดภัยให้ตลอดก็เถอะ แต่ก็รู้สึกว่าปลอดภัยกว่าบ้านเมืองเราอยู่ดี

สิ่งที่เห็นชัด ๆ เช่น การข้ามถนน ที่ถูกฝึกอบรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเด็ก ๆ ก็ทำตามอย่างเคร่งครัดมาก ๆ

สรุปว่า ดูเลย สนุก คอนเฟิร์ม รอชมซีซั่นต่อไปไม่ไหวแล้ว

ปล. เด็ก ๆ ในรายการจะน่ารักและเก่งแตกต่างกันไป พ่อๆแม่ๆ อย่าเอามาเปรียบเทียบกับลูกหลานตัวเองเด็ดขาด เด็ก ๆ แต่ละคนโตมาแตกต่างกัน มีความน่ารัก และเก่งในแบบของตัวเอง

The Lord of the Rings ไปอยู่ไหนมาทำไมเพิ่งได้อ่าน

หนังสือชุด The Lord of the Rings ที่มี 3 เล่มจบ

เพิ่งจะอ่านหนังสือชุด The Lord of the Rings เล่มที่ 1 จบ ซึ่งปกติจะเป็นคนที่ทั้งอ่านและฟังไปพร้อมกัน เล่มนี้ audio book อ่านโดย Andy Serkis (คนที่แสดงเป็นกอลลั่มในฉบับหนัง) ซึ่งเขาก็ทำผลงานออกมาได้ดีมาก ๆ ทั้งร้องเพลง อ่านบทกวี ดัดเสียงตามตัวละคร จังหวะการอ่านดีมาก ๆ รวมแล้วประมาณ 22 ชั่วโมง ความจริงถ้าอ่านเองอาจจะใช้เวลาเร็วกว่านี้มาก แต่ได้ฟังเสียงไปด้วยมันเพลินมาก ไม่ปรับความเร็วด้วย

ส่วนเนื้อหาของหนังสือเล่มแรกของชุด 3 เล่มจบ The Fellowship of the Ring พบว่าเป็นหนังสือที่ดีงามมาก ๆ การเล่าเรื่อง ความแฟนตาซี ปรัชญา บทเพลง บทกวี ภาษาและอักขระเฉพาะ การเดินทางผจญภัย ความสัมพันธ์ของตัวละคร และโครงสร้างจักรวาลถูกวางและเขียนไว้ได้ดีมาก ๆ นี้คือหนังสือที่ควรอ่านสักครั้ง

คำถามต่อมาคือเราไปอยู่ไหนมาทำไมเพิ่งจะได้อ่านนะ (ดูแต่หนัง จำนวนรอบนั้นนับไม่ได้แล้ว)

Exit mobile version