รีวิวหนังสือ How To นี้คือภาคต่อของ What If?

หนังสือ How To: Absurd Scientific Advice for Common Real-World Problems
เขียนโดย Randall Munroe นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ วิศกร ชาวอเมริกัน ผลงานที่ผ่านมา xkcd, What If?, Thing Explainer

รีวิวหนังสือ How To: Absurd Scientific Advice for Common Real-World Problems

ได้รู้จักผลงานของ Randall Munroe ครั้งแรกผ่านทางหนังสือ What If? เป็นหนังสือตอบปัญหาประหลาดๆ ด้วยหลักและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีในปัจจุบัน มีเขียนการ์ตูนแทรกเป็นเป็นระยะๆ มีความตลก ขำขัน ซึ่งมันสนุกมากๆ

พอผลงานเล่มถัดมาของเขา Thing Explainer ด้วยความพยายามตั้งเงื่อนไข ใช้คำศัพท์เพียง 1,000 คำในการเขียน และรูปแบบในการนำเสนอเชิงอธิบายสิ่งต่างๆด้วยภาพ พร้อมคำอธิบายในหนึ่งหน้ากระดาษ มันเลยออกมาเหมือน blue print ของสิ่งที่เขียนถึง มันเป็นหนังสือที่ดี แต่ความสนุก การมีอารมณ์ขันขอคนเขียนมันหายไป

ย้อนกลับมาที่ผลงานใหม่ล่าสุดของเขา How To ต้องเรียกว่า เป็น Monroe Strike Back เพราะความสนุกแบบ What If? กลับมาแล้ว รูปแบบการเขียนแบบมีอารมณ์ขัน แทรกด้วยการ์ตูน xkcd มุกฮาๆ ที่เราเคยชอบกลับมาหมด จะเรียกภาคสองของ What If? ก็คงไม่ผิดหนัก

ยิ่งกว่านั้น ในบางเรื่องที่เขาเขียนถึงผ่านการตั้งคำถามที่กวนๆในตอนแรก แต่ตอบด้วยหลักวิทยาสตร์ตอนท้าย ในเล่มนี้เขาไม่ได้คิดคนเดียวเสียหมดทุกเรื่อง มีการไปสัมภาษณ์ผู้เชียวชาญในเรื่องนั้นๆแทรกมาด้วย ยิ่งทำให้เรื่องนั้นดูน่าสนใจขึ้นอีกมาก (ไม่ไช่ทุกเรื่องที่คุยกับผู้เชี่ยวชาญ)

ในบางหัวข้อ เขาแทรกประวัติศาสตร์การแก้ไขปัญหาของคนในสมัยก่อนมาให้อ่านด้วย หลายครั้งทำให้เกิดความสงสัยต้องไปค้นต่อในเรื่องนั้นๆอยู่หลายครั้ง

ขอยกตัวอย่างบางเรื่องที่ถูกแทรกเข้ามาในหัวข้อ How to cross a river (วิธีการข้ามแม่น้ำ)
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1847 วิศวกรได้ระดมสมองคิดวิธีการที่จะลากสายเคเบิลข้ามแม่น้ำบริเวณน้ำตกไนแอการ่า เพื่อจะได้เริ่มต้นสร้างเป็นสะพานเชื่อมระหว่างฝั่งอเมริกาและแคนนาดาต่อไป แต่ปัญหาคือ ด้วยระยะทาง 213 เมตร ร่วมกับบริเวณนั้นมีน้ำวนและน้ำไหลเชี่ยวแรงมาก ไม่สามารถว่ายหรือใช้เรือเฟอร์รี่ลากสายเคเบิลข้ามไปได้

ผลจากการระดมสมอง ทีมวิศกรเลยจัดประกาศการแข่งขัน เล่นว่าวลากเคเบิล ข้ามไปอีกฝั่ง (ความคิดที่บ้าบอดี)
คนแรกที่ทำได้จะได้รางวัล 10 ดอลล่าร์ และเด็กหนุ่มชาวอเมริกันวัย 15 ปี ชื่อ Homan Walsh เขาปล่อยว่าวจากฝั่งแคนนาดาและปีนต้นไม้ที่ฝั่งอเมริกาเพื่อคว้าเอาว่าวลงมา เขาทำสำเร็จเป็นคนแรกและได้รางวัลไป จากเชือกว่าวที่เบาๆุถูกผูกติดกับเชือกที่ใหญ่ขึ้น แล้วดึงข้ามไปอีกฝั่ง เชือกถูกเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆจนลากสายเคเบิลที่ใหญ่ได้สำเร็จ

นี่เป็นขั้นตอนแรกในการสร้างสะพานแขวนแห่งแรกเหนือแม่น้ำไนแองการ่า ซึ่งเปิดใช้ในปี 1848 ปัจจุบันสะพานดังกล่าวถูกแทนที่ด้วย สะพาน Whirlpool Rapids ซึ่งเปิดใช้ในปี 1897 จนถึงปัจจุบัน

flying-kite contest in 1847

แม้ Randall Munroe จะเขียนไว้ตั้งแต่ต้นว่า อย่าทดลองทำตามที่หนังสือแนะนำเด็ดขาด ไม่รับรองความปลอดภัย และไม่รับรองผลสำเสร็จ รวมทั้งอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย แต่บางเรื่องเมื่อลองคิดดูแล้ว มันก็มีโอกาสสำเร็จสูงเหมือนกันเลยทีเดียว แม้มันจะเป็นความคิดที่ค่อนข้างจะบ้าบอไปหน่อยก็เถอะ เช่น วิธีการจะชาร์ตแบบมือถือยังไงในอาคาร ถ้าหาปลั๊กไฟไม่ได้ หนึ่งในแหล่งพลังงานที่พอจะแปลงออกมาเป็นพลังงานให้ชาร์ตมือถือได้ คือ บันไดเลื่อน ถ้าเราเอา generator ไปติดกับล้อและให้ล้อติดกับบันไดเลื่อนอีกที บันไดจะหมุนล้อไปเรื่อยๆ ปั่นไฟฟ้าออกมาให้เราได้ชาร์ตมือถือได้ ดูบ้าบอแต่มีความเป็นไปได้นะ

How to Charge Your Phone (when you can’t find an outlet)

โดยสรุป สนุก ตลก มีสาระแทรก ยิ่งถ้าคุณเคยเป็นคนที่ชอบ อารมณ์ขันใน What If? ยิ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ให้คะแนน 4.5/5
ที่หักไปนิดหนึ่งเพราะหน่วยทางวิทยาศาสตร์ที่เขาใช้ในหนังสือ เช่น ระยะทาง ความสูง น้ำหนัก และอื่นๆ จะใช้แบบอเมริกันบ้าง แบบสากลบ้างสลับปนกันไปมา คนอเมริกันอาจจะคุ้นเคย แต่พอเราอ่านต้องค่อยแปลงค่าไปมาบ่อยๆทำให้การอ่านสะดุดไปบ้าง เข้าใจว่าเล่มที่ตีพิมพ์แบบ international อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างที่ What If? เคยทำ เช่น เปลี่ยนความสูงแบบ feet เป็น meter หรือ ระยะ mile เป็น km ทั้งหมดตลอดทั้งเล่ม เป็นต้น

รีวิวหนังสือ Educated: A Memoir

หนังสือ Educated
เขียนโดย Tara Westover นักประวัติศาสตร์, นักเขียน

-จบปริญญาตรีจาก Brigham Young University ปี 2008
-ได้รับทุน Gates Cambridge Scholarship
-จบปริญญาโทและเอก จาก Trinity College, Cambridge ปี 2009 และ 2014

หนังสือ Educated เขียนโดย Tara Westover

Educated เป็นหนังสือแนะนำจากแทบจะทุกสำนักที่รู้จักเลย ทั้ง NYT’s best selling 2018 , non-fiction Choice award จาก Goodreads, Obama, Bill Grates และอีกหลากหลายแหล่ง เลยไม่ต้องลังเลว่าควรจะอ่านดีไหม

หนังสือ Educated คือ บันทึกความทรงจำของ Tara Westover เด็กสาวจาก Idaho, USA มีพี่น้อง 7 คน เติบโตในบ้านบนเขาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่เชื่อในระบบต่างๆจากรัฐบาล เชื่อว่าโลกกำลังจะแตก ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า โรงเรียนคือที่ล้างสมองของรัฐบาล และมีกลุ่มอิลูมินาติอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองไม่พึ่งพารัฐบาล เตรียมอาหาร น้ำ ยารักษาโรค ไว้ใช้เอง พ่อไม่อนุญาตให้ไปโรงพยาบาล เมื่อเจ็บป่วยก็รักษาเอง แม่เธอทำยารักษาจากสมุนไพรใช้เอง แม้แต่ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงก็รักษาด้วยน้ำมันสมุนไพร พ่อทำงานในที่ทิ้งเศษขยะ (junkyard) ทำกว่าเธอจะได้เข้าเรียนในห้องเรียนครั้งแรกคือ เมื่อเธออายุได้ 17 ปี

ที่น่าตกใจกว่านั้นคือพวกเขาทำคลอดกันเองในชุมชน แม่เธอเคยเป็นผู้ช่วยทำคลอดมาก่อนและตอนท้ายเธอก็รับทำคลอดให้คนในชุมชนเสียเอง การทำคลอดกันเองและไม่ไปโรงพยาบาลเลย ทำให้พวกเขาไม่มีประวัติการรักษา มากกว่านั้นคือ ทำให้ลูกๆของเธอ 4 คนหลังไม่มีแม้แต่ใบแจ้งเกิด

จะเห็นได้ว่าในประวัติเธอระบุวันเกิดที่ชัดเจนไม่ได้ (born September 27-29 1986) เธอและพี่น้องทั้งหมดไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป ทุกคนมีงานที่ต้องรับผิดชอบ และช่วยงานของพ่อ แต่แม่ก็สอนวิธีการอ่านและเขียนให้ลูกๆ ใช้อ่านหนังสือศาสนา แต่ลูกบางคนก็ไม่ได้ใส่ใจเรียนทำให้อ่านและเขียนแทบจะไม่ได้

จากนั้นเธอเริ่มศึกษาวิชาต่างๆด้วยตัวเอง ทั้งคณิตศาสตร์และไวยากรณ์ให้เพียงพอที่จะสามารถสอบเข้า Brigham Young University (BYU) ให้ได้ เธอสอบผ่าน แต่เธอต้องโต้เถียงกับพ่ออย่างหนักเพื่ออนุญาตให้เธอสามารถเข้าเรียนในมหาลัยที่ที่พ่อเธอบอกว่ามันคือที่ล้างสมองของรัฐบาล เธอต้องทำงานสะสมเงินเองเพื่อให้พอใช้จ่ายในมหาลัย รวมทั้งต้องเรียนให้ได้เกรดสูงสุดเพื่อให้ได้ทุนสำหรับค่าเล่าเรียน

แม้เราจะรู้แล้วว่าเธอสามารถเรียนจบได้ถึงระดับสูง ในมหาลัยชั้นนำ แต่กว่าจะถึงจุดนั้น เรื่องเล่าต่างๆในมุมมองของเธอ ต่อครอบครัว การทำงานเก็บเงิน การถูกรังแกอย่างรุนแรงจากพี่ชาย การใช้ชีวิตที่ดูจะแปลกแยกจากโลกภายนอก ครอบครัวที่เหมือนจะถูกแยกออกจากกันเรื่อยๆ เราคนอ่านจะได้เติบโตไปพร้อมๆกับเธอในแต่ละช่วงเวลาของการใช้ชีวิต

ส่วนอันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นความตั้งใจของเธอเองหรือเราคิดไปเอง ว่าหลังจากช่วงเวลาที่เธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้สักพัก รูปแบบของการเล่าและรูปแบบการเขียนของเธอดูเปลี่ยนไป ค่อยๆ มีการใช้คำศัพท์ที่ยากขึ้น ถ้อยคำที่ดูมีหลักเชิงวิชาการมากขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องราวต่างๆมีพลังและสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างมาก

อ่านสนุกมาก มีหลากหลายอารมณ์ มีทั้งตื่นเต้น สลด เศร้า มีความหวัง และเข้าใจ อยู่ในเล่มนี้ ถ้าหยิบขึ้นมาอ่านแล้วจะอยากอ่านต่อเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ให้คะแนน 4/5
ที่หักไปหนึ่งคะแนนเพราะ เข้าใจว่าชีวิตจริงมันจริงจัง ไม่ใช่เรื่องเลิศหรูสวยงาม มันเลยไม่ได้ออกมาในแบบที่เราคนอ่านอยากให้มันเป็น เลยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนท้าย (ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ)

ขอทิ้งประโยคอันทรงพลังนี้ไว้ ก้องอยู่ในหัวมาสักพักแล้ว
You could call thos selfhood many things. Transformation. Metamorphosis. Falsity. Betrayal.
I call it an EDUCATION.

รีวิวหนังสือ Algorithms to Live By: The Computer Science of Human Decisions

หนังสือ Algorithms to Live By: The Computer Science of Human Decisions (2016)

ผลงานการเขียนร่วมกันระหว่าง

-Brian Christian นักเขียนชาวอเมริกัน ที่เคยเขียนหนังสือ Bestseller อย่าง The Most Human Human (2011) (เล่มนี้มีข่าวว่าสำนักพิมพ์ salt เอาไปแปลแล้ว)
-Tom Griffiths ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ(psychology and cognitive science) ที่ UC Berkeley ผู้อำนวยการ UC Berkeley’s Computational Cognitive Science Lab

หนังสือ Algorithms to Live By: The Computer Science of Human Decisions by Brian Christian (ซ้าย) and Tom Griffiths (ขวา)

ความจริงแล้วควรเขียนรีวิวหนังสือเล่มนี้ก่อน รีวิวหนังสือ Hello World: Being Human in the Age of Algorithms เพราะได้อ่านก่อน เพราะไม่ได้คิดว่าจะเขียนรีวิวจริงจัง เขียนสั้นๆไว้ใน facebook แล้ว แต่ก็เสียดายเลยเอามาลงไว้ที่นี้อีกรอบ

หนังสือ Algorithms to Live By เป็นหนังสือที่บันเทิงมากกว่าที่คิด คนเขียนเอาหลักคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างสนุกสนาน และน่าสนใจมาก มีเรื่องให้เอาไปเล่าในวงสนทนากับเพื่อนๆได้อย่างสนุกสนาน เราจะรู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ ที่บางครั้งใช้สามัญสำนึกคิดไม่ได้ แต่คณิตศาสตร์ตอบปัญหาเหล่านั้นออกมาเป็นตัวเลขให้เราได้

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าหนังสือเล่มนี้ ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์บ้างจะอ่านสนุกขึ้น แต่ถึงไม่รู้เรื่องเลยก็ยังจะทำความเข้าใจกับกระบวนการคิดได้

ขอยกตัวอย่างบางส่วนมาให้อ่านกัน จะได้ประมาณได้ถูกว่าหนังสือจะเล่าเรื่องอะไร ให้เราได้ทำความเข้าใจกับ Algorithms และการนำไปใช้อย่างไรได้บ้าง

-ถ้ากำลังค้นหาบ้านเช่าหลังใหม่ เลขาคนใหม่หรือหาแฟนสักคน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่ต้องหยุดหาและตัดสินใจเลือกได้แล้ว สามารถใช้ secretary problem ในการแก้ปัญหาได้

อธิบายดังนี้ ถ้าเราสามารถตัดสินใจเลือกรับหรือไม่รับ ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแค่ครั้งเดียว (คุณคงจะไม่สามารถ say NO, YES กลับไปกลับมากับสาวที่เดทอยู่แล้วได้หรอกนะ) แล้วเมื่อไหร่ถึงจะตัดสินหยุดและเลือกตัวเลือกนั้น คำตอบคือ คนลำดับที่ 37% ของตัวเลือกทั้งหมดมี ใช้ได้กับการเลือกบ้าน เลือกเลขาหน้าห้อง เลือกห้องน้ำที่ music festival หรือแม้แต่แฟนสักคน ลำดับที่ 37% มี possibility ที่สูงที่สุดหลังจากนั้นจะค่อยๆลดลง

ถ้าสนใจดูคำอธิบายเพิ่มเติมได้ที่คลิปด้านล่าง

คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ secretary problem
ดูคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ secretary problem ได้ที่คลิปนี้

-เราจะตัดสินใจอย่างไรระหว่างทำอย่างเดิมที่คุ้นเคยหรือทำสิ่งใหม่ เช่น เย็นนี้จะกินอาหารที่ร้านเดิมที่ชอบหรือจะลองไปกินร้านใหม่ที่ไม่เคยกิน (Explore/Exploit trad-off)

ดูคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Explore/Exploit trad-off ได้ที่คลิปนี้

-ถ้ามีเสื้อผ้าหลายตระกร้า ต้องซักก่อนแล้วค่อยปั้นแห้ง เวลาที่ใช้ของแต่ละเครื่องขึ้นกับชนิดและความเปื้อนของผ้า เช่น ผ้าสกปรกมากหน่อยก็ต้องซักนานกว่าปกติ ถ้าผ้าหนาหน่อยก็ใช้เวลาปั่นแห้งนานกว่าปกติ แล้วแบบนี้ เราจะจัดลำดับอย่างไร ให้การใช้เวลาในการทำงานน้อยที่สุด ไม่ให้มีช่วงที่ต้องรออีกเครื่องทำงานเสร็จก่อน หรือถ้ามีก็ให้มีน้อยที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด (Sorting, Johnson’s algorithm)

คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Johnson’s algorithm ได้ที่คลิปนี้

เราจะได้เจออะไรแบบนี้ตลอดทั้งเล่ม เอาเป็นว่าแนะนำให้อ่านครับ สนุก
5/5
Algorithms to Live By: The Computer Science of Human Decisions by Brian Christian and Tom Griffiths

รีวิวหนังสือ Hello World: Being Human in the Age of Algorithms

หนังสือ Hello World: Being Human in the Age of Algorithms
เขียนโดย Hannah Fry รองศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ จาก University College London
—-


ในหนังสือเกี่ยวกับอัลกอริทึมที่อ่านไปก่อนหน้านี้ Algorithms to Live By อาจจะต้องเข้าใจ Mathematics ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับเล่มนี้ไม่ต้องเลย

Hello World จะเล่าเรื่องอีกแบบที่ไม่ได้ยกโมเดลทางคณิตศาสตร์มาให้ปวดหัวเลย คนธรรมดาอย่างเราอ่านสบายเลยทีนี้

เปิดเรื่องด้วยการนิยามของคำว่า Algorithms ให้คนอ่านเข้าใจร่วมกัน จากนั้น จะเล่าถึงการใช้งานในแง่มุมต่างๆ และผลกระทบที่เกิดขึ้น

หัวข้อหลักๆ
-ข้อมูล
-การตัดสินของศาล
-ทางการแพทย์
-รถยนต์
-อาญากรรม
-ศิลปะ

การนำ Algorithms ไปใช้ในหัวข้อต่างๆเหล่านี้เกิดผลกระทบในแง่ต่างๆอย่างไรบ้าง ในหนังสือจะยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาให้ศึกษาและวิจารณ์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น

—-
ยกตัวอย่างบางอันมาให้อ่าน ในกรณีของการใช้ Algorithms ไปจัดการกับข้อมูลของลูกค้า เมื่อสมาชิกของร้านค้า ซื้อของแล้วใช้บัตรสมาชิกเพื่อสะสมแต้ม บริษัทก็จะได้ข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าไปเป็นการแลกเปลี่ยน ซื่งข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากกับผู้ประกอบการ ทำให้รู้ถึงพฤติกรรมของลูกค้าตัวเอง ลูกค้ามีที่อยู่ที่ไหนบ้างที่มาซื้อของจากสาขานี้ รวมถึงประมาณสินค้าในสต็อคได้อีกด้วย และยังใช้ข้อมูลในด้านอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งลูกค้าไม่รู้ตัวเลยว่าข้อมูลของตัวเองถูกใช้ไปทำอะไรบ้าง

กรณีนี้คือ เมื่อ Algorithms สามารถเดาได้ว่า ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าเหล่านี้แล้ว ในครั้งต่อไปจะซื้ออะไร วันหนึ่งคุณพ่อท่านหนึ่งโทรไปโวยวายบริษัท เพราะได้รับคูปองลดราคาจากบริษัทดังกล่าวที่เป็นสินค้าเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ไม่มีเด็กในบ้านเลย ยกเว้นลูกสาวที่เป็นวัยรุ่นแล้ว อีกวันเมื่อผู้จัดการทราบเรื่อง จึงโทรกลับไปขอโทษกับคุณพ่อท่านนี้ ปรากฏว่าชายที่เสียงแข็งเมื่อวานกลับขอโทษบริษัทแทน เพราะจากการซักไซร้กับลูกสาวของตนพบว่า เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่!

เป็นไปได้อย่างไร? บริษัทขายของรู้ว่าลูกสาวมีท้องก่อนคุณพ่อของเธอเอง คำตอบ คือ Algorithms สามารถเดาได้จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าของสมาชิก ผ่านข้อมูลจำนวนมากที่เก็บได้จากสมาชิก เช่น ถ้าเธอซื้อ แป้ง ผ้า อาหารเสริมหรือครีมบางชนิด Algorithms สามารถบ่งชี้ได้ว่าเธออาจจะตั้งท้อง และระบบก็จัดส่งสินค้าเกี่ยวกับเด็กแรกคลอดไปให้เธอ เพื่อกระตุ้นให้เธอกลับมาซื้อของที่ร้านอีก
—-
หรืออีกหนึ่งตัวอย่าง แม่บ้านโทรไปโวยวายกับโลตัส ว่าทำไมมีลิงค์ถุงยางอนามัยขึ้นมาบนหน้าโปรไฟล์ในหน้าเว็บซื้อของออนไลน์ของเธอ บริษัทตรวจสอบ ข้อมูลถูกต้อง แต่บริษัทยอมเอาลิงค์ลงให้ เธอไม่ได้ซื้อแต่สามีเธอซื้อแล้วไปใช้กับใคร? แต่ไม่ได้ใช้กับเธอแน่นอน
—–

แม้แต่กรณีของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ที่ถูกบริษัท Analytica เอาไปใช้ในการหาเสียงทางการเมือง ที่ทำให้ FB ถูกปรับไปเป็นจำนวนเงินมหาศาล เราจะได้เรียนรู้ว่า Algorithms ถูกนำมาใช้ได้อย่างไรในทางการเมือง

ในหนังสือมีเคสตัวอย่างแบบนี้ยกขึ้นมา ให้เราได้คิดตามถึงผลกระทบของยุคที่มี Algorithms ถูกนำมาใช้แทบจะทุกที่ ไม่ว่าเราต้องการหรือไม่แต่มันจะเกี่ยวข้องกับชีวิตเราเสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
—-
อ่านสนุกมาก ข้อยกให้เป็น หนังสือแนววิทยาศาสตร์ที่ชอบที่สุดของปีนี้
คะแนน 5/5

reMarkable แท็บเล็ตจอ E-Ink อ่าน เขียนได้เหมือนกระดาษ

หลายวันมานี้ได้เห็นโฆษณาอันหนึ่งบ่อยมาก อาจเพราะว่าค้นคำว่า “the best of tablet for artist” บ่อย จึงมีโฆษณาเกี่ยวกับแท็บเล็ตโผล่มาให้เห็น โฆษณาของผลิตภัณฑ์ที่ว่าคือ reMarkable: The paper tablet นิยามด้วยแท็บเล็ตที่ได้ฟิลลิ่งเหมือนกระดาษ(อ่าน เขียน เสก็ต)

reMarkable แท็บเล็ตที่อ่านเขียนได้เหมือนกระดาษ

เมื่อดูรายละเอียดแล้วก็ต้องบอกว่าไอเดียและคอนเซ็พท์นั้นโดนใจมาก

สิ่งที่เราอยากได้สำหรับเท็บเล็ต แล้วก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของแท็บเล็ตตัวนี้อีกด้วย มีดังนี้

  • เขียนได้เหมือนกระดาษ
    (แท็บเล็ตในตลาดตอนนี้ส่วนใหญ่เขียนบนหน้าจอได้ แต่ถ้าอยากได้การเขียนที่ละเอียดและแม่นยำ ในตลาดตอนนี้มี iPad Pro, Galaxy Tab S3, LENOVO Yoga Book, Surface Pro 4)
  • แบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานหลายวัน
    เพราะจอขาวดำใช้พลังงานต่ำกว่ามาก แม้ว่า reMarkable จะยังไม่ระบุว่าใช้ได้กี่วันแต่ก็หวังว่าจะใช้ได้หลักสัปดาห์ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง อย่างเช่นที่ Amazon Kindle ทำได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตอื่นๆที่ใช้งานในหลักชั่วโมงเท่านั้น
  • อ่านหนังสือได้นาน (จอ E-ink ดีที่สุด ปัจจุบันใช้ Amazon Kindle อ่านหนังสือ ซึ่งก็อ่านได้อย่างจริงจัง ไม่เหมือนกับอ่านจากจอแบบอื่นๆ)
  • ราคาถูก 379 usd (ล่าสุดเป็น 429 usd แล้ว) เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตที่กล่าวมาข้างต้นราคาแพงระดับ 500-1,200 usd

จากเหตุผลด้านบนตัว reMarkable ค่อนข้างตอบโจทย์มากๆ แต่ก็มีจุดด้อยอยู่บ้างดังนี้

  • เป็นจอขาวดำถ้าอยากทำงานศิลป์จริงจังมีลงสีอาจจะไม่เหมาะ
  • ใช้ OS ที่พัฒนาขึ้นเองอาจจะไม่มีแอพจากแหล่งอื่นให้ใช้
  • บริษัทที่ทำเป็น Startup ใหม่ ซึ่งยังไม่มีผลิตอื่นก่อนหน้านี้เลย คุณภาพของสิ้นค้าจะดีแค่ไหน รวมทั้งบริการหลังการขายจะเป็นยังไง ทำให้ยังลังเลที่จะ Pre-Order (ถ้า Amazon ทำกดสั่งไปแล้ว)

แต่ถ้าหากมองข้ามจุดด้อยต่างๆเหล่านี้ได้ reMarkable จึงเป็นแท็บเล็ตที่น่าสนใจมากๆ ด้วยจุดเด่น E-Reader ที่สามารถทั้งอ่าน เขียน และเสก็ต ได้ (Read, Write, Sketch)

reMarkable Read Write Sketch

อีกอย่างที่น่าสนใจ คือ ปากกาที่ใช้เขียนของ reMarkable รองรับแรงกดถึง 2048 ระดับ แต่ไม่ต้องชาร์ตและไม่ต้องใช้บลูทูธในการเชื่อมต่อ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ดีมากๆ

reMarkable feature sturdy

เขียนมาถึงขนาดนี้เหมือนได้ค่าโฆษณามาเขียนเชียร์เลย แต่มันก็ดูดีน่าใช้จริงๆ หวังว่าเมื่อผลิตเสร็จแล้ว จะทำงานได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เคลมไว้

สุดท้ายมาดูวิดีโอโปรโมตของ reMarkable กันครับ อย่างที่บอกมันน่าใช้มาก

https://www.youtube.com/watch?v=34I27KPZM6g

รายละเอียดสเปค

Size and Weight

  • 177 x 256 x 6.7mm (6.9 x 10.1 x .26 inches)
  • Approximately 350 gram (.77 pounds)

CANVAS display

  • 10.3” monochrome digital paper display (no colors)
  • 1872×1404 resolution (226 DPI)
  • Partially powered by E-ink Carta technology
  • Multi-point capacitive touch
  • No glass parts, virtually unbreakable
  • Paper-like surface friction

Pen

  • No battery, setup or pairing required
  • Special high-friction pen tip
  • Tilt detection
  • 2048 levels of pressure sensitivity

Storage and RAM

  • 8 GB internal storage (100,000 pages)
  • 512 MB DDR3L RAM

Connectivity

  • Wi-Fi connected

Battery

  • Rechargeable (Micro USB)
  • 3000 mAh

Processor

  • 1 GHz ARM A9 CPU

Operating system

  • Codex, a custom Linux-based OS optimized for low-latency e-paper

Document support

  • PDF and ePUB, with more formats to be announced

Other

  • Menu language: English only

ที่มา: https://getremarkable.com/

ฝึกให้อ่านเร็วขึ้น ตอนกำจัดเสียงอ่านในใจ

ผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า นี่คือบันทึกการฝึกอ่านให้เร็วขึ้น

ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น

ข้อแรก ที่ต้องฝึกอันดับแรกถ้าต้องการอ่านได้เร็วขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นข้อที่ทำยากมากที่สุด ถ้าทำได้จะเร็วขึ้นแน่นอน คือ กำจัด “subvocalizing” หรือ เสียงอ่านในใจ

ตอนที่เราอ่านหนังสือ แม้จะไม่ได้เปล่งเสียงออกมาจริงๆ เราก็จะยังออกเสียงคำๆนั้นในใจ บางคนอาจจะมีการขยับริมฝีปากตามเบาๆเสียด้วยซ้ำ
สิ่งนี้เลยทำให้เราไม่สามารถอ่านได้เร็วเกินกว่าพูดเลย(150-200 คำต่อนาที)
ทั้งๆที่ตาและสมองไปได้เร็วกว่าอย่างมาก

แต่ว่าการกำจัดเสียงอ่านในใจนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และต้องใช้เวลาในการฝึก เพราะมันถูกติดตั้งมาตั้งแต่เราเริ่มหัดอ่านครั้งแรก ครูก็ฝึกให้เราอ่านออกเสียงตั้งแต่เด็ก มันจึงติดตัวเรามาตลอด

มีวิธีกำจัดสิ่งนี้หลายวิธี แต่วิธีฝึกที่มีการแนะนำมากวิธีหนึ่ง คือ ลองเปิดหนังสือขึ้นมาหน้าหนึ่ง มองไปที่คำใด คำหนึ่งในนั้น แล้วคิดถึงความหมาย ทำความเข้าใจคำนั้น โดยพยายามไม่ออกเสียงคำนั้น ไม่ขยับปาก ไม่เปล่งเสียงในใจ จากนั้นก็มองหาคำอื่นทำแบบเดิม ซ้ำไปเรื่อยๆ จนชิน อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
เมื่อคิดว่าไม่มีเสียงตอนอ่านแล้ว จึงค่อยเริ่มลองอ่านแบบปกติ

นี่คือ ขั้นแรก ขั้นที่ยากที่สุด ที่ต้องทำให้ได้ก่อน ถ้าทำได้เร็วขึ้นแน่นอน

สำหรับตัวเองนั้น หนังสือภาษาไทยคิดว่าทำได้ แต่หนังสือภาษาอังกฤษยังอยากอ่านออกเสียงอยู่นะ เพื่อพัฒนาการฟังและการออกเสียงไปด้วยกัน

ในส่วนขั้นต่อไปค่อยมาเขียนต่อในวันหลังก็แล้วกัน

หนังสือแนะนำให้อ่าน โดย CEO ระดับโลก

ผมว่าบางครั้งหลายๆคนน่าจะเป็นเหมือนกันว่าอยากเดินไปร้านหนังสือ แล้วก็ค่อยๆเดินดูตามชั้นหนังสือหมวดต่างๆ เปิดดูเนื้อหาข้างในสักหน้าสองหน้า แล้วค่อยเลือกซื้อ นี่คือหนึ่งในวิธีการหาหนังสือสักเล่มของผม แต่สมัยนี้การซื้อออนไลน์มันสะดวกมาก และถึงแม้ว่าการออกไปเดินในร้านหนังสือมันจะเพลิดเพลินเพียงใด เราก็คงทำบ่อยๆไม่ได้

พวกคำนิยมที่อยู่หน้าแรกๆของหนังสือนั้น ผมแทบจะไม่สนใจเลย หรือบางทีก็ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ บางทีมันอดคิดไม่ได้ว่า คนที่เขียนคำนิยมเหล่านั้นได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆไหม รีวิวจากคนทั่วไปที่ไม่ได้ส่วนได้ส่วนเสียจากหนังสือเล่มนั้นเลยน่าเชื่อถือมากกว่า

ผมมีวิธีเลือกอ่านหนังสือแบบนี้ครับ (บางทีก็แค่อยากซื้อมาเก็บเฉย) ซึ่งก็พอจะสรุปเป็นข้อๆได้ประมาณนี้ครับ

  • หนังสือที่ถูกกล่าวถึงหรือถูกอ้างอิงในหนังสืออีกเล่มที่เคยอ่าน ทำให้หนังสือแต่ละเล่มมักจะมีการเชื่อมโยงถึงกัน ยกตัวอย่างเช่น เราอ่านหนังสือประวัติของ Isaac Newton ในหนังสือบอกว่า The Principia คือ ผลงานปฎิวัติวงการของเขา หนังสือที่เราอยากอ่านเล่มต่อไปย่อมเป็น The Principia หรือไม่ก็หนังสือที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับ The Principia (แค่ยกตัวอย่างนะครับ มิอาจเอื้อม แต่ก็อยากซื้อมาประดับชั้นหนังสือนะ)
  • ผลงานของนักเขียนคนเดิม บ่อยครั้งที่จะดูว่านอกจากเล่มที่กำลังอ่านอยู่นั้น มีผลงานอื่นอะไรอีกที่น่าสนใจ เช่น เราอ่าน Surely You’re Joking, Mr. Feynman! เป็นไปได้หรือที่จะไม่ตามอ่าน What Do You Care What Other People Think?
  • ในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Goodread, Time, Nature, Wired, etc. ก็มักจะมีลิสต์หนังสือแนะนำให้เลือกติดตาม ในช่วงหลังๆที่ไม่รู้ว่าจะหาหนังสืออะไรมาอ่าน ช่องทางนี้ถูกเลือกใช้บ่อยๆ

นอกจากนี้ คนดัง ผู้มีอิทธิพลของโลก มหาเศรษฐี CEO หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ ก็มักจะมีหนังสือแนะนำกันทั้งนั้น ปีที่แล้ว Mark Zuckerberg ก็ลิสต์หนังสือที่เปลี่ยนใหม่ทุกๆ 2 สัปดาห์ สุดท้ายได้ออกมา 23 เล่ม Ayearofbooks.net

แต่ถ้าอยากรู้ว่า CEO แต่ละคน เช่น Mark Zuckerberg, Sam Altman, Bill Gates, Larry Page, Elon Musk, etc. มีลิสต์หนังสือแนะนำอะไรบ้าง เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์นี้ Bookicious.com

Book Collections Bookicious

ใน Bookicious จะเป็นการแนะนำหนังสือแบบรวบร่วมจากสื่อต่างๆ ที่ CEO แต่คนเคยบอกไว้ หรือเคยในสัมภาษณ์ไว้ ทำให้เราง่ายที่จะติดตามหนังสือตามบุคคลที่เราสนใจ หนังสือบางเล่มก็ได้รับการแนะนำจากหลายคน เช่น Sapiens by Yuval Noah Harari, The Innovator’s Dilemma by Clayton M. Christensen เป็นต้น ถ้าหลายคนแนะนำ แสดงว่าหนังสือเล่มนั้นก็น่าจะได้รับการการันตีในระดับหนึ่งว่าต้องดีแน่ๆ

แต่คนที่อยากพูดถึงเป็นพิเศษ นั้นคือ Bill Gates ดูจะเป็นคนที่จริงจังกับการอ่านมากที่สุด เขามีบล็อกที่เขียนรีวิวถึงหนังสือที่เขาอ่านอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็ทำออกมาเป็นลิสต์ให้ได้ตามอ่านกันเลย และหนังสือก็มีหลากหลายแนว จึงขอแนะนำสำหรับคนที่คิดอะไรไม่ออก และกำลังตามหาลิสต์หนังสือน่าอ่านครับ

ตามไปดูหนังสือของ Bill Gates ได้ที่ Gatesnotes.com

Book reviews by Bill Gates

เคยอ่านคำแนะนำของคนที่อ่านหนังสือเก่งๆว่า ถ้าหนังสือเล่มไหนที่เราอ่านแล้วไม่สนุก ก็อย่าพยายามอ่านมันต่อ แค่ไปหาเล่มอื่นที่ใช่กว่ามาอ่านแทน ทำแบบนี้จะทำให้เราสนุกและไม่เบื่อการอ่านเลย ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

Die STAR TREK Physik (ฟิสิกส์ในสตาร์เทรค)

วันนี้เดินผ่านร้านหนังสือพบหนังสือที่น่าสนใจมากครับ เรื่อง “Die STAR TREK Physik” (ฟิสิกส์ในสตาร์เทรค) ของ Prof.Dr. Metin Tolan อยากอ่านมาก น่าจะสนุกๆแน่ๆเลย ทำให้จินตนาการถึง The Science of Interstellar ที่เอาเนื้อหาในหนังมาอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ เสียดายมีแต่ภาษาเยอรมัน ซึ่งตอนนี้อ่อนมากๆ น่าจะมีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษบ้าง

Die STAR TREK Physik (ฟิสิกส์ในสตาร์เทรค)

เพื่อนบอกว่านักเขียนท่านนี้เป็นอาจารย์ที่นี้นะ(Technischen Universität Dortmund) ผมนี่ตาลุกวาวเลย แล้วก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณา มีพบปะนักเขียนด้วย เพื่อนบอกว่าเคยเรียนกับอาจารย์ด้วยสอนสนุกดี เขาเอาบางเคสที่เขียนในหนังสือมาสอนด้วยนะ นอกจากนี้ อาจารย์ยังมีหนังสือ อื่นๆ อีกด้วย

-Die Physik des Fußballspiels อธิบายหลักฟิสิกส์เกี่ยวกับการเล่นฟุตบอล
-Titanic: Mit Physik in den Untergang อธิบายหลักการฟิสิกส์เกี่ยวกับการจมของเรือไททานิค
-James Bond und die Physik อธิบายหลักการฟิสิกส์ในหนังเจมส์ บอนด์

นักเรียนที่นี้น่าจะสนุกกับเรียนหนังสือเนอะ (โคตรอิจฉาเลย)

ลิงค์รายชื่อหนังสือใน Amazon https://goo.gl/DCbpEk

รีวิวหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

ผู้เขียน Leander Kahney (ลีนแอนเดอร์ เคนีย์)

ผู้แปล ณงลักษณ์ จารุวัฒน์

336 หน้า

สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์

ตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2557

หนังสือเล่มนี้อ่านจบไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่พึ่งมีโอกาสมาเรียนรีวิวสรุปเนื้อหาและสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้เก็บไว้ก่อนที่จะลืมไปก่อน เขียนรีวิวหลังอ่านจบครั้งแรกไว้ใน Goodreads ไว้ดังนี้ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ถ้าใครเป็นแฟนผลิตภัณฑ์ของ Apple จะอ่านสนุกมากขึ้น ได้รู้ถึงวิวัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอุสาหกรรมของ Apple แนวความคิด ภาษาการออกแบบ ความใส่ใจถึงขั้นหมกมุ่นของทีมออกแบบ ขั้นตอนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคขั้นสูงของ Apple ที่น่าทึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

รายละเอียดอื่นๆที่เขียนไว้ตอน update status ตาม page ที่อ่านถึง

  • page 23: “จอนนี่เป็นเด็กจากอังกฤษและมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม เลือกเรียนการออกแบบตั้งแต่แรก โดยบุคคลที่สำคัญคอยสนับสนุนเขาตลอดมาคือพ่อของเขาซึ่งเป็นช่างเงินและครูสอนการออกแบบ ดูเหมือนว่าความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบของเขาไม่ได้ถูกบังคับให้รัก แต่ถูกซึบซับมาจากพ่อเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
  • page 41: “จอนนี่เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 พร้อมกับรางวัลจากงานประกวดใหญ่ๆของประเทศอังกฤษ จากรางวัลอันหนึ่งที่ได้รับ เขาได้ไปดูงานที่อเมริกาเขาชอบที่นั้นมาก และมีหลายบริษัทที่อยากจะได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปร่วมงานด้วย แต่เขาติดสัญญากับบริษัท RWG ที่เป็นคนให้ทุนเขาในการเรียนในระดับป.ตรี เขาจึงต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่นี้”
  • page 62: “ตอนนี้จอนนี่เข้ามาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Tangerine รับงานออกแบบและเป็นที่ปรึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์ใฟ้กับบริษัทตั้งแต่เล็กๆจนถึงบริษัทนานาชาติใหญ่ๆ ในงานที่ทำให้ Apple บรันเนอร์ประทับใจมากและชวนจอนนี่เป็นครั้งที่ 3 ให้มาทำงานที่ Apple และเขาก็ตกลง”
  • page 72: “Apple ใช้บริการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก studio ข้างนอก บริษัท Frog Design แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำเองเหมือนกัน ผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกที่ทำ Design Studio ภายใน Apple เองคือ โรเบิร์ต บรันเนอร์ เขาคือผู้ที่ค้นหาและชวนนักออกแบบที่เก่งๆให้เข้ามาทำงานที่ Apple จอนนี่คือหนึ่งในนั้น”
  • page 82: “Newton MessagePad 110 คือ ผลงานแรกๆที่สร้างชื่อให้จอนนี่หลังจากเข้ามาทำงานกับ Apple ได้ไม่นาน ผลงานการออกแบบกดฝาปิดจอลงไปแล้วเด้งฝาเปิดออกมา และการกดปากที่ใช้เขียนจอแล้วเด้งออกมาจากที่เก็บ ปัจจุบันเราอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอะไรแบบนี้ ผลงานออกแบบชิ้นนี้ทำให้จอนนี่ได้รับรางวัลจากสถานบันออกแบบมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยไปรับรางวัลเลยสักอัน”
  • page 108: “นักออกแบบที่สำคัญอย่างมากในการวางรากฐานแนวทางการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่ถือว่าเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก แนวทางของเขาจะใช้ Design นำ Engineer แนวทางของนักออกแบบผู้นี้คือออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปคุยกับฝ่าย Engineer เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ดูโดดเด่นสวยงาม นักออกแบบท่านนี้ คือ “Robert Brunner” ชายผู้จ้าง Johnny Ive เข้ามาทำงานที่ Apple”
  • page 114: “อ่านถึงตรงนี้ กลายเป็นว่า Steve Jobs ต่างหากที่เป็นคนวางรากฐานการใช้การออกแบบขับเคลื่อนองค์กร แต่เมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัท Apple วิธีคิดแบบเก่าๆก็กลับมา วิศวกรมีอำนาจมากว่า และ Robert Brunner ก็เป็นคนพยายามนำมันกลับมาอีกครั้ง”

ตอนที่อ่านหนังสือจะมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่จอนนี่ออกแบบ โดยจะบรรยายลักษณะต่างๆโดยละอียด แต่ถ้าอยากเห็นว่าหน้าตาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นอย่างไรให้เปิดไปดูที่ส่วนตรงกลางจะมีภาพประกอบบางส่วนให้ดูประกอบ จะทำให้ได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น แต่ขอแนะนำว่าให้เราอ่านอย่างเดียวก่อน จินตนาการถึงผลิตภัณฑ์นั้น จากนั้นค่อยเปิดดูรูปอีกทีจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราจินตการถึงกับรูปจริงเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน ทำให้อ่านหนังสือเล่มนี้สนุกมากขึ้นเยอะเลยครับ

ภาพประกอบงานการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์

บางตัวไม่มีรูปประกอบ แนะนำให้ค้นหารูปในกูเกิลดูประกอบเลยครับ รวมทั้งวิดีโอสัมภาษณ์ โฆษณา การเปิดตัวสินค้าของ Apple ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ถ้าเราเปิดดูไปด้วยจะทำให้อ่านสนุกขึ้นมากเลยครับ

ตัวอย่างวิดีโอ ที่ดูแล้วจะทำให้อ่านหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple สนุกมากขึ้น

วิดีโอที่แนะนำ Unibody Macbook ที่เปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้ยึดแนวทางนี้กับเกือบจะทุกผลิตภัณฑ์ จอนนี่ ไอฟฟ์ ขึ้นนำเสนอบนเวทีตั้งแต่เวลา 10:30 นาที น้อยครั้งมากๆที่จะเห็นเขาขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวที แต่ในวิดีโอโฆษณาจะมาบ่อย

https://youtu.be/-rJRMafcRUU?t=10m30s

วิดีโอนี้จะเห็นขั้นตอนการผลิต Unibody Macbook Pro ซึ่งนำการผลิตแบบนำเทคนิค CNC มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูงและมีรายละเอียดที่แม่นยำ แต่การผลิตสินค้าจำนวนมากด้วยวิธีนี้จะทำให้ผลิตได้ช้าและต้นทุนสูงมาก แต่ Apple สามารถลดต้นทุน ทั้งยังผลิตได้เร็ว ยังเป็นความลับอยู่ว่าทำได้ยังไง แต่ Apple ลงทุนกับโรงงานนี้ด้วยเงินมหาศาลมาก กว้านซื้อเครื่อง CNC จากญี่ปุ่นแทบจะทุกเครื่องที่บริษัทผลิตเครื่อง CNC ผลิตได้เลยทีเดียว

การให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ ที่หลายคนคิดว่าฉากด้านหลังที่เขานั่งอยู่คือห้องออกแบบของบริษัท Apple แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นแค่ห้องช่างธรรมดาที่เขามานั่งให้สัมภาษณ์ ห้อง Studio ออกแบบ ที่จอนนี่ ไอฟฟ์และทีมงานออกแบบของเขาทำงานอยู่ถือเป็นห้องที่ลึกลับมาก มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก มีแค่ไม่กี่คนในบริษัทที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้ การรักษาความลับผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นเข้มงวดมากจะไม่มีใครได้เห็นมันจนกว่าจะมีงานเปิดตัว ส่วนใหญ่ที่เราเห็นข่าวว่ามีภาพหลุดส่วนใหญ่จะมาจากขั้นตอนการผลิตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งโรงงานจะอยู่ในประเทศจีนเกือบจะทั้งหมด อย่างเช่น Apple Watch ไม่มีใครเห็นข่าวรั่วของสินค้าเลยจนกระทั้งมันเปิดตัว

คลิปวิดีโอที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์กล่าวรำลึกถึงสตีฟ จ๊อบส์ เขาได้เล่าถึงความสนิทสนมของเขากับสตีฟ จ๊อบส์ที่เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง การถูกหัวเราะทุกครั้งที่ออกเสียง “อะลูมินุม” แบบ British accent

อีกหนึ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ เกี่ยวกับเรื่องการรออกแบบ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เขาจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบถาม-ตอบแบบยาวๆ ในการให้สัมภาษณ์อันนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเขากับทีมงาน ถ้าพูดถึงการออกแบบที่บริษัทเขาจะใช้คำว่า “We” คือ “พวกเรา” แทนการกล่าวถึงตนเอง เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันในการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และวิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ลอกการออกแบบของทีมของเขาไป

วิเคราะห์ความเป็นจอนนี่ ไอฟฟ์

จอนนี่เกิดมาเพื่อจะเป็นนักออกแบบ พ่อของเขามีส่วนกับการปลูกฝั่งในเรื่องการออกแบบอย่างมาก เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เด็กและฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด (ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตัวเองให้ไวแล้วมุ่งหน้าไปให้สุดแรง) จอนนี่ได้รับรางวัลการออกแบบแทบจะทุกสถาบันแต่ไม่ค่อยจะไปรับรางวัลเลย เขามีแนวทางการออกแบบชัดเจนมาก

แนวทางการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์ คือ Minimalism น้อยคือดี ทำให้คนทั่วไปดูแล้วเหมือนไม่มีการออกแบบอยู่ในนั้นเลย ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สีขาว ใส่ใจกับทุกรายละเอียด แม้ส่วนที่คนใช้จะมองไม่เห็น ทำต้นแบบจริงหลากหลายแบบออกมาให้ได้สัมผัส งานออกแบบนำงานด้านวิศวกรรมเสมอ

จอนนี่ไม่น่าจะเป็นลูกจ้างใครได้ เขาไม่สามารถทำงานในบริษัทที่รับจ้างออกแบบได้เพราะการออกแบบที่เขาอยากทำกับคนจ้างงานถ้าไม่ตรงกัน ผู้จ้างงานจะเป็นคนตัดสินใจนั้นทำให้เขาอึดอัดใจที่จะทำมัน แต่เมื่อเขาเป็นคนคุมการออกแบบเองอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ตัวเขาเอง ความคิดสร้างสรรค์จึงเบ่งบานได้มากกว่า

หลายคนคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะขึ้นมาเป็น CEO ของ Apple แทนสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเข้ากันกับแนวทางการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ และวัฒนธรรมการทำงานของ Apple ด้วย แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยุ่งกับงานบริหารด้านอื่นเลย เขาสนใจแค่เรื่องออกแบบ และคนที่เป็น CEO จะต้องเป็นคนทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการด้วย และดูเหมือนทิม คุกจทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยม

เคยมีคนคิดว่าจอนนี่ ไอฟฟ์จะลาออกจาก Apple หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นตอนที่สตีฟ จ๊อบส์ ลงจาก CEO และเสียชีวิตไปในเวลาต่อมา ช่วงนั้นน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจของลูกรักลูกชังกันตอนหัวเรือไม่อยู่ แต่กลับเป็นว่าจอนนี่ ไอฟฟ์ได้อำนาจมากขึ้นแทบจะเรียกว่าในบริษัท Apple ทีมงานของเขาดูจะเป็นคนคุมบริษัททั้งหมดอยู่แล้ว โอกาสที่เขาจะไปจาก Apple เหมือนจะผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ทิม คุก ก็อยู่ข้างเขาเต็มตัว โอกาสที่จะจาก Apple ไปน่าจะมีน้อยมากๆ นอกเสียจากจะวางมือเอง

จอนนี่ ไอฟฟ์ถูกมองว่าเป็นไอคอนคนใหม่แทนสตีฟ จ๊อบส์ในบริษัท Apple ไปแล้ว ทุกคนดูจะคาดหวังผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมของเขามากกว่าทุกทีมใน Apple และเราก็เชียร์อยู่เช่นกันให้เขาทำมันสำเร็จ

มาแชร์ หนัง 10 เรื่อง หนังสือ 10 เล่ม ในดวงใจกันครับ

หนัง 10 เรื่องในดวงใจ

เห็นเพื่อนๆหลายๆกลุ่มแชร์หนังที่ชอบ บางกลุ่มแชร์หนังสือที่ชอบ แบบที่นึกได้แล้วเขียนเลย ไม่ต้องคิดเยอะ พอแชร์แล้วก็แท็กชื่อเพื่อนคนอื่น เหมือนท้าเทน้ำแข็งเลยนะ เราก็อยากนำเสนอของเราบ้าง แต่จะรวมไว้ที่เดียวเลยจะได้ง่าย ทั้งหนังและหนังสือ

หนัง 10 เรื่องในดวงใจของฉัน

หัวข้อนี้ค่อนข้างยากเพราะมีหนังที่เราชอบหลากหลายเรื่องหลากหลายแนว เอาเป็นว่าคิดออกเขียนเลย แล้วค่อยมาเติมรายละเอียดทีหลัง

  1. The Matrix (1999)
  2. My Neighbor Totoro (1988)
  3. The Dark Knight (2008)
  4. Pan’s Labyrinth (2006)
  5. Good Will Hunting (1997)
  6. A.I. Artificial Intelligence (2001)
  7. A Beautiful Mind (2001)
  8. Life Is Beautiful (1997)
  9. Fight club (1999)
  10. The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)

หนังสือ 10 เล่มในดวงใจ

หนังสือ 10 เล่มที่ชอบ

พอเป็นหนังสือมีแค่ไม่กี่แนวที่อ่านและชอบ นักเขียนที่ชอบก็ไม่กี่คน

  1. อาเพศกำสรวล-วินทร์ เลียววาริณ
  2. เรื่องเล่าจากร่างกาย- ชัชพล เกียรติขจรธาดา
  3. มนุษย์กับจักรวาล-ชัยวัฒน์ คุประตกุล
  4. Steve Jobs by Walter Isaacson
  5. ความสุขของกระทิ-งามพรรณ เวชชาชีวะ
  6. รามานุจัน-Robert Kanigel, นรา สุภัคโรจน์ แปล
  7. ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล -วินทร์ เลียววาริณ
  8. ศพใต้เตียง-สรจักร ศิริบริรักษ์
  9. พุทธทาสกับเซ็น-พุทธทาสภิกขุ
  10. The Drunkard’s Walk-Leonard Mlodinow, กฤตยา รามโกมุท และ นพดล เวชสวัสดิ์ แปล

และสุดท้ายขอชวนเพื่อนๆมาแชร์รายชื่อหนัง หนังสือ ในดวงใจกันครับ เอาแบบที่คิดออกในทันที

Exit mobile version