หนังสือแนะนำให้อ่าน โดย CEO ระดับโลก

ผมว่าบางครั้งหลายๆคนน่าจะเป็นเหมือนกันว่าอยากเดินไปร้านหนังสือ แล้วก็ค่อยๆเดินดูตามชั้นหนังสือหมวดต่างๆ เปิดดูเนื้อหาข้างในสักหน้าสองหน้า แล้วค่อยเลือกซื้อ นี่คือหนึ่งในวิธีการหาหนังสือสักเล่มของผม แต่สมัยนี้การซื้อออนไลน์มันสะดวกมาก และถึงแม้ว่าการออกไปเดินในร้านหนังสือมันจะเพลิดเพลินเพียงใด เราก็คงทำบ่อยๆไม่ได้

พวกคำนิยมที่อยู่หน้าแรกๆของหนังสือนั้น ผมแทบจะไม่สนใจเลย หรือบางทีก็ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ บางทีมันอดคิดไม่ได้ว่า คนที่เขียนคำนิยมเหล่านั้นได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆไหม รีวิวจากคนทั่วไปที่ไม่ได้ส่วนได้ส่วนเสียจากหนังสือเล่มนั้นเลยน่าเชื่อถือมากกว่า

ผมมีวิธีเลือกอ่านหนังสือแบบนี้ครับ (บางทีก็แค่อยากซื้อมาเก็บเฉย) ซึ่งก็พอจะสรุปเป็นข้อๆได้ประมาณนี้ครับ

  • หนังสือที่ถูกกล่าวถึงหรือถูกอ้างอิงในหนังสืออีกเล่มที่เคยอ่าน ทำให้หนังสือแต่ละเล่มมักจะมีการเชื่อมโยงถึงกัน ยกตัวอย่างเช่น เราอ่านหนังสือประวัติของ Isaac Newton ในหนังสือบอกว่า The Principia คือ ผลงานปฎิวัติวงการของเขา หนังสือที่เราอยากอ่านเล่มต่อไปย่อมเป็น The Principia หรือไม่ก็หนังสือที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับ The Principia (แค่ยกตัวอย่างนะครับ มิอาจเอื้อม แต่ก็อยากซื้อมาประดับชั้นหนังสือนะ)
  • ผลงานของนักเขียนคนเดิม บ่อยครั้งที่จะดูว่านอกจากเล่มที่กำลังอ่านอยู่นั้น มีผลงานอื่นอะไรอีกที่น่าสนใจ เช่น เราอ่าน Surely You’re Joking, Mr. Feynman! เป็นไปได้หรือที่จะไม่ตามอ่าน What Do You Care What Other People Think?
  • ในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Goodread, Time, Nature, Wired, etc. ก็มักจะมีลิสต์หนังสือแนะนำให้เลือกติดตาม ในช่วงหลังๆที่ไม่รู้ว่าจะหาหนังสืออะไรมาอ่าน ช่องทางนี้ถูกเลือกใช้บ่อยๆ

นอกจากนี้ คนดัง ผู้มีอิทธิพลของโลก มหาเศรษฐี CEO หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ ก็มักจะมีหนังสือแนะนำกันทั้งนั้น ปีที่แล้ว Mark Zuckerberg ก็ลิสต์หนังสือที่เปลี่ยนใหม่ทุกๆ 2 สัปดาห์ สุดท้ายได้ออกมา 23 เล่ม Ayearofbooks.net

แต่ถ้าอยากรู้ว่า CEO แต่ละคน เช่น Mark Zuckerberg, Sam Altman, Bill Gates, Larry Page, Elon Musk, etc. มีลิสต์หนังสือแนะนำอะไรบ้าง เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์นี้ Bookicious.com

Book Collections Bookicious

ใน Bookicious จะเป็นการแนะนำหนังสือแบบรวบร่วมจากสื่อต่างๆ ที่ CEO แต่คนเคยบอกไว้ หรือเคยในสัมภาษณ์ไว้ ทำให้เราง่ายที่จะติดตามหนังสือตามบุคคลที่เราสนใจ หนังสือบางเล่มก็ได้รับการแนะนำจากหลายคน เช่น Sapiens by Yuval Noah Harari, The Innovator’s Dilemma by Clayton M. Christensen เป็นต้น ถ้าหลายคนแนะนำ แสดงว่าหนังสือเล่มนั้นก็น่าจะได้รับการการันตีในระดับหนึ่งว่าต้องดีแน่ๆ

แต่คนที่อยากพูดถึงเป็นพิเศษ นั้นคือ Bill Gates ดูจะเป็นคนที่จริงจังกับการอ่านมากที่สุด เขามีบล็อกที่เขียนรีวิวถึงหนังสือที่เขาอ่านอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็ทำออกมาเป็นลิสต์ให้ได้ตามอ่านกันเลย และหนังสือก็มีหลากหลายแนว จึงขอแนะนำสำหรับคนที่คิดอะไรไม่ออก และกำลังตามหาลิสต์หนังสือน่าอ่านครับ

ตามไปดูหนังสือของ Bill Gates ได้ที่ Gatesnotes.com

Book reviews by Bill Gates

เคยอ่านคำแนะนำของคนที่อ่านหนังสือเก่งๆว่า ถ้าหนังสือเล่มไหนที่เราอ่านแล้วไม่สนุก ก็อย่าพยายามอ่านมันต่อ แค่ไปหาเล่มอื่นที่ใช่กว่ามาอ่านแทน ทำแบบนี้จะทำให้เราสนุกและไม่เบื่อการอ่านเลย ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

(รีวิว) ชอบ ไม่ชอบ Fujifilm X70 ตามใจคนใช้งาน

จุดที่ชอบ ไม่ชอบ ในกล้อง Fujifilm X70

หลังจากใช้ Fujifilm X70 มาได้ราวๆสัปดาห์หนึ่ง มาอัพเดตว่าจุดไหนที่ชอบและจุดไหนที่ไม่ชอบ แต่โดยรวมชอบมากๆ มีจุดขัดใจนิดหน่อยที่คิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้อีกอยู่บ้าง กล้องนี้เป็นกล้องใหม่หลังจากใช้ Canon มานาน น่าจะ 4-5 ปีได้แล้ว การคอนโทรลกล้องแรกๆก็งง ต้องเอาคู่มือมาเปิดอ่าน ต้องทำความเข้าใจกับวิธีการตั้งค่าต่างๆที่ไม่มีในกล้องเดิม เช่น Dynamic range, Highlight tone, Shadow tone, Auto ISO และอื่นๆ ความจริงก็พอรู้ความหมายของมันอยู่บ้าง แต่การตั้งค่าและการใช้งานในกล้องยังไม่เคยใช้มาก่อน จะถ่ายเป็น RAW ไว้เลยก็ได้นะ แต่พอมันเป็น Compact camera ก็อยากจะจบหลังกล้องไปเลย ถ่ายเสร็จแชร์เลยไม่ต้อง Process อีกแล้ว อันไหนพิเศษก็ค่อยเปลี่ยนเป็น RAW ตามโอกาสแล้วกัน ไม่อยากเปลืองพื้นที่เก็บไฟล์ในคอมพิวเตอร์มากนัก (เพราะถ่ายเยอะอยู่แล้ว) อันที่สรุปข้างล่างนี้ คือว่าพอใช้ไปเจออะไรก็จดบันทึกมาเรื่อยๆ เอามารวมกันได้ราวๆนี้ ถ้าเจออีกจะเอามารวมไว้ที่บล็อกนี้แล้วกัน

จุดที่ชอบ

  • ไฟล์คุณภาพเยี่ยม ภาพเก็บรายละเอียดได้ดี คม จัดการ Noise ได้ดีมาก ไม่เคยคิดในชีวิตจะถ่ายภาพ ISO เกิน 400 ได้
  • ขนาดภาพ 16MP พอดี อัพโหลดฟรีใน Google Photo (ที่เป็นตัวหลักของผมในการเก็บภาพ) แบบไม่ต้องกินพื้นที่และไม่ต้องย่อ คืออัพได้เลย แมทกับชีวิตประจำวัน
  • ขนาดเล็กเบา ห้อยคอได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อย
  • เร็วทั้งการปิดและเปิดแล้วพร้อมถ่าย โฟกัสก็เร็ว เทียบกับกล้องตัวเก่าที่ใช้อยู่ ถ้าถ่ายแบบ live view เร็วคนละเรื่องเลย
  • ระบบการวัดแสง และการทำงานอัตโนมัติฉลาด ทำให้ภาพที่ถ่ายไม่เสีย ส่วนหนึ่งเพราะมันตั้งความเร็วชัตเตอร์อัตโนมัติต่ำสุดได้, ISO Auto ไม่เกินที่กำหนดได้ เลยทำให้ภาพออกมาดีที่สุดในสภาพแสงนั้นได้
  • เสียงชัตเตอร์เงียบ ไม่รบกวนแบบ ถ่ายในห้องสมุดได้เลย
  • เอารูปโหลดเข้ามือถือได้ง่าย พร้อมอัพขึ้นโซเซียลในทันที
  • การควบคุมการใช้งานง่ายดีปุ่ม Q สะดวกสุดๆ และมีปุ่มลัดเยอะดี (Fn) เข้าถึงการ setting ต่างๆได้ง่าย
  • ชอบ film simulation มาก เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ Film อีกครั้ง
  • มี Digital Tele-converter to 35, 50 mm หรือเรียกอีกอย่างว่าซูมดิจิตอลก็คงได้ แต่ไฟล์ออกมาดีกว่าซูมดิจิตอลทั่วไปนะ

จุดที่ไม่ชอบ

ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการ setting ต่างๆในกล้องที่ยังไม่ชินนัก

  • ปิดเสียงอยู่ใช้ flash ไม่ได้ งงมากว่าทำไม (ให้เดาคงคิดแทนเราว่า ไม่ต้องการรบกวนคนอื่น แล้วจะเปิด flash ทำไม มั้ง) ทำได้แล้วครับ มันมีเมนูตั้งแค่เสียงแยกต่างหาก เพื่อนที่ X series club แนะนำมา
  • เปิด face detector ใช้ AE-L/-AF-L ไม่ได้นะ ล็อกโฟกัสไม่ได้เพราะกล้องต้องวิ่งหาหน้าของแบบ อันนี้พอเข้าใจได้ แต่ทำไมล็อคแสงไม่ได้
  • ปุ่ม video record กดยากมากกกก นิ้วใหญ่ หมดสิทธิ์มันชิดกับตัวปรับชดเชยแสงมากเกินไปและปุ่มมันเล็กและตื้นมาก
  • ปุ่มรอบวงกลม OK ฝั่งซ้ายกดยากเหมือนกัน ติดกับจอที่นูนออกมา ถ้านิ้วใหญ่หมดสิทธิ์ หรือต้องวางนิ้วแบบยื่นมาจากด้านข้างแทน
  • ปิดหน้าจอ LCD ไม่ได้ แต่ 2 นาทีมันถึงจะปิดเอง(sleep) แต่ไม่อยากเปิดปิดเครื่องบ่อยๆ ปกติแล้ว DSLR ไม่เคยปิดกล้องระหว่างทริปเลยนะ อยากได้แบบนั้น ชินกับ 600D ที่มีปุ่มกดปิดจอ LCD
  • ใช้ Digital Tele-converter to 35 and 50 mm ในโหมด P S T M ไม่ได้ ถ้าตั้งบันทึกภาพเป็น RAW อันนี้พอเข้าใจได้เพราะกล้องต้อง Process ภาพออกมาเป็น JPEG แต่ไม่บอกในคู่มือ หาสาเหตุนานมากว่าทำไมใช้ไม่ได้ กว่าจะหาเจอว่าเพราะเราตั้งเป็น RAW ไว้เสียเวลาเป็นชั่วโมงเลย
  • กลัวที่ปิดเลนส์หาย ความจริงมันก็ปิดแน่นดีนะแต่ก็กลัวหาย เพราะต้องเปิดปิดตลอด
  • กลัวเลนส์เป็นรอย กำลังหาฟิวเตอร์มาใส่ แต่มันต้องมีตัวแปลงใส่เพิ่มก่อน
  • มันไม่มี view finder ต้องซื้อเพิ่มเอง

โดยรวมแล้ว Fujifilm X70 ตัวใหม่ของเรา ทำให้ถ่ายรูปสนุกขึ้น ช่วยให้ชีวิตถ่ายภาพได้ง่ายและได้ภาพ(ที่ดี)ง่ายขึ้น กล้องตัวเก่าทำงานในโหมดอัตโนมัติต่างๆได้แย่มาก ทำให้เราชินกับโหมด M มากกว่า ไม่ใช่ไม่อยากใช้โหมดอื่นๆแต่มันทำงานได้ไม่ดี ทำให้ภาพเสียเยอะและไม่ได้ดังใจนึกเลยไม่อยากใช้ แต่ถึงจะใช้โหมด M จนชินและคล่องแค่ไหนยังไงก็เร็วเท่าโหมดอัตโนมัติ P S T ในกล้องไม่ได้ มันเก่งขึ้นมาก คิดว่าในกล้องรุ่นใหม่อื่นๆก็น่าจะดีขึ้นมากๆ เหมือนกัน ไอ้เรามันใช้กล้องรุ่นเก่ามันเลยตามเทคโนโลยีเขาไม่ทัน เลยทำเป็นตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งจะได้ใช้กับเขาเท่านั้นเอง

รีวิวหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

ผู้เขียน Leander Kahney (ลีนแอนเดอร์ เคนีย์)

ผู้แปล ณงลักษณ์ จารุวัฒน์

336 หน้า

สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์

ตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2557

หนังสือเล่มนี้อ่านจบไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่พึ่งมีโอกาสมาเรียนรีวิวสรุปเนื้อหาและสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้เก็บไว้ก่อนที่จะลืมไปก่อน เขียนรีวิวหลังอ่านจบครั้งแรกไว้ใน Goodreads ไว้ดังนี้ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ถ้าใครเป็นแฟนผลิตภัณฑ์ของ Apple จะอ่านสนุกมากขึ้น ได้รู้ถึงวิวัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอุสาหกรรมของ Apple แนวความคิด ภาษาการออกแบบ ความใส่ใจถึงขั้นหมกมุ่นของทีมออกแบบ ขั้นตอนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคขั้นสูงของ Apple ที่น่าทึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

รายละเอียดอื่นๆที่เขียนไว้ตอน update status ตาม page ที่อ่านถึง

  • page 23: “จอนนี่เป็นเด็กจากอังกฤษและมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม เลือกเรียนการออกแบบตั้งแต่แรก โดยบุคคลที่สำคัญคอยสนับสนุนเขาตลอดมาคือพ่อของเขาซึ่งเป็นช่างเงินและครูสอนการออกแบบ ดูเหมือนว่าความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบของเขาไม่ได้ถูกบังคับให้รัก แต่ถูกซึบซับมาจากพ่อเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
  • page 41: “จอนนี่เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 พร้อมกับรางวัลจากงานประกวดใหญ่ๆของประเทศอังกฤษ จากรางวัลอันหนึ่งที่ได้รับ เขาได้ไปดูงานที่อเมริกาเขาชอบที่นั้นมาก และมีหลายบริษัทที่อยากจะได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปร่วมงานด้วย แต่เขาติดสัญญากับบริษัท RWG ที่เป็นคนให้ทุนเขาในการเรียนในระดับป.ตรี เขาจึงต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่นี้”
  • page 62: “ตอนนี้จอนนี่เข้ามาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Tangerine รับงานออกแบบและเป็นที่ปรึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์ใฟ้กับบริษัทตั้งแต่เล็กๆจนถึงบริษัทนานาชาติใหญ่ๆ ในงานที่ทำให้ Apple บรันเนอร์ประทับใจมากและชวนจอนนี่เป็นครั้งที่ 3 ให้มาทำงานที่ Apple และเขาก็ตกลง”
  • page 72: “Apple ใช้บริการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก studio ข้างนอก บริษัท Frog Design แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำเองเหมือนกัน ผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกที่ทำ Design Studio ภายใน Apple เองคือ โรเบิร์ต บรันเนอร์ เขาคือผู้ที่ค้นหาและชวนนักออกแบบที่เก่งๆให้เข้ามาทำงานที่ Apple จอนนี่คือหนึ่งในนั้น”
  • page 82: “Newton MessagePad 110 คือ ผลงานแรกๆที่สร้างชื่อให้จอนนี่หลังจากเข้ามาทำงานกับ Apple ได้ไม่นาน ผลงานการออกแบบกดฝาปิดจอลงไปแล้วเด้งฝาเปิดออกมา และการกดปากที่ใช้เขียนจอแล้วเด้งออกมาจากที่เก็บ ปัจจุบันเราอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอะไรแบบนี้ ผลงานออกแบบชิ้นนี้ทำให้จอนนี่ได้รับรางวัลจากสถานบันออกแบบมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยไปรับรางวัลเลยสักอัน”
  • page 108: “นักออกแบบที่สำคัญอย่างมากในการวางรากฐานแนวทางการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่ถือว่าเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก แนวทางของเขาจะใช้ Design นำ Engineer แนวทางของนักออกแบบผู้นี้คือออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปคุยกับฝ่าย Engineer เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ดูโดดเด่นสวยงาม นักออกแบบท่านนี้ คือ “Robert Brunner” ชายผู้จ้าง Johnny Ive เข้ามาทำงานที่ Apple”
  • page 114: “อ่านถึงตรงนี้ กลายเป็นว่า Steve Jobs ต่างหากที่เป็นคนวางรากฐานการใช้การออกแบบขับเคลื่อนองค์กร แต่เมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัท Apple วิธีคิดแบบเก่าๆก็กลับมา วิศวกรมีอำนาจมากว่า และ Robert Brunner ก็เป็นคนพยายามนำมันกลับมาอีกครั้ง”

ตอนที่อ่านหนังสือจะมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่จอนนี่ออกแบบ โดยจะบรรยายลักษณะต่างๆโดยละอียด แต่ถ้าอยากเห็นว่าหน้าตาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นอย่างไรให้เปิดไปดูที่ส่วนตรงกลางจะมีภาพประกอบบางส่วนให้ดูประกอบ จะทำให้ได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น แต่ขอแนะนำว่าให้เราอ่านอย่างเดียวก่อน จินตนาการถึงผลิตภัณฑ์นั้น จากนั้นค่อยเปิดดูรูปอีกทีจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราจินตการถึงกับรูปจริงเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน ทำให้อ่านหนังสือเล่มนี้สนุกมากขึ้นเยอะเลยครับ

ภาพประกอบงานการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์

บางตัวไม่มีรูปประกอบ แนะนำให้ค้นหารูปในกูเกิลดูประกอบเลยครับ รวมทั้งวิดีโอสัมภาษณ์ โฆษณา การเปิดตัวสินค้าของ Apple ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ถ้าเราเปิดดูไปด้วยจะทำให้อ่านสนุกขึ้นมากเลยครับ

ตัวอย่างวิดีโอ ที่ดูแล้วจะทำให้อ่านหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple สนุกมากขึ้น

วิดีโอที่แนะนำ Unibody Macbook ที่เปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้ยึดแนวทางนี้กับเกือบจะทุกผลิตภัณฑ์ จอนนี่ ไอฟฟ์ ขึ้นนำเสนอบนเวทีตั้งแต่เวลา 10:30 นาที น้อยครั้งมากๆที่จะเห็นเขาขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวที แต่ในวิดีโอโฆษณาจะมาบ่อย

https://youtu.be/-rJRMafcRUU?t=10m30s

วิดีโอนี้จะเห็นขั้นตอนการผลิต Unibody Macbook Pro ซึ่งนำการผลิตแบบนำเทคนิค CNC มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูงและมีรายละเอียดที่แม่นยำ แต่การผลิตสินค้าจำนวนมากด้วยวิธีนี้จะทำให้ผลิตได้ช้าและต้นทุนสูงมาก แต่ Apple สามารถลดต้นทุน ทั้งยังผลิตได้เร็ว ยังเป็นความลับอยู่ว่าทำได้ยังไง แต่ Apple ลงทุนกับโรงงานนี้ด้วยเงินมหาศาลมาก กว้านซื้อเครื่อง CNC จากญี่ปุ่นแทบจะทุกเครื่องที่บริษัทผลิตเครื่อง CNC ผลิตได้เลยทีเดียว

การให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ ที่หลายคนคิดว่าฉากด้านหลังที่เขานั่งอยู่คือห้องออกแบบของบริษัท Apple แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นแค่ห้องช่างธรรมดาที่เขามานั่งให้สัมภาษณ์ ห้อง Studio ออกแบบ ที่จอนนี่ ไอฟฟ์และทีมงานออกแบบของเขาทำงานอยู่ถือเป็นห้องที่ลึกลับมาก มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก มีแค่ไม่กี่คนในบริษัทที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้ การรักษาความลับผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นเข้มงวดมากจะไม่มีใครได้เห็นมันจนกว่าจะมีงานเปิดตัว ส่วนใหญ่ที่เราเห็นข่าวว่ามีภาพหลุดส่วนใหญ่จะมาจากขั้นตอนการผลิตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งโรงงานจะอยู่ในประเทศจีนเกือบจะทั้งหมด อย่างเช่น Apple Watch ไม่มีใครเห็นข่าวรั่วของสินค้าเลยจนกระทั้งมันเปิดตัว

คลิปวิดีโอที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์กล่าวรำลึกถึงสตีฟ จ๊อบส์ เขาได้เล่าถึงความสนิทสนมของเขากับสตีฟ จ๊อบส์ที่เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง การถูกหัวเราะทุกครั้งที่ออกเสียง “อะลูมินุม” แบบ British accent

อีกหนึ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ เกี่ยวกับเรื่องการรออกแบบ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เขาจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบถาม-ตอบแบบยาวๆ ในการให้สัมภาษณ์อันนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเขากับทีมงาน ถ้าพูดถึงการออกแบบที่บริษัทเขาจะใช้คำว่า “We” คือ “พวกเรา” แทนการกล่าวถึงตนเอง เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันในการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และวิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ลอกการออกแบบของทีมของเขาไป

วิเคราะห์ความเป็นจอนนี่ ไอฟฟ์

จอนนี่เกิดมาเพื่อจะเป็นนักออกแบบ พ่อของเขามีส่วนกับการปลูกฝั่งในเรื่องการออกแบบอย่างมาก เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เด็กและฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด (ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตัวเองให้ไวแล้วมุ่งหน้าไปให้สุดแรง) จอนนี่ได้รับรางวัลการออกแบบแทบจะทุกสถาบันแต่ไม่ค่อยจะไปรับรางวัลเลย เขามีแนวทางการออกแบบชัดเจนมาก

แนวทางการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์ คือ Minimalism น้อยคือดี ทำให้คนทั่วไปดูแล้วเหมือนไม่มีการออกแบบอยู่ในนั้นเลย ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สีขาว ใส่ใจกับทุกรายละเอียด แม้ส่วนที่คนใช้จะมองไม่เห็น ทำต้นแบบจริงหลากหลายแบบออกมาให้ได้สัมผัส งานออกแบบนำงานด้านวิศวกรรมเสมอ

จอนนี่ไม่น่าจะเป็นลูกจ้างใครได้ เขาไม่สามารถทำงานในบริษัทที่รับจ้างออกแบบได้เพราะการออกแบบที่เขาอยากทำกับคนจ้างงานถ้าไม่ตรงกัน ผู้จ้างงานจะเป็นคนตัดสินใจนั้นทำให้เขาอึดอัดใจที่จะทำมัน แต่เมื่อเขาเป็นคนคุมการออกแบบเองอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ตัวเขาเอง ความคิดสร้างสรรค์จึงเบ่งบานได้มากกว่า

หลายคนคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะขึ้นมาเป็น CEO ของ Apple แทนสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเข้ากันกับแนวทางการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ และวัฒนธรรมการทำงานของ Apple ด้วย แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยุ่งกับงานบริหารด้านอื่นเลย เขาสนใจแค่เรื่องออกแบบ และคนที่เป็น CEO จะต้องเป็นคนทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการด้วย และดูเหมือนทิม คุกจทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยม

เคยมีคนคิดว่าจอนนี่ ไอฟฟ์จะลาออกจาก Apple หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นตอนที่สตีฟ จ๊อบส์ ลงจาก CEO และเสียชีวิตไปในเวลาต่อมา ช่วงนั้นน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจของลูกรักลูกชังกันตอนหัวเรือไม่อยู่ แต่กลับเป็นว่าจอนนี่ ไอฟฟ์ได้อำนาจมากขึ้นแทบจะเรียกว่าในบริษัท Apple ทีมงานของเขาดูจะเป็นคนคุมบริษัททั้งหมดอยู่แล้ว โอกาสที่เขาจะไปจาก Apple เหมือนจะผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ทิม คุก ก็อยู่ข้างเขาเต็มตัว โอกาสที่จะจาก Apple ไปน่าจะมีน้อยมากๆ นอกเสียจากจะวางมือเอง

จอนนี่ ไอฟฟ์ถูกมองว่าเป็นไอคอนคนใหม่แทนสตีฟ จ๊อบส์ในบริษัท Apple ไปแล้ว ทุกคนดูจะคาดหวังผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมของเขามากกว่าทุกทีมใน Apple และเราก็เชียร์อยู่เช่นกันให้เขาทำมันสำเร็จ

เล่าถึงประสบการณ์การใช้ PAYSBUY MasterCard

PAYSBUY MasterCard

เป็นคนไม่มีบัตรเครดิตใช้ครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆจะยืมของพี่มาใช้ครับ พอเห็นข่าวที่ PAYSBUY ออกมาเปิดตัวบริการบัตรเครดิตจำลอง Visual MasterCard ก็เลยลองสมัครดู และได้ใช้งานอยู่สองสามครั้ง เลยมาเล่าให้ฟังครับ

ข้อดีอย่างหนึ่งของบัตรเครดิตจำลอง Visual MasterCard ของ PAYSBUY คือ อยากใช้ยอดเท่าไหร่ก็เติมเงินเข้าไปเท่านั้น ช่องทางการเติมเงินก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ที่ผมใช้ก็กดเข้าไปว่าจะเติมเท่าไหร่ แล้วก็ไปจ่ายที่ 7-11 จะใช้วิธีนี้ได้ต้องส่งไฟล์บัตรประชาชนเข้าไปในระบบด้วย ต่อไปมีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังดังนี้ครับ

  1. การจ่ายครั้งแรกกับ PAYSBUY MasterCard ผมใช้จ่ายค่า Coin ใน Line ที่เอามาซื้อ Sticker ครับ ราคา $1.99 คิดเป็นเงินไทย 63.66 บาท ตอนแรกทำเอางงมากเพราะแค่เข้าไปกรอกหมายเลขบัตรใน Google wallet มันก็หักตังค์เราไปแล้ว 40 บาท แต่สักพักมันก็ตัดกลับมาให้ แต่มันดันหักไป 2 ครั้ง แต่คืนกลับมาให้แค่ครั้งเดียว ทำเอางง ตอนแรกคิดว่ามันอาจจะดีเลย์แต่ผ่านไปอีกวันก็ยังไม่คืน เลยอีเมลไปคุยกับ Support ได้ความว่าปกติแล้วระบบของ Google จะเช็คว่าบัตรเครดิตใช้งานได้หรือปล่าวโดยการเรียกหักเงิน 40 บาท และจะคืนมาให้ภายหลัง อันนี้เราเข้าใจ แต่อันที่หักไป 2 ครั้ง แต่คืนมา 1 ครั้ง อันนี้ไม่ถูกต้อง ก็คุยกับ Support ไปมาสุดท้ายเขาให้เรากรอกข้อมูลในไฟล์ PDF แล้วส่งกลับเพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้รับบริการใดๆจากเงิน 40 บาท ที่ถูกหักไป T_T ผ่านไป 4 วันเราก็ได้เงิน 40 บาทเราคืนมา ฮาเลย ต่อสู้เพื่อเงิน 40 บาท แต่อย่างไรก็ตาม Support เขาก็บริการดีนะ ตอบคำถามที่เราสงสัยและก็ดำเนินการจนเราได้เงินคืนมา และอีกอย่างเราก็ซื้อ Sticker “คนอะไรเป็นแฟนหมี” ได้ด้วยบัตรนี้ล่ะ
  2. พอผ่านอันแรกมาได้ เราค่อนข้างมั่นใจระดับหนึ่งแล้วว่ามันก็โอเครดีนะ ใช้แทนบัตรเครดิตได้จริงๆ ก็เลยเล็งที่จะซื้อสมุดเสก็ตรูปของ Moleskine ที่อยากได้มานานแล้ว อันที่อยากได้หาซื้อในไทยไม่ได้ด้วย แหล่งที่จะซื้อคือ bookdepository.com ครับ เคยเห็นเพื่อนเคยสั่งซื้อมาแล้ว จัดการเข้าไปหยิบอันที่อยากได้ไว้ในตะกร้าก่อนคลิกดูราคา แล้วก็ไปเติมเงินให้ PAYSBUY MasterCard เอาแบบเกินไปเยอะเกือบเท่าตัวเลย เผื่อมีค่าอื่นๆที่ไม่คาดคิด แล้วก็กลับมาดำเนินการขั้นตอนจ่ายเงินต่อ ปรากฏว่าระบบของ bookdepository.com ใส่หมายบัตร รหัส CVC เข้าไปยังไงก็ไม่ผ่าน ใส่หลายครั้งก็ไม่ผ่าน ทำวันหลังก็ไม่ผ่าน อีเมลไปคุยกับ Support ของ bookdepository ก็แก้ไขตามข้อแนะนำ เปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนบราวเซอร์ สรุปคือใช้ไม่ได้กับ bookdepository.com ครับ อันนี้เศร้าเลยครับ
  3. จากเหตุการณ์ด้านบนทำเอาผิดหวังนิดๆ แสดงว่าไม่ใช่จะทุกเว็บไซต์ที่บอกว่าใช้ MasterCard ได้แล้ว PAYSBUY MasterCard จะใช้ได้ด้วย เลยคิดตัดใจไม่เป็นไรเอาตังค์ไว้ซื้อ App ก็ได้ เพราะเงินที่เติมเข้าไปมันถอนไม่ได้นะครับ เลยจะเอาหมายบัตรไปใส่ไว้ในระบบของ Apple เผื่อซื้อเพลง ซื้อ App เข้าไปกรอกหมายเลขบัตร รหัส ปรากฏว่าใช้ไม่ได้เหมือนกันครับ

สรุปดังนี้ครับ ระบบมันก็สะดวกดีครับ Support ก็โอเครในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เว็บช้อปปิ้งออนไลน์ทุกที่ที่บอกว่ารองรับ MasterCard แล้ว PAYSBUY MasterCard จะใช้งานได้

ถ้ามีใครเคยใช้แล้วเป็นยังไงบ้างเอาแชร์กันบ้างนะครับ อยากรู้ว่าเว็บไหนใช้ได้ไม่ได้บ้าง ผมก็จะเอามาอัพเดตเรื่อยๆ

รายชื่อแหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใช้กับ PAYSBUY MasterCard ได้/ไม่ได้

  1. Google Play ใช้ได้
  2. Bookdepository.com ใช้ไม่ได้
  3. Apple App Store ใช้ไม่ได้
  4. Lazada.co.th ใช้ได้

50 สุดยอดเว็บไซต์ ประจำปี 2012 คัดเลือกโดยนิตยสาร TIME

50 Best Websites 2012

เว็บไซต์ของนิตยสาร TIME จะรายงาน 50 สุดยอดเว็บไซต์ (50 Best websites ) เป็นประจำทุกปี เพราะมีเว็บไซต์ใหม่ๆ บริการออนไลน์ใหม่เกิดขึ้นทุกปี หรือบางทีก็ปรับปรุงเว็บไซต์เดิมใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้จดจำ แต่ทุกๆคนก็พยายามที่จะพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นตลอดเวลา เช่น เร็วขึ้น ประหยัดเงิน ประหยัดเวลามากขึ้น อำนวยความสะดวกมากขึ้น หรือบริการรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย นิตยสาร TIME นั้นค่อนข้างคัดเลือกเว็บไซต์ได้ดีมากๆ เป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราไม่เอามาบันทึกเก็บไว้ ต้องยอมรับว่าหลายเว็บไซต์พึ่งจะเคยได้ยินชื่อเหมือนกัน แต่พอเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะในหมวด Web Tools ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานที่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตแทบจะตลอดเวลาของยุคนี้เป็นอย่างดี ขอเชิญชวนให้ท่านลองเข้าไปสำรวจเว็บไซต์สุดยอดเหล่านี้ดูครับ จะได้รู้ว่าเว็บไซต์ดีๆ ไม่ได้มีแค่ Google, Facebook, Twitter …

50 สุดยอดเว็บไซต์ ประจำปี 2012

แบ่งตามหมวดต่างๆ ได้ดังนี้ (อยากทราบรายละเอียดของแต่ละเว็บไซต์เข้าไปดูได้ที่ที่มาท้ายเรื่อง) Web Tools

Entertainment

Game

Education

News and Information

Family and Kids

Shopping

Reviews: Windows XP Mode on Windows 7

การใช้อะไรนานๆ เมื่อต้องเปลี่ยนไปใช้อันอื่นที่ใหม่กว่า ช่วงเปลี่ยนถ่ายจะทำได้ยากมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อะไรที่เป็นที่นิยม จะยิ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลง Windows XP คือหนึ่งในนั้น แม้ Microsoft จะออก Windows Vista และ Windows 7 ออกมาแล้วถึงสองรุ่น แต่คนยังติดอยู่กับ XP อยู่เพราะ บางอุปกรณ์ บางโปรแกรมยังไม่รองรับ Windows 7 ทำให้ต้องออก Windows XP Mode มาแก้ขัด เอาใจพวกกลุ่มนี้ ผมเป็นหนึ่งในนั้น และได้ทดลองเล่น Windows XP Mode ที่รันบน Windows 7 มาได้สักพักแล้ว เพราะมีอุปกรณ์บางตัวที่รันได้ดีบน Windows XP แต่ เอ๋อๆ ใน 7  ถึงเวลาเขียนเกี่ยวกับมันไว้สักหน่อย ส่วนใหญ่เป็นรูปภาพ

วิธีการติดตั้งทำได้ง่ายๆ

เข้าโหลดที่ https://www.microsoft.com/windows/virtual-pc/download.aspx สำหรับ Windows 7 รุ่น Professional กับ Ultimate แบบของแท้เท่านั้น (เช็คเฉพาะตอนโหลด โหลดมาแล้วติดตั้งได้ทุกเครื่อง)

Windows XP mode on Windows 7 Setting files

มีอยู่สามไฟล์ ติดตั้งเรียงกันไป เมื่อติดตั้งเสร็จจะรีสาร์ทเครื่องไปหนึ่งรอบ แล้วก็พร้อมใช้

หน้าตัวเรียกใช้งาน

icon เรียกใช้งาน

หน้าตา Windows XP Mode

หน้าตาของ Windows XP mode

กดแบบ Full screen จะเหมือนกำลังใช้  Windows XP เลย ส่วน Action bar จะอยู่ด้านบน Pin หรือ Unpin ก็ได้

full screen

System Properties เป็น Windows XP SP3

Windows XP SP3

เมนูด้านบน ประกอบด้วย

  • Action >> Full screen, Sleep, Restart, Close การสั่งปิด Windows XP mode จะเป็นการ Hybernate ระบบไว้ และจำค่าต่างๆในตอนปิดไว้ ทำให้การเรียกใช้งานครั้งต่อไปจะเรียกใช้งานได้เร็วขึ้น

    Action menu

  • USB >> เป็นเมนูเลือกอุปกรณ์ผ่านทาง USB port ในตัวอย่างผมลองเสียบเครื่องปรินซ์ ก็จะสามารถนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้
    เมนู USB

    สามารถกด Attach เพื่อนำเข้า และเมื่อต้องการเอาออกก็กด Release ถ้าเป็นอุปกรณ์มันก็จะถามหาไดร์เวอร์เหมือนเล่น Windows XP ทั่วๆไป

  • Tool เมนู Setting ของ XP mode

    Setting 

  • Crlt+Alt+Del เรียกใช้ Task manager

เกี่ยวกับที่เก็บข้อมูล Windows XP mode มองเห็น drive ของ Windows 7 หมด

Drive เก็บข้อมูล

ผมทดลองใส่แผ่น DVD เข้าไป ปรากฏว่าสามารถเปิดแผ่นได้ทั้ง DVD-ROM บน Windows XP mode และ Drive E ที่เชื่อมเข้ามาจาก Windows 7

ส่วนอื่นๆ การลงโปรแกรม ลงไดร์เวอร์ ทำเหมือนเล่น Windows XP ที่เราคุ้นเคย เพียงแค่กด Attach USB เข้ามา จากการใช้งานของพี่ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับอุปกรณ์(fpga board) ที่ Windows 7 มองไม่เห็นเลย สามารถใช้งานได้ดีใน Windows XP mode

แต่มีบางท่านบอกว่าทดลองใช้แล้ว ไม่ค่อยเสถียรมีอาการ Crash เป็นระยะ แต่เท่าที่ผมใช้มาไม่มีปัญหาอะไร คงต้องอาศัยทรัพยากรของ CPU และ RAM ในระดับหนึ่งเพื่อให้ทำงานได้ดี

รีวิว WordPress 3.0 beta 1

WordPress 3.0 beta 1

WordPress 3.0 beta 1 ได้ถูกปล่อยออกมาให้สาวกได้ลองเล่นแล้ว บล็อกผมก็ใช้ WordPress อยู่ด้วย ไม่พลาดที่จะทดลองและเอามาบอกต่อ ผมพยายามหยิบ feature เด่นๆ ที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังครับ ก่อนหน้านี้ผมได้บล็อกเกี่ยว WordPress ไว้หลายอันเหมือนกัน ใครสนใจลองดูใน tag WordPress ได้เลยครับ

เริ่มรีวิว WordPress 3.0 beta 1 กันเลยดีกว่าครับ

    1. ในตอนติดตั้ง พบว่ายังติดตั้งได้เร็วเหมือนเดิม มีส่วนที่เพิ่มเข้ามาในการติดตั้งคือ เราสามารถใส่ user, password ในตอนเริ่มต้นได้เลย ต่างจากเวอร์ชั่นก่อนที่ระบบจะ generate มาให้ แล้วค่อยไปเปลี่ยนเองภายหลัง ผมชอบในการเปลี่ยแปลงตัวนี้นะ

      สามารถตั้งชื่อ admin และ password ด้วยตนเองได้

    2. ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการธีม  WordPress 3.0 beta 1 ใช้ธีมชื่อ Twenty Ten เป็นธีม default
หน้าหลัก WordPress 3.0 beta 1

ธีมนี้มี Option สามารถเปลี่ยน header ,background ได้โดยไม่ต้องไปแก้ใน css เลย สามารถอับโหลดรูปขึ้นเองได้ หรือจะเลือกจากภาพที่มีอยู่แล้วได้เลย เข้าไปแก้ไขได้ที่เมนู Appearance (ฟีเจอร์นี้มากับธีมนะไม่ใช้ WordPress เปลี่ยนธีมมันก็หายไป)

หน้าแก้ไขภาพส่วนหัว อยู่ใน Appearance

ในส่วนของเมนูธีม จะแสดงเป็น tab แยกระหว่าง Manage Themes(เลือกธีมที่จะแสดง) และ Install Themes(ส่วนค้นหาธีมหรืออับโหลดธีม)

เมนูจัดการ Themes
  1. ส่วนของการจัดเมนู แต่ก่อนหน้านี้เราจะไม่สามารถปรับแต่งเมนูได้ WordPress 3.0 beta 1 เพิ่มส่วนของการจัดการมาให้ ทำให้นึกถึง plugin ตัวหนึ่งชื่อ pagemashที่สามารถจัดการหน้า page ให้เป็น sub ของ page ไหนก็ได้ ในส่วนของการจัดการเมนูใหม่ใน WordPress 3.0 beta 1 นี้คล้ายๆกัน สามารถ drag and drop ได้ ใส่ลิงค์เองได้ เข้าใช้งานได้ที่  Appearance >>Munus

    ส่วนจัดการเมนู WordPress 3.0 beta

  2. WordPress 3.0 beta 1 รวมเอา WordPress MU เข้ามาด้วย ทำให้สามารถสร้างเว็บย่อยได้ง่ายยิ่งขึ้น และจัดการได้ง่ายขึ้น ตัวนี้คือตัวที่ผมรอคอย เว็บผมทำ sub-domain ไว้หลายอัน แล้วต้องลง WordPress ใหม่ทุกอัน แยกเป็นคนละเว็บโดยอิสระถ้ามันรวมกันได้ มันจะสะดวกกับผมอย่างแน่นอน เว็บของผมที่เป็น sub-domain อยู่

define (‘WP_ALLOW_MULTISITE’, true ) ;

เมื่อใส่โค้ดเข้าไปแล้วจะมี เมนู Tools>>network เพิ่มขึ้นมา คลิกเข้าไปจะมีโค้ด ให้เพิ่มเข้าไปในไฟล์ wp-config.php และ .htaccess

addsite setup

เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะมีเมนู Super Admin เพิ่มขึ้นมาด้านบน ซึ่งจะทำให้สามารถจัดการได้อย่างสะดวก ทั้งการเลือกธีมให้แต่ละ site , การเพิ่ม site, การจัดการ user ในการใช้งาน, รวมทั้งพื่นที่การใช้งานแต่ละ site

เมนู Super Admin
การจัดการเพิ่ม site ใหม่ให้เว็บไซต์

เมื่อดูความสามารถของ WordPress 3.0 beta 1 แล้ว พบว่ามันน่าใช้มากขึ้น และมี feature ที่ผมรออยู่ ตัวสมบูรณ์มาไวไวนะ

อยากลองทดสอบเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่  https://WordPress.org/development/2010/04/WordPress-3-0-beta-1/

โปรแกรม Photoshop บน iPhone

ข่าวการมาของ Photoshop.com บน iPhone ไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะคิดว่ามันมาแน่ แต่จะช้าเร็วแค่ไหน ตัว Photoshop.com บนเว็บเปิดตัวมาได้สักหนึ่ง ผมได้ทดลองเล่นตั้งแต่เปิดตัวแรกๆ ครั้งแรกที่เล่นก็รู้สึกดีมาก คิดในใจเหมือนกันว่า เอ้ย! นี้ฟรีหรอ(แบบเสียตังค์ก็มี) ซึ่งตอนมาอยู่บน App store ก็รู้สึกเหมือนกันว่า เอ้ย! ฟรีหรอ ก่อนอื่นก็ต้องมาดูว่าที่เว็บ Photoshop.com ทำอะไรได้บ้างแล้วค่อยไปดูที่ iphone ว่าทำอะไรได้บ้าง

หน้าตา Photoshop.com เวอร์ชั่นบนเว็บเป็นแบบนี้

Photoshop.com

ในเวอร์ชั่นฟรี เราได้เนื้อที่ในการเก็บรูปเก็บวิดีโอ 2 GB ถือว่าโอเคใครอยากได้เพิ่มก็จ่ายตังค์ อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือมันสามารถ Import รูปจากเว็บอื่นเข้ามาแก้ไขในนี้ได้เลย ทั้งจาก Facebook ,Flickr,Photobucker,Picasa การโหลด script ในช่วงแรกจะค่อนข้างช้านิดๆ(ขึ้นกับเน็ตด้วยมั้ง) แต่เมื่อเข้าหน้าหลักแล้วก็สบายเลยครับ

หน้าต่างในการ edit รูป Photoshop.com

เครื่องมือแบ่งออกเป็น 3 หมวด และมีเครื่องมือย่อยภายในอีกที (ดูในรูป)

  • Basic : Crop & Rotate ,Resize ,Auto Correct ,Exposure ,Red-Eye ,Touchup,Saturation
  • Adjusment : White Balance ,Hightlight ,Fill Light ,Sharpen ,Soft Focus
  • Advance : Pop Color ,Hue ,Black & White ,Tint ,Sketch ,Distort

ถือว่าครบครันสำหรับการ edit ภาพเบื้องต้น

คราวนี้ไปดูที่ App Photoshop.com บน iphone

photoshop.com บน App store

เป็น App ฟรี ขนาด 3.9 MB  เวอร์ชั่น App บน iphone มี Feature แบ่งออกเป็น 4 เมนู และมี tools ย่อยอยู่ในนั้น ดังนี้

  • Basics: Crop, rotate, flip
  • Color: Exposure, saturation, tint, black and white
  • Filters: Sketch, soft focus
  • Effects: Vibrant, pop, border, vignette blur, warm vintage, rainbow, white glow, soft black and white

ลองเทียบกับเวอร์ชั่นบนเว็บดู ก็ไม่ค่อยต่างกันเลยซะทีเดียว

App Photoshop.com
App Photoshop.com
App Photoshop.com

ใช้ Account เชื่อมต่อกับ Photoshop.com บนเว็บใช้พื้นที่เดียวกันในการอับโหลดและแชร์รูป

App Photoshop.com

ถือว่าเป็น App ฟรีที่น่าใช้มาก และคิดว่าน่าจะมีคนใช้งานเยอะขึ้นทั้งบนเว็บ และบนมือถือ ในอนาคตคาดว่าผลิตภัณฑ์ตัวอื่นของ Adobe คงจะทะยอยกันขึ้นเว็บและลงมือถือตามมาอีกในไม่ช้าอีกเหมือนกัน

ข้อมูลจาก : Photoshop.com , App store

Exit mobile version