ใช้ iPad เพื่อการศึกษา ความรู้อยู่ที่เนื้อหาและสิ่งแวดล้อม

iPad เพื่อการศึกษา

ถ้าจะพูดถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อการศึกษาที่จะมาช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการเรียนรู้ ของผู้ที่เป็นนักเรียนรู้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง นักเรียน นักศึกษา อย่างเดียวนะครับ รวมถึงทุกคนที่มีใจไฝ่เรียนรู้ อุปกรณ์ที่จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ณ ตอนนี้ น่าจะเป็น iPad ของ Apple  เพราะถือว่ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งหนังสือดิจิตอล(ebook) แอพพลิเคชั่น(Apps Store) คลังความรู้(iTunes U) นอกจากนั้นยังมีตัว Textbook ที่มีชุดโปรแกรมที่จะช่วยให้การสร้างหนังสือแบบที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างน่าตื่นเต้น นับว่า iPad นำหน้าคู่แข่ง Android, Windows 8 ในเรื่องของการสนับสนุนทางการศึกษาไปหลายช่วงตัว

iPad in Education

Apple ได้วางให้ iPad เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ผลิตมาเพื่อสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ เห็นได้จากงาน Education Event เมื่อ 19 มกราคา 2012 ในงานมีการเปิดตัวหนังสือเรียนแบบที่มี interactive โต้ตอบกับผู้อ่านได้อย่างดี พร้อมโปรแกรมสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับ iPad โดยเฉพาะ และยังแจกให้ทุกคนใช้โปรแกรมนี้ได้ฟรีอีกด้วย ยิ่งทำให้ iPad เหมาะกับงานทางด้านการศึกษามากขึ้น

ลำดับต่อไปอยากนำส่วนต่างๆที่เป็นองค์ประกอบทำให้ iPad เหมาะกับการศึกษามาแจกแจงทีละข้อ ดังนี้ครับ

1. Textbooks หนังสือที่โต้ตอบกับผู้อ่านได้

หนังสือที่มาพร้อมภาพนิ่ง ภาพ 3 มิติ วีดีโอ เสียง ฯลฯ

คุณสมบัติของตัว Textbook ที่จะทำให้การเรียนรู้นั้นมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

  • Textbooks ของสำนักพิมพ์ใหญ่ๆอย่าง McGraw-Hill, Person Education, Houghon Mifflin Harcourt ผู้ผลิตหนังสือมีคุณภาพ ทั้งรายวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ มีให้ดาวน์โหลดแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • เราสามารถพกหนังสือเล่มใหญ่หลายๆเล่ม ด้วยมือข้างเดียวได้ คงไม่ต้องแบกใส่เป้ให้เมื่อยหลังกันแล้ว โดยเฉพาะหนังสือพวก Textbook ถ้าถือเล่มจริงได้ 2 เล่มก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่เมื่อเป็นแบบดิจิตอลทำให้เราง่ายต่อการพกพา และสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
  • Textbooks ใน iPad เป็นหนังสือแบบมัลติทัช สามารถหมุนมุมมอง ซูมได้ มีภาพ ไดอะแกรม วีดีโอ ภาพสามมิติที่สามารถใช้นิ้วหมุนโมเดลได้รอบด้าน จดบันทึกลงหนังสือ ขีดเขียนลงหนังสือ เขียนโน๊ตสั้นๆ หรือใส่สีให้ตัวอักษรได้
  • ชมวีดีโอแนะนำ iBooks Textbooks

2. iPad Apps เพื่อการศึกษา

แอฟพิเคชั่น ที่เสริมการเรียนรู้มีมากมาย

ตัวแอพพลิเคชั่นของ iPad เฉพาะกลุ่มทางด้านการศึกษามีมากกว่า 20,000 แอพพลิเคชั่น น่าจะถือว่าเป็นจุดที่ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ อีกทั้งแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาสำหรับงานทางด้านการศึกษาถูกออกแบบมาอย่างดี แม้จะมีราคาแพงอยู่บ้าง ก็นับว่ามีความคุ้มค่าเมื่อแลกกับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่าง แอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาที่น่าสนใจ โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆได้ดังนี้

iWork กลุ่มของแอพพลิเคชั่นที่ช่วยทำงานทางด้านเอกสาร พรีเซนเตชั่น เอกสารตารางคำนวณ

English Language Arts กลุ่มแอพพลิเคชั่นที่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้เด็กด้วยภาพศิลปะ

Mathematics กลุ่มแอพลิเคชั่นช่วยเรียนคณิตศาสตร์

Science กลุ่มแอพพลิเคชั่นช่วยเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์

History and Geography กลุ่มแอพลิเคชั่นช่วยเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และภูมิประเทศ

Language Development เรียนภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีทั้งพูด ฟัง อ่าน เขียน หรือท่องคำศัพท์

Art, Music, and Creativity กลุ่มแอพพลิเคชั่นส่งเสริมศิลปะ วาดภาพ ดนตรี และงานสร้างสรรค์

Reference, Productivity, and Collaboration กลุ่มแอพพลิเคชั่น เอกสารอ้างอิง ดิกชั่นนารี จดบันทึก

Accessibility กลุ่มแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ด้วยข้อมูลต่างๆหลากหลายวิธี

นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับการศึกษาอีกมากมาย เข้าไปดูได้ใน Apps Store ในหมวด iPad Education

3. iTunes U เรียนหนังสือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกผ่านทาง iPad

iTunes U for iPad

iTunes U เป็นศูนย์รวมข้อมูลทางด้านการศึกษาแบบออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในแต่ละหลักสูตรมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเรียนในรายวิชานั้นๆ ทั้งวิดีโอบรรยาย เอกสารประกอบการเรียน เสียง พรีเซนเทชั่น ซึ่งมีอยู่มากกว่า 500,000 รายการ หลักสูตรครอบคุมทุกรายวิชา ทั้งวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม การแพทย์ ศิลปะ ฯลฯ ซึ่งมีทั้งวิทยาลัย มหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลก เช่น Stanford, Yale, MIT, Oxford, UC Berkeley เป็นต้น มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วโลกเข้ามาเปิดห้องเรียนออนไลน์ให้ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนได้ฟรี ถือว่าเป็นคลังความรู้ที่ใหญ่และมีประโยชน์มาก เป็นอีกช่องทางและโอกาสอันดีที่เราสามารถเข้าไปเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยต่างๆได้อย่างใกล้ชิด เหมือนนั่งอยู่ในห้องเรียนนั้นๆเหมือนนักเรียนคนอื่นๆเลยทีเดียว

4. ใช้ iPad สอนในห้องเรียน

ต่อ iPad ออกจอภาพขนาดใหญ่

เราสามารถที่จะใช้ iPad ประกอบการสอนได้อย่างง่าย ผ่านทางการแสดงผลด้วยจอภาพขนาดใหญ่ เช่น HDTV หรือ จอโปรเจคเตอร์ ช่วยให้นักเรียนได้เห็นสิ่งที่คุณเห็นไปพร้อมๆกัน หรือใช้แสดงสไลด์พรีเซนเตชั่นแทนคอมพิวเตอร์ก็ได้ ทำให้การอธิบายหรือการเรียนรู้ไปพร้อมกันนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ช่วยให้ระบบและสภาพแวดล้อม(เนื้อหา) ของ iPad นั้น ถือเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าพร้อมกว่า tablet เพื่อการศึกษาของคู่แข่งรายอื่นๆอย่างมาก อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะนักเรียน นักศึกษา เท่านั้น ผู้ที่ไฝ่เรียนรู้ก็สามารถที่จะใช้ iPad เพื่อเสริมความรู้ให้ตัวเองได้ตลอดเวลาผ่านทางช่องทางอื่นๆได้อีกมากมาย เช่น ข่าวสาร เนื้อหาเว็บไซต์ ฐานข้อมูลทางห้องสมุด หรือสื่อบันเทิงต่างๆ เช่น ภาพยนต์ เพลง เกม ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีความรู้แทรกอยู่เสมอๆ เพียงเรามีเครื่องมือที่ดีสนับสนุนการเรียนรู้และความใฝ่รู้ของผู้ใช้งานร่วมกัน

ข้อมูลอ้างอิง: https://www.apple.com/education/ipad/

มาเล่นตัวต่อ LEGO บนเว็บกันดีกว่า [3D]

LEGO กับ Google ร่วมกันทำเว็บไซต์ Buid with Chrome (buildwithchrome.com) โดยมีตารางบนแผนที่ของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เราสามารถกดเข้าไปสร้างอะไรก็ได้บนพื้นที่แปลงหนึ่ง ด้วยตัวต่อ  LEGO 1 พันชิ้น จากนั้นก็แชร์สิ่งก่อสร้างของคุณต่อไป มีข้อจำกัดอีกนิดหน่อย เช่น พื้นที่มีจำกัดใครมาก่อนได้สร้างก่อน หมดแล้วหมดเลย เมื่อเริ่มสร้างแล้วต้องทำให้เสร็จในคราวเดียว และต้องแน่ใจว่าเสร็จสมบูรณ์แล้วค่อยเผยแพร่ หากปิดเว็บไปมันไม่บันทึกให้นะ และยังมีข้อแนะนำอีกนิดหน่อยลองอ่านดูที่ลิงค์ https://www.buildwithchrome.com/static/legal

ส่วนใครไม่อยากอ่านข้อกำหนดต่างๆให้วุ่นวาย ก็ขอให้ตั้งใจสร้างให้สุดฝีมือ แล้วค่อยกดแชร์

LEGO Build with Chrome (ฝีมือห่วยๆของผมเอง)

การเข้าใช้งานเว็บไซต์ต้องใช้บราวเซอร์ที่รองรับ HTML5 ใช้งานได้ดีกับ Google Chrome

พอเล่นไปเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวต่อไม่กี่แบบมันจะทำอะไรได้เยอะแยะขนาดนี้ เป็นการตลาดที่ดีเลยละ เพราะเล่นไปสักพักผมก็อยากได้ LEGO ของจริงขึ้นมาเลยทีเดียว

เริ่มเล่น LEGO กันได้เลยที่ https://www.buildwithchrome.com/

via: https://www.howtogeek.com

Wallpaper สำหรับจอแบบละเอียดของ Macbook Pro with Retina display

Macbook Pro with Retina display

Macbook Pro ตัวใหม่ของ Apple ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 12 มิ.ย. 2012 ที่ผ่านมา มีหน้าจอเป็น Retina display ขนาด 2880 x 1800 pixels ในจอขนาด 15 นิ้ว ด้วยความละเอียดระดับ 220 ppi ซึ่งจอที่ละเอียดสูงขนาดนี้ เป็นการยากเหมือนกันที่จะหา wallpaper ที่เหมาะกับจอขนาดนี้ได้(แบบสวยๆด้วยนะ) ไปเจอในเว็บ cultofmac ซึ่งเป็นภาพของ NASA ที่นาย Rob Sheridan เอามาปรับให้เหมาะกับ Retina display แล้วแชร์ใน Flickr  เป็นภาพของกลุ่มดวงดาว ดาวเคราะห์ กาแล็กซี่ มาแนวเดียวกับ wallpaper ที่มักมาพร้อมกับ Mac OSX อยู่แล้ว และภาพไม่ได้มีแค่ความละเอียดสำหรับ Macbook Pro with Retina display เท่านั้น หน้าจออื่นๆทั่วไปก็มีให้เลือกโหลดเช่นกัน ภาพสวยๆทั้งนั้นเลย

เลือกดาวน์โหลดได้ตามความพอใจ จากลิงค์ด้านล่างของภาพได้เลยครับ

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

Wallpapers For MacBook Pro with Retina

Download full-size image

หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน อ่านแล้วครับ

Steve Jobs by Walter Isaacson

หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson, สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน
ผู้เขียน: Walter Isaacson
บรรณาธิการ: สุทธิชัย หยุ่น
ผู้แปล: ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ
720 หน้า ราคา 595 บาท
สำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์

หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน (Steve Jobs by Walter Isaacson) อ่านจบไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน เลยขอเขียนถึงหน่อยครับ นานๆจะได้อ่านหนังสือที่หนาๆขนาดนี้จบสักที ขอขอบคุณพี่มิค ที่ให้ยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านก่อนเจ้าตัวจะได้อ่านเสียอีก ใจดีมากๆ เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ในการอ่านยังคงอยู่บนรถตู้ และ BTS ต้องหิ้วไป-กลับระหว่างหอพักกับที่ทำงานตลอดหนึ่งอาทิตย์หนักพอสมควรเลย

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple ที่เคยใช้โรงรถในการทำคอมพิวเตอร์ขาย แล้วก็กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก(ปี 2011) หนังสือที่เกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ เราจะพบว่ามีอยู่มากมายหลายเล่ม แต่เล่มนี้ิถือว่าเป็นเล่มแรกและเล่มเดียวที่สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนร้องขอ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ให้มาเขียนชีวประวัติของตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสตีฟ จ๊อบส์ ผ่านการสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้ง และคนรอบตัวเขากว่า 100 คน คนในครอบครัว เพื่อน คู่แข่ง ซึ่งส่วนใหญ่สตีฟ จ็อบส์ จะเป็นคนยุให้คนเหล่านั้นออกมาพูดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเขาเอง

ในหนังสือ สตีฟ จ็อบส์ ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่เขาอยากทำหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองนั้น เพราะเขาอยากให้ลูกๆรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น ผ่านทางมุมมองของตัวเอง ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้มาเล่าให้ฟัง ซึ่งเขารู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว ความจริงแล้วในตอนที่สตีฟ จ๊อบส์กำลังตามจีบให้ วอลเตอร์ ไอแซคสัน มาเขียนหนังสือให้นั้น ไอแซคสัน ยังไม่อยากเขียนเขาบอกว่า ถ้าจะเขียนจริงๆ เขาคิดว่าคงอีกประมาณสัก 10 ปี ต่อจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม (คงประมาณว่าให้คุณเป็นตำนานก่อน) ตอนนั้นไอแซคสันยังไม่รู้ว่าสตีฟป่วยเป็นมะเร็งแล้ว สุดท้ายด้วยหลายๆอย่างทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้น และพิมพ์ออกมาได้หลังจากสตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวติได้ไม่นานหนัก หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์โดยที่สตีฟ จ็อบส์ บอกว่าเขาจะไม่อ่านมันก่อน และเขาคิดว่าเนื้อหาข้างในมันต้องมีหลายอันที่จะทำให้เขาโกรธมากแน่ๆ เพราะเขาอยากให้มันเป็นมุมมองที่คนอื่นๆมองเขา

สตีฟ จ็อบส์ เป็นผู้ชายที่ลึกลับ มีอารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด เหี้ยม ดื้อรัน ดุดัน หยาบคาย สบถแรงๆแบบไม่ไว้หน้าใคร บางทีก็อ่อนไหว ร้องไห้ เป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ มินิมัลลิซั่ม เชื่อว่าอะไรยิ่งน้อยยิ่งดี ในหัวเขาข้างในเหมือนจะแบบไบนารี่คือมีแค่ 1 กับ 0 ทุกๆอย่างในโลกนี้ในสายตาเขามีอยู่แค่สองแบบคือ “ยอดเยี่ยมสุดๆ” กับ “ห่วยสุดๆ” ไม่ว่าอะไรก็ตามจะถูกแบ่งเป็นแค่สองอย่างเท่านั้น เช่น พนักงานก็มีแค่เกรดเอ กับห่วยแตก(มักจะโดนไล่ออก) ถ้าอะไรที่เกิดมีระหว่างกลางขึ้นมาเขาจะทำเป็นไม่สนใจไปเลยเหมือนพยายามจะตัดสิ่งนั้นออกจากชีวิตไปเลย

เกี่ยวกับสตีฟ จ๊อบส์ และคนอื่นๆที่ถูกกล่าวถึง

  • เขาเคยไปแสวงบุญที่อินเดียนานถึง 7 เดือน นับถือพระพุทธศาสนา นิกายเซน
  • เป็นมังสวิรัติผลไม้ ครั้งหนึ่งแม่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมการกินของเขา แต่สตีฟก็บ่นแม่กลับไปว่า “แม่ ผมเป็นนักมังสวิรัติผลไม้ กินแต่ใบไม้ที่สาวพรหมจรรย์เด็ดจากต้นกลางแสงจันทร์” (ติสต์แตกจริงๆ)
  • สตีฟ วอซเนียก เป็นวิศวกรที่ร่วมก่อตั้งบริษัทมาพร้อมกัน เป็นคนขี้อาย ใจดี สุภาพ เก่งมาก เป็นคนซื่อสัตย์ ที่น่านับถือมาก เป็นคนออกแบบ Apple I,II ที่ทำเงินให้บริษัทมากกว่า 75% ในช่วงเริ่มต้นบริษัทช่วงที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ต่างใช้เงินจากรายได้ของผลิตภัณฑ์ที่สตีฟ วอซเนียก คิดค้นขึ้นมา แต่กลับได้รับความสนใจน้อยมาก (แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่)
  • สตีฟ จ๊อบส์ มีลูกสาวชื่อ ลิซ่า และก็ทิ้งเธอไปตอนที่สตีฟอายุ 23 ปี ซึ่งเป็นอายุที่เท่ากับอายุของแม่ของเขาทิ้งเขาไปพอดี (ตอนหลังก็กลับไปรับผิดชอบ)
  • ดูเหมือนว่าเขาจะรักลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง และค่อนข้างจะฝากความหวังไว้กับลูกชายหลายอย่าง เช่น พาไปประชุมด้วย เคยบอกว่า อยากจะให้ดูแลบริษัท Apple ด้วย
  • หลายคนลงความเห็นว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนที่ทำงานด้วยได้ยากลำบากมาก ซึ่งเหมือนเขาจะรู้ตัวนะแต่ก็ยังทำพฤติกรรมเหมือนเดิม สตีฟบอกว่าเขามีหน้าที่บอกคนนั้นว่า “ห่วย” (ด่าแรงๆ) เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำ สุดท้ายก็จะได้ผลงานห่วยๆ แต่คนอื่นก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้
  • กรรมการบริษัทชุดที่เคยไล่เขาออก เมื่อเขากับมาอีกครั้ง ถูกเขากดดันให้ลาออกหมดทั้งชุดเลย แล้วก็สรรหาชุดใหม่เข้ามาแทน ซึ่งค่อนข้างสนับสนุนตัวเขาเป็นอย่างดี
  • คนที่อยู่ใกล้เขาจะเหมือนว่าถูกดูดเขาไปอยู่ใน “สนามความจริงที่ถูกบิดเบือน” (Reality distortion field) ว่ากันว่า จะรู้สึกคล้อยตาม เชื่อใจและมีพลัง ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ให้สำเร็จลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • ในการพรีเซนต์เปิดตัวสิ้นค้าแต่ละครั้งของเขา ที่เราเห็นเรียบง่าย ตื่นเต้นนั้น เบื้องหลังนั้นผ่านการซ้อมมาอย่างดี มีการแก้ไข ให้คนรอบรอบข้างช่วยดู สรุปว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดีมากๆ เหมือนซ้อมละครเวที ยังไงยังงั้นเลย
  • สตีฟ จ๊อบส์ หมดเงินไปกับ Pixar ประมาณ 50 ล้านเหรียญซึ่งเป็นเงินครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้มาจากการขายหุ้น Apple ทิ้งตอนที่ถูกไล่ออกจากบริษัท(เหลือไว้ 1 หุ้น) ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากของบริษัท Pixar ที่รอเงินสนับสนุนจากนายทุนและรอขายกิจการ
  • สตีฟ จ็อบส์ ปฎิเสธการรักษาตั้งแต่ตอนต้นที่ตรวจพบมะเร็งตับอ่อน คนในครอบครัว และเพื่อนๆคนสนิท ต่างขอร้องให้เขาเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำเป็นไม่สนใจ และปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปกว่า 9 เดือน จนมะเร็งลุกลาม ทำให้ยากต่อการรักษา บางทีถ้าไม่รั้นก็คงอาจจะยังมีชีวิตอยู่
  • ช่วงที่ป่วยหนักมีหลายคนเข้ามาพบเขา เช่น ลาร์รี่ เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลเคยเข้ามาขอคำแนะนำจากสตีฟ จ๊อบส์ เขาพูดถึงการจะยึดอำนาจกลับจากเอริก ชมิดต์ ส่วนสตีฟแนะนำให้เขาโฟกัสแค่บางผลิตภัณฑ์ไม่ใช่คุมเป็นร้อยๆตัว ซึ่งผมคิดว่าลาร์รี่ เพจ ก็เอาข้อแนะนำของสตีฟมาทำจริงๆจากที่เราได้เห็นช่วงหลังๆที่ผ่านมา เมื่อลาร์รี่ เพจ ขึ้นเป็นซีอีโอ กูเกิล ไล่ปิดบริการต่างๆเยอะมาก
  • บิล เกตส์ คู่แข่งทางธุรกิจตลอดกาล ก็เข้ามาพบสตีฟ จ๊อบส์ เหมือนกัน โดยเขายอมรับว่าระบบปิดของสตีฟที่คุมทุกอย่างทั้งฮาร์ตแวร์ ซอร์ฟแวร์ก็ได้ผลเหมือนกัน ส่วนระบบเปิด(Windows)ของเขานั้นก็ได้ผลเป็นที่ประจักอยู่แล้ว แต่เขาคิดว่าระบบปิดของสตีฟนั้นจะได้ผลดีก็เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น!

เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

  • ที่บริษัท Apple พนักงานด้านออกแบบดูเหมือนจะมีอำนาจมากกว่าพวกพนักงานวิศวกร โดยเฉพาะ โจนาธาน ไอฟฟ์ จะรับคำสั่งจากสตีฟ จ๊อบส์โดยตรง ถ้ามีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายวิศกรกับนักออกแบบ นักออกแบบมักจะชนะเพราะสตีฟถือหางข้างนี้อยู่
  • ที่บริษัท Apple มีรางวัลมอบให้แก่คนที่กล้าเถียงสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยนะ ซึ่งสตีฟ จ๊อบส์เองก็ดูเหมือนจะชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ใครที่จะเถียงต้องเตรียมตัวมาดีมากๆๆๆ ถ้าเถียงแล้วอาจรุ่งไปเลย หรืออาจจะดับไปเลยก็ได้
  • การสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆมักจะเริ่มต้นด้วยการ ระดมสมองกันว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มันห่วยแตกยังไง แล้วทุกคนก็จะรุมด่าว่าไม่ดียังไงบ้าง แล้วค่อยคิดหาวิธีแก้ไข ออกแบบใหม่ ส่วนใหญ่ระดมสมองกันในแคมป์ช่วงพักผ่อน
  • iPad เป็นโครงการที่เกิดมาก่อน iPhone แต่ถูกพักไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนมาทำ iPhone ก่อน สุดท้ายหลายๆอย่างที่ได้จาก iPhone ก็นำไปต่อยอดอีกทีกับ iPad
  • เริ่มต้นโครงการ iPhone มีการพัฒนาสองโครงการพร้อมกันคือ แบบที่พัฒนาต่อจาก iPod ที่มี click wheel (หน้าตาคงเท่น่าดู) ซึ่งทำให้ใช้งานยาก กับแบบที่เป็นจอทัชสกินที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
  • App Store ตอนแรกสตีฟ จ๊อบส์ ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เถียงกันหลายรอบมาก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเอาโปรแกรมมาใส่ในเครื่องของตัวเอง จนสุดท้ายก็ยอม แต่ยอมแบบมีเงือนไข ต้องให้อยู่ในมาตรฐานที่ Apple กำหนดขึ้น
  • สตีฟ จ็อบส์ อยากปฎิวัติวงการทีวี ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองคิดออกแล้ว(คิดว่าตอนนี้ Apple น่าจะเริ่มโครงการไปแล้ว)

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านแล้วสนุกมากในหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่เราได้เห็นข่าวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นของโลกไอที เราได้อ่านเบื้องหน้าของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านทางสื่อต่างๆ แต่หนังสือเล่มนี้เปิดเผยให้เห็นเบื้องหลังที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

สุดท้ายมานั่งคิดว่า เคยได้ฟังปาฐกถาของสตีฟ จ๊อบส์ ในงานรับปริญญาของแสตนฟอร์ดเมื่อนานมาแล้ว ในหนังสือมีเขียนถึงเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน โดยเผยให้เห็นว่าตอนแรกเขาพยายามจะให้นักเขียนบทมืออาชีพมาช่วยเขียน แต่สุดท้ายก็เขียนขึ้นเองแล้วก็ให้คนรอบข้างช่วยดูอีกที ผมมานั่งดูอีกครั้ง พบว่าสามเรื่องที่เขาพูดถึงในการปาฐกถาครั้งนั้นมันครอบคุมชีวิตของเขาได้อย่างดีอย่างไม่นาเชื่อ กลายเป็นว่าหนังสืออัตชีวประวัติเล่มนี้เป็นส่วนขยายการพูดครั้งนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือเรียกได้ว่า ถ้าจะสรุปหนังสือเล่มหนาขนาด 720 หน้าให้สั้นที่สุด และดีที่สุด ก็คือปาฐกถาอันนี้แหละ ใช่เลย!

สรุปส่งท้าย ถึงจะรวย เก่ง อัจฉริยะ มากแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นความตาย แต่สิ่งที่เหลือไว้ก็คือ ผลงาน และความสร้างสรรค์ ที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก และได้แรงบันดาลใจดีเยี่ยมครับ

โปรแกรม Satellite Eyes เปลี่ยน Wallpaper ให้เป็นภาพถ่ายดาวเทียมในตำแหน่งที่คุณอยู่

โปรแกรม Satellite Eyes สำหรับ Mac

โปรแกรม Satellite Eyes เป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่จะเปลี่ยน Wallpaper ของเครื่องแบบอัตโนมัติให้เป็นภาพถ่ายจากดาวเทียมตามตำแหน่งที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน เวลาใช้งานโปรแกรมจะขออนุญาติเข้าถึงตำแหน่งของเครื่องคอมที่เราอยู่ จากนั้นจะดึงแผนที่มาใช้งานเป็น wallpaper ข้อมูลแผนที่ที่นำมาใช้ถูกดึงมาจาก OpenStreetMap, Stamen Design และ Bing Maps

โปรแกรม Satellite Eyes ปรับแต่งได้นิดหน่อย ดังรูป

Satellite Eyes Setting

การปรับแต่งที่ทำได้ เช่น ระยะซูมของแผ่นที่จะให้อยู่ในระดับไหน  ระดับถนน หรือ ระดับเมือง เป็นต้น ส่วนการใส่เอฟเฟ็กจะเป็นการเปลี่ยนเป็นภาพพิกเซลที่หยาบขึ้น หรือ ขาว-ดำ ก็ได้ แต่ผมไม่ค่อยชอบใส่เอฟเฟ็กเท่าไหร่แบบดิบๆ สวยกว่า

ลองเล่นดูก็สนุกดีเหมือนกันนะ ถ้าใครเดินทางบ่อยๆ น่าจะช่วยหายเบื่อได้ดีเลย เพราะมันจะเปลี่ยน wallpaper ไปเรื่อยๆตามตำแหน่งที่เราย้ายตำแหน่งไปด้วย(ต้องต่อเน็ตด้วยนะ)

ตัวอย่างที่ลองลงดูในเครื่องครับ

Satellite Eyes ระยะซูมไกลนิดหนึ่ง
Satellite Eyes ซูมออกในระดับภูมิภาค

ดาวน์โหลดโปรแกรม Satellite Eyes for Mac : https://satelliteeyes.tomtaylor.co.uk/

ขนาด 0.55 MB

via: Cult of Mac

เที่ยวพิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ Art in Paradise ที่พัทยา เมื่อเรากระโดดเข้าไปอยู่ในภาพวาดได้

มีโอกาสได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ Art in Paradise อยู่ที่พัทยาเหนือ เราไปกับคณะฯ เขาไปสัมมนาที่ชลบุรีและแวะเที่ยวที่นี้ ก่อนหน้านี้ได้ดูตามเว็บไซต์บ้างแล้ว น่าสนใจเลยทีเดียว ค่าเข้าชม 150 บาท ถือว่าคุ้มเลยล่ะ ถ่ายรูปกันสนุกเลย ได้ความรู้ด้วยนะ อาจารย์แนะนำว่า “พวกคุณกำลังอยู่ในรายวิชา Cognitive engineering ” ว่าด้วยขีดจำกัดของการรับรู้ของมนุษย์ มันคือภาพวาดที่อยู่บนผนังสองมิติ สามารถทำให้เป็นสามมิติได้!

ถ้าใครที่ชอบถ่ายรูปแล้วละก็ ที่นี้คือ สวรรค์ของคุณแน่นอน ต่อไปก็เป็นไอเดียของใครของมันล่ะครับ ที่จะออกแบบท่าประกอบยังไงให้สุดเท่

ถ้าจะไปเที่ยวอย่างลืมพกกล้องและเลนส์มุมกว้างๆไปด้วยนะ จะได้ถ่ายสะดวก คนค่อนข้างเยอะเหมือนกันนะ

ภาพประกอบต่อไป ขอขอบคุณ คุณพี่โย กับ คุณพี่เค ที่ถ่ายรูปให้นะครับ

แผนที่สำหรับการเดินทางไปที่ Art in Paradise พัทยา

ดู Art in Paradise ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

Art in Paradise ที่พัทยา

บัตรราคา 150 บาท เปิด 9.00 am. – 09.00 pm.

บัตรเข้าชม 150 บาท

อันนี้ภาพแรกที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า

มีแสงเงาทำให้มันดูเหมือนลอยออกมาจากฉาก

เข้าไปข้างในจะเจอกลุ่มภาพที่ทำให้เรารู้ว่าการรับรู้ของเราผ่านทางตามีขีดจำกัด

ยกตัวอย่าง

ภาพนี้สีในวงกลมด้านบนกับด้านล่างคือสีเดียวกันนะ
ภาพนี้คาน ช่องว่างระหว่างคานขนานกันหมดนะ
ภาพนี้เส้นสีแดงกับเส้นสีน้ำเงินยาวเท่ากันนะ

โดยปกติแล้วไม่ค่อยชอบอยู่ในภาพเท่าไหร่ แต่พอเห็นภาพ 3 มิติในพิพิธภัณฑ์นี้ก็อดไม่ได้ที่จะคิดท่าประกอบกับภาพที่มีอยู่ ที่แห่งนี้มีเสน่ห์อย่างหนึ่งคือ ภาพจะทิ้งช่องว่างให้คุณกระโดดเข้าไปอยู่ได้ ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะสร้างสรรค์ท่าออกมาให้สนุกสนานแค่ไหน ไปกันหลายคนจะสนุกมากๆเลย หานางแบบ นายแบบส่วนตัวไปด้วยรับลองว่าจะเพลิดเพลินมากเลยทีเดียว ที่นี้คือสวรรค์ของสาวๆที่ชอบการถ่ายรูปเลยล่ะ!

ต่อไปก็เป็นภาพ 3 มิติสวยๆ ขออภัยกับท่าประกอบที่ติดเรทบ้างในบางภาพของผมนะครับ

Art In Paradise ให้อาหารปลา
หาน้ำให้น้องหมีกิน @Art In Paradise

ตัวเตี้ยเลยต้องเขย่งเท้านิดหน่อย แต่ภาพออกมาก็ฮาดีนะ

ฉลามตัวนี้ทั้งใหญ่ ทั้งสีสันสวยดี ลงทุนให้มันกัดแขนขาดไปเลย @Art in Paradise

เพื่อนบอกว่าอารมณ์ได้เลย

พยายามดึงสู้กับม้าลาย @Art in Paradise
นั่งเล่นบนหินกับชมนก @Art in Paradise

อันนี้ต้องเกร็งตัวสุดๆ

นั่งหันหลังให้แรดตัวใหญ่ @Art in Paradise
มาแย่งน้ำยีราฟกิน @Art in Paradise

ต่อไปจะเป็นกลุ่มของงานศิลปะอีกยุคที่เกี่ยวกับคน

ความจริงเขามีใบไม้ปิดอยู่นะ แต่ช่วยปิดอีกแรง @Art in Paradise
เขาให้ทาเล็บให้เธอนะแต่เราขอจูบแทนแล้วกัน @Art in Paradise
นั่งพิจารณาดูแล้วเธอสวยจริงๆ @Art in Paradise
ท่าดันโลก ท่านี้ทำเอาหลังเคล็ดเลยทีเดียว @Art in Paradise
อยากเป็นสไปเดอร์แมน @Art in Paradise
ดินสออันใหญ่ @Art in Paradise

ประมาณนี้แล้วกันนะครับ สรุปได้ว่าสนุกสนานกันทุกคนเลย ศิลปะทำให้เรามีความสุขได้

Apple อัพโหลดวีดีโองาน WWDC 2012 Keynote ขึ้น Youtube ให้ได้ดูกันแล้ว

วีดีโองาน WWDC 2012 เปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 บน Youtube มาแล้ว

วีดีโองาน WWDC 2012 Keynote เปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 มีให้แฟนๆได้ติตามหลายช่องทางผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของ Apple เอง ดูรายละเอียดที่  บล็อกที่ผ่านมา วีดีโองาน WWDC 2012 นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านทาง iTunes และล่าสุดคือดูผ่านทาง Youtube ด้วยความละเอียดระดับ Full HD 1080p กันเลยทีเดียว ดูได้เลยตามวีดีโอข้างล่างนี้

วีดีโองาน WWDC 2012 วันที่ 11 มิ.ย. 2012 ความยาว 1:54 ชั่วโมง

หนังสือ “The Drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต” อ่านแล้วจ้า

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต
ผู้เขียน: Leonard Mlodinow
ผู้แปล: กฤตยา รามโกมุต, นพดล เวชสวัสดิื
จำนวน 288 หน้า ราคา 250 บาท
สำนักพิมพ์ โพสต์บุ๊กส์

ค้นพบอย่างหนึ่งว่าตอนอยู่บนรถตู้ที่ต้องนั่งไปทำงานทุกวัน คือช่วงเวลาที่เราใช้อ่านหนังสือ อ่านเปเปอร์ได้เยอะเลย แถมมีสมาธิในการอ่านมากกว่าอยู่ที่ห้องหรือที่ทำงานเสียอีก ซึ่งโดยปกติแล้วการอ่านหนังสือบนรถถือเป็นเรื่องปกติที่ติดนิสัยมาตั้งนานแล้ว เพราะตัวเองอยู่บ้านนอกต้องนั่งรถไกลๆไปเรียน ช่วงเวลานั้นก็เลยไม่รู้จะทำอะไรนอกจากหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่น แต่พอเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงการใช้ชีวิตแบบนั้นเลยหายไป แล้วมันก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อที่ทำงานกับที่นอนอยู่กันไกลมาก นอกเรื่องไปไกลแล้ว เข้าสู่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้กันดีกว่า

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการทำนายดวง พรหมลิขิตอะไรทำนองนั้น(แม้จะพูดถึงบ้างในตอนท้ายๆ) คนเขียนคือ เลนเนิร์ด มลาห์ดินาว เป็นนักฟิสิกส์สอนหนังสือที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย เคยมีผลงานร่วมกับ สตีเฟน ฮอว์กิง ด้วยนะ(A Briefer History of Time) ในปกหลังจึงมีคำนิยมจากสตีเฟน ฮอว์กิง อยู่ด้วย แล้วยังมีผลงานเขียนบทซีรีโทรทัศน์,ภาพยนต์อีกด้วย(Star Trek: The Next Generation) ไม่แปลกที่จะเขียนหนังสือได้สนุกขนาดนี้

The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต หนังสือเสนอแนวคิดพื้นฐานของการสุ่มเลือก ความน่าจะเป็น มุมมองผลกระทบของการสุ่มเลือกที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาของการมีชีวตอยู่ของเรา การเข้าใจและปรับตัวเพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ต่างๆ ผู้เขียนยกตัวอย่างเกี่ยวกับการสุ่มเลือกผ่านเหตุการณ์ต่างที่อยู่ใกล้ตัว ได้อย่างสนุกสนาน และเข้าใจได้ง่าย หนังสืออ้างอิงสถานการณ์ต่างๆ งานวิจัยต่างๆมากมาย ด้านหลังของเล่มเกือบ 20 หน้าจึงเป็นพื้นที่ให้แหล่งอ้างอิง ที่เราจะตามไปอ่านต้นฉบับจริงๆของเรื่อง หรืองานวิจัยนั้นๆได้

ในตอนแรกนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะชอบคณิตศาสตร์ที่เราเรียนมาตั้งแต่มัธยมอย่าง ความน่าจะเป็นของการโยนเหรียญ ความน่าจะเป็นในเกมโชว์ทางทีวี ผมว่าเลนเนิร์ด มลาห์ดินาว คงเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่หมกมุ่นกับเรื่องนี้อย่างมาก ไม่งั้นในสายตาของเขาคงจะไม่มองเห็นเรื่องต่างๆรอบตัวเป็นเรื่องความน่าจะเป็น และการสุ่มเลือกไปได้ บางทีเราคิดว่าควบคุมสิ่งต่างๆในชีวิตได้แต่ความจริงเลิกคิดเถอะ มันหาระเบียบแบบแผนไม่ได้เลย อย่างเช่นการเดินของขี้เมา(The drunkard’s walk) ไร้ทิศทาง ไร้แบบแผน

หนังสือเล่มนี้เปิดโลกแคบๆของผมให้กว้างออกไปได้อีกโขเลยทีเดียว ขอยกตัวอย่าง เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหนังสือมาให้ท่านได้อ่านกันครับ มันสร้างความประหลาดใจให้ผมได้มากเลย

เรื่องมีอยู่ว่า(ผมเขียนตามความเข้าใจของตัวเอง อาจไม่เหมือนในหนังสือนะครับ ในหนังสือสนุกกว่านี้มากเพราะมีเรื่องดราม่ายาว มีการถกเถียงกันในระดับประเทศ) ในเกมโชว์รายการหนึ่ง มีประตูอยู่สามบาน ด้านหลังประตูของหนึ่งในนั้นเป็นของรางวัลรถยนต์คันงาม อีกสองประตูที่เหลือเป็นเพียงความว่างเปล่า พิธีกรให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกหนึ่งประตู เมื่อผู้เข้าแข่งขันเลือกแล้ว พิธีกรเดินไปเปิดประตูอันหนึ่งที่ว่างเปล่าหนึ่งประตูออก แล้วหันกลับมาถามผู้เข้าแข่งขันว่า “ตอนนี้เหลือสองประตู ด้านหลังหนึ่งอันในนี้มีรถคันงามกับอีกอันที่ว่างเปล่า คุณจะเปลี่ยนใจเลือกใหม่หรือไม่?” มีคนเขียนจดหมายไปถามมาริลีนคอมลัมนิสต์ชื่อดังที่ได้ชื่อว่าเฉลียวฉลาดไอคิวสูงระดับโลก คำตอบของเธอคือ “ควรเปลี่ยน!”

การจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนคำตอบผลที่ได้ก็ไม่ควรจะต่างกันสิ คำตอบมันควรจะเป็น 50/50 อยู่แล้ว (สามัญสำนึกของผมก็คิดเช่นนั้น) คำตอบที่บอกว่าให้เปลี่ยนใจของเธอทำให้ดอกเตอร์คณิตศาสตร์หลายคนในประเทศเดือดจัด บางคนถึงกับบอกหมดศัทธาในตัวเธอแล้ว แต่เธอก็ยังคงยืนในคำตอบของเธอ บางคนถึงกับเขียนจดหมายด่า จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานเธอบอกจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว และแล้วก็มีนักคณิตศาสตร์เอาปัญหานี้ไปจำลองสถานการณ์และทดสอบผลซ้ำหลายรอบ ผลออกมาคือ มาริลีน เป็นฝ่ายถูก! เปลี่ยนใจมีโอกาสถูกมากกว่า 2 ต่อ 1 (ห่ะ!)

คำตอบของปัญหานี้แก้ได้ตั้งนานหลายร้อยปีแล้วโดย คาร์ดาโน นักพนันมืออาชีพ ว่าด้วย “แซมเปิลสเปซ” ลองมานั่งคิดแบบใจเย็นๆนะ

  • ประตูมี 3 บาน มีรางวัลอยู่หลังประตูหนึ่งอัน แสดงว่าโอกาสที่จะเลือกถูกคือ 1/3
  • และโอกาสที่จะเลือกผิดคือ 2/3
  • พิธีกรแทรกแซงการสุ่มเลือกโดยอิสระโดยเอาที่ผิดออกไปหนึ่งอัน แสดงว่าเขาเหลืออันที่ถูกไว้ให้เสมอ(อาจจะอยู่หลังประตูที่คุณเลือกหรือประตูอีกอันก็ได้)
  • แสดงว่าการเปลี่ยนใจ จะได้ผลแตกต่างจากเดิมแน่นอน นั้นคือ ผิด–>ถูก หรือ ถูก–>ผิด
  • ลองคิดเทียบกันดูว่า โอกาสที่คุณเลือกในครั้งแรกผิด(2/3) กับเลือกถูก(1/3) อันไหนมีโอกาสเกิดมากกว่า
  • คำตอบ คือ คุณมีโอกาสเลือกผิดสูงกว่าเลือกถูกตั้งแต่แรก 2:1 ทำให้การเลือกใหม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนจาก ผิด–>ถูก มากกว่า ถูก–>ผิด เป็น 2:1 เช่นกัน
  • ถ้าเริ่มแรกมีสองประตูให้เลือกคำตอบก็คงเป็น 50/50 แน่นอน มาริลีน คงไม่เถียง แต่นี้มีเหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกันมาก่อนแล้ว ความน่าจะเป็นจึงเปลี่ยนไป
  • ถ้าคุณยังงงอยู่ลองเพิ่มประตูเป็น 100 ประตู คุณเลือกหนึ่งอัน แล้วให้เพื่อนตัดอันที่ผิดออกเหลือไว้สองประตูจะพบว่าการเปลี่ยนใจมีโอกาสถูกกว่า 99/100 กลับกันถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองเลือกถูก(ฟ้าลิขิต)ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเปลี่ยนใจเพราะโอกาสที่จะถูกยังคงเป็น 1/100

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่นๆที่มีคำอธิบายไว้อย่างสนุก เช่น การหาว่าทำไมแต้มของลูกเต๋าสามลูกรวมกันได้ 9 จึงเกิดได้น้อยกว่าแต้มที่รวมกันได้ 10 ปัญหานี้กาลิเลโอถูกหัวหน้าใช้ให้ไปหาคำตอบ  รวมถึงการนำความน่าจะเป็นมากล่าวอ้างใช้ชั้นศาล เช่น DNA  โอกาสที่คนสองคนที่ไม่ใช่แฝดจะเหมือนกันนั้นแถบจะเป็นไปไม่ได้(1/20,000,000) แต่กลับไม่คิดว่าโอกาสที่คนทำการวิเคราะห์จะทำผิดพลาดเสียเองมีเท่าไหร่ อาจจะเหลืออแค่ 1/100 หรือ 1/1000 เท่านั้น, มีคนร้ายกล่าวอ้าง ภรรยาที่โดนสามีหรือแฟนตบตีแล้วจะพัฒนาไปถึงการฆาตกรรมมีเพียง 1/2500 เท่านั้น แต่กลับไม่คิดว่าหญิงที่ถูกฆาตกรรมโดยสามีเคยถูกสามีตบตีมาก่อนสูงถึง 95% และเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องที่น่าคิดตามอีกมาก อยากให้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูครับ สำหรับผมแล้วชอบหนังสือเล่มนี้มากครับ

picplz เตรียมปิดตัว เปิดให้ดาวน์โหลดภาพของตัวเองในทีเดียวแล้ว

picplz เตรียมปิดตัว ในวันที่ 3 ก.ค. 55 นี้แล้ว

picplz เตรียมปิดตัว อันนี้มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้ว เวลาที่จะปิดตัว คือ 3 ก.ค. 2555 ที่จะถึงนี้ ล่าสุด picplz ก็เพิ่งจะออกตัวช่วยให้เราโหลดภาพของเราได้ในคราวเดียว

picplz เป็นบริการที่เหมือนกับ instragram ใช้ได้ทั้ง iPhone และ Android  รวมทั้งคอมพิวเตอร์ก็ใช้งานได้ แต่คงจะสู้ instragram ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ไม่ได้ เลยจำต้องปิดตัวไป ใครที่เคยใช้งานก็อย่าลืมไปดาวน์โหลดภาพของคุณเก็บไว้ก่อนวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้นะครับ ไม่งั้นภาพของคุณอาจจะหายไปอย่างไม่มีวันหวนคืนมา

เข้าไปดาวน์โหลดภาพของตัวเองจาก picplz ได้ที่ https://picplz.com/yourphotos/ คลิก Download All Pics

วีดีโองาน WWDC 2012 เปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 มาแล้ว

วิดีโอเปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 มาแล้ว

วีดีโอ keynote ของงาน WWDC 2012 มีมาให้ชมแล้วครับ ตัวเด่นๆที่เปิดตัวไปก็คือ Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 เข้าไปรับชมได้แล้วที่ https://events.apple.com.edgesuite.net/126pihbedvcoihbefvbhjkbvsefbg/event/index.html

Macs & OS X Mountain Lion

  • เปิดตัว Next-Generation Retina MacBook Pro  ราคา $2199 ประมาณ 69,608 บาท
  • MacBook Air อัพเดตสเปคทั้งแบบจอ 11″ และ 13″
  • MacBook Pro 13″ และ MacBook Pro 15″ อัพเดตสเปค
  • เปิดตัว OS X Mountain Lion ราคา $19.99 ประมาณ 632 บาท
  • Mac Pro เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

iOS 6 

  • เปิดตัว iOS 6 มาประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • เปิดตัวโปรแกรมแผ่นที่ใหม่
  • FaceTime ได้ด้วย 3G หรือ 4G
  • Siri เก่งขึ้น และใช้ได้ใน iPad 3
Exit mobile version