X Lossless Decoder(XLD) แปลงไฟล์เสียง flec เป็น m4a (Apple lossless)

X Lossless Decoder

X Lossless Decoder หรือ XLD เป็นโปรแกรมใช้แปลงไฟล์เสียงใน Mac OS X ใช้โปรแกรมนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว หลักๆใช้แปลงไฟล์เพลงนามสกุล Flec เป็น m4a (Apple lossless) หรือทำ CD Rip โปรแกรมใช้ง่าย ฟรี กินพื้นที่น้อย แปลงได้เร็วดี

ตอนใช้งานครั้งแรกเข้าไปตั้งค่าใน Preference ก่อนว่าต้องการแปลงไปเป็นไฟล์อะไร จากนั้นเปิดไฟล์ที่จะแปลง โปรแกรมจะแปลงให้อัตโนมัติ

ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.macupdate.com/app/mac/23430/x-lossless-decoder

เปิดการทำงาน Find My Mac และทดลองใช้งาน

ฟีเจอร์ตัวหนึ่งที่มาพร้อมกับ OSX Lion 10.7.2 คือ iCloud ซึ่งเป็นบริการเก็บข้อมูลไว้บนคอมพิวเตอร์กลุ่มเมฆ ลองดูวิธีการเปิดการใช้งานที่บล็อกอันเก่าที่ วิธีติดตั้ง iCloud ในเครื่อง Mac และ Windows หนึ่งในนั้นจะมี Find My Mac ที่จะช่วยให้เราติดตามตัวเครื่อง Mac ของเราได้ เมื่อโดนขโมย เหมือนกับ Find My iPhone นั้นเอง และสามารถควบคุมเครื่องในระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เล็กน้อย ได้แก่ ส่งข้อความไปที่เครือง สั่งล็อกเครื่อง หรือลบข้อมูลในเครื่อง Mac ของเรา ในกรณีที่คุณอาจมีข้อมูลลับที่ไม่ต้องการให้ใครเห็นก็ทำได้

เครื่องของผมหลังจากได้อัพเดตเครื่องให้เป็น 10.7.2 จะมีฟีเจอร์ iCloud เพิ่มเข้ามาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดการทำงาน Find My Mac ได้ ทิ้งปัญหานี้ไว้นานแล้ว เมื่อวานเลยนั่งดูว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง จึงเกิดโพสนี้ขึ้นมา

เปิดการทำงานของ Find My Mac ไม่ได้

มันฟ้องให้อัพเดต Recovery system ตลอดเรา แม้ว่าเราจะสั่งอัพเดตไปแล้วก็เป็นเหมือนเดิม จึงลองค้นดูว่ามีคนเจอปัญหาในลักษณะนี้บ้างหรือไม่ พบว่ามีคนเจอปัญหาแบบนี้เยอะพอสมควร เลยลองเลือกทำตามขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาของหลายๆเว็บพบว่า ที่นีให้รายละเอียดค่อนข้างดี https://www.macosliontips.com ทำตามแล้วมันสามารถแก้ไขปัญหาของเราได้เลยเอามาเล่าต่อ

วิธีแก้ไขปัญหาเปิดการทำงาน Find My Mac ไม่ได้

จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาหลายวิธี บางคนแก้ไขได้ตั้งแต่วิธีแรก ลองทำตามไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าทั้งหมดนี้แก้ไขไม่ได้ ต้อง install OSX Lion ใหม่เลยแบบ Clean install ซึ่งเป็นอะไรที่ขี้เกียจมาก โชคดีของผมแก้ไขได้ในวิธีที่ 3

วิธีที่ 1 Enable Location Services

ให้เปิดใช้งาน Location Services ซึ่ง Find My Mac ต้องการใช้งานเพื่อระบุตำแหน่งของเครื่อง วิธีเปิดใช้งาน เข้าไปที่ System Preferences เลือก Security & Privacy ดูว่าที่ Enable Location Services ถูกติ๊กหรือไม่ ถ้ายังให้ติ๊กเลือกเพื่อเปิดการทำงาน แล้วลองกลับไป iCloud setting อีกครั้งเพื่อดูว่าสามารถเปิดการทำงานของ Find My Mac ได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ต้องดูวิธีแก้ไขตัวต่อไป

Enable Location Services

วิธีที่ 2 Reinstall Lion Recovery Update

บางทีการเชื่อมต่อกับ server ตัวอัพเดตอาจจะมีปัญหา ดังนั้นลองดาวน์โหลด ตัว Recovery System มาติดตั้งเอง  https://support.apple.com/kb/DL1464 เมื่อติดตั้งเสร็จ restart รอบหนึ่งแล้ว เข้าไปดูว่าเปิดการทำงานของ Find My Mac ได้หรือยัง ถ้ายังดูขั้นตอนต่อไป

วิธีที่ 3 Repair Disk and Reinstall Client Combo Update

วิธีสุดท้ายนี้ค่อนข้างยากขึ้นนิดหนึ่ง นั้นคือสั่ง repair disk และลงตัวอัพเดต OSX Lion 10.7.2 ใหม่ แบบ Client Combo

  1. สั่ง Verify Disk โดยเข้าไปที่ Disk Utility (/Applications/Utilities) คลิกที่ฮาร์ตดิสที่ติดตั้ง OSX อยู่ แล้วคลิก Verify Disk อาจเจอข้อความ error ขึ้นมา

    สั่งให้ทำการ verify disk

  2. restart เครื่อง แล้วกดปุ่ม alt/option ค้างไว้ เลือกบูธใน recovery disk
    บูธเข้า Recovery HD

    จากนั้นเมื่อมี Mac OS X Utilities ปรากฏขึ้นมาให้เลือก Disk Utility

    เลือก Disk Utilites

    เลือก Disk ที่ลง OSX แล้วกด Repair Disk

    กด Repair Disk

    เมื่อ repair เสร็จแล้ว ให้รีบูตอีกครั้ง

  3. โหลดตัว OS X Lion Update 10.7.2 Client Combo มา https://support.apple.com/kb/DL1459 แล้วกดติดตั้ง เสร็จแล้ว restart อีกครั้ง
  4. เข้าไปดูที่ iCloud setting พบว่าตอนนี้สามารถ เปิดการทำงานของ Find My Mac ได้แล้ว(เย้ เย้)
    เปิดการทำงาน Find My Mac

    ขั้นตอนการแก้ไขในกรณีที่เปิดการทำงาน Find My Mac ไม่ได้ จบลงด้วยดี ถ้าใครที่ทำแล้วยังไม่สามารถเปิดการทำงานได้ อยากให้ลองรีสตาร์ทเครื่องอีกสักรอบสองรอบ ถ้ายังไม่ได้ทางสุดท้ายคือลง OSX Lion ใหม่แบบ clean install

ทดสอบการใช้งาน Find My Mac

หลังจากเปิดใช้งานแล้ว มาทดสอบดูสักเล็กน้อยในการใช้งาน Find My Mac

  1. เข้าไปที่ iCloud.com ล็อกอินด้วย Apple ID
  2. เข้าไปที่ Find My iPhone (ไม่ต้องงงครับมันอยู่ที่หน้าเดียวกัน)

    iCloud.com

  3. จะเห็นว่าเครื่องของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน

    ตำแหน่งของเครื่องปัจจุบัน

  4. นอกจากนั้นเรายังสามารถทำการควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ดังนี้ครับ
    คำสั่งต่างๆที่ทำได้

    ส่งข้อความไปที่เครื่องพร้อมเสียงเตือน ล็อกเครื่อง ลบข้อมูล(ต้องสั่งล็อกเครื่องก่อน) เตือนให้ส่งอีเมลหาเราเมื่อตรวจพบเครื่อง

    หน้าสั่งล็อกเครื่อง

  5.  ทดลองส่ง ข้อความดูครับ
    ลองเขียนข้อความ แล้วกดส่งดู

    เมื่อมันเข้ามาที่เครื่องจะมีข้อความที่เราเขียนและมีเสียงเตือนขึ้นดังขึ้น(เสียงน่ารำคาญมาก) ทดลองใช้ภาษาไทยแล้ว ทำงานได้ปกติดีครับ

    ข้อความที่ส่งเข้าเครื่อง

พอเปิดใช้งาน Find My Mac ได้แล้ว หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ได้ใช้งานมันจริงๆนะ(ไม่อยากทำเครื่องหาย) แต่อย่างไรก็ตามมีไว้ก็เป็นเรื่องดี ถ้าหายจริงๆก็ยังพอมีเครื่องมือช่วยติดตาม หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านเช่นกันครับ

Apple Icon Devices ดาวน์โหลดฟรี

Apple Icon Devices

Free Icons: Apple Icon Devices

เว็บ IconShock และ MightyDeals เขาออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple แล้วนำมาแจกฟรี เห็นว่าสวยดี ดาวน์โหลดมาแล้วมีให้ทั้งไฟล์ PNG และ AI เอาไปใช้ได้แต่ห้ามเอาไปขายต่อล่ะ  ไอคอนมีทั้ง iPod(shuffle, nano, classic, touch), iPhone, Apple TV, Macbook Air, iPad, iMac รวมกัน 10 อัน

เข้าไปโหลดได้ที่ https://www.mightydeals.com/deal/apple-device-icons.html 

ปล. ต้องกรอกอีเมลด้วยนะ แล้วเขาจะส่งลิงค์ดาวน์โหลดไปให้ทางอีเมล

เพิ่มแรมให้ Macbook Pro จาก 4 GB เป็น 8 GB ด้วยตนเอง

ทำไมต้องอัพแรมให้ Macbook Pro

Macbook Pro ที่ใช้อยู่มีแรมมาให้ 4 GB ซึ่งการใช้งานทั่วไปถือว่าโอเคแล้ว แต่เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาได้ใช้งานโปรแกรมที่ทำงานเกี่ยวกับการประมวลผลด้วยภาพ และพวกโปรแกรมวาดภาพ โดนโปรแกรมฟ้องว่าแรมไม่พอใช้งาน ทำงานต่อไม่ได้เลย ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ Mac OSX Lion มันกินแรมเยอะด้วยส่วนหนึ่ง และตอนที่รัน Parallel Windows ด้วยแล้ว แรมไม่เหลือเลย ด้วยเหตุนี้เลยคิดจะเพิ่มแรมให้ Macbook Pro เจอราคาอัพแรมใน iStudio พบว่ามันแพงมาก แถมบางอันต้องเทิร์นแรมตัวเก่าด้วย

ราคาอัพแรมของ Macbook Pro วันที่ 18 ต.ค. 2554

ข้อมูลจาก https://www.maccafethai.com/portable_macbookpro.html

ผมไม่มีข้อมูลนะว่าทำไมการเพิ่มแรมที่  iStudio ถึงแพงต่างกันเยอะขนาดนั้น เป็นเหตุให้ต้องหาข้อมูลวิธีการเพิ่มแรม Macbook ด้วยตนเอง ได้ข้อมูลมาดังนี้ครับ

  1. การเพิ่มแรมเอง ไม่เป็นเหตุให้ประกันหมด อันนี้โอเคแสดงว่าเราทำเองได้
  2. แรมที่มีขายตามท้องตลาด สามารถใช้ร่วมกันได้ (ชนิด,บัส ให้ตรงกันนะ)
  3. ในคู่มือที่ให้มาพร้อมเครื่องมีวิธีการเพิ่มทั้งแรมและอาร์ดดิสอยู่ด้วย สามารถเปิดดูแล้วทำตามได้เลย ในเว็บก็มี https://support.apple.com

เมื่อรู้ดังนี้จึงตัดสินใจจะเพิ่มแรมให้น้อง Macbook Pro ครับ ส่วนท่านที่สนใจจะเพิ่มแรมให้ Mcbook Pro ของตัวเองก็อยากให้ดูข้อมูลหลายๆด้านข้อดีข้อเสียก่อนจะตัดสินใจนะครับ

ขั้นตอนการอัพแรมด้วยตัวเอง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมเพื่อเพิ่มแรมให้ Macbook Pro จาก 4 GB (2×2 GB)เป็น 8 GB (2×4 GB)

Ram ยี่ห้อ Kington กับชุดไขควง

แรมที่ซื้อมาคือ แรมสำหรับโน๊ตบุ๊ค ขนาด 4 GB /DDR3 /1333 MHz ยี่ห้อ Kington 2 อัน ราคาตัวละ 790 บาท (790×2=1,580 บาท) กับชุดไขควรซื้อที่ชั้นล่างห้างพันทิพนั้นแหละ ราคา 150 บาท ใครมีอยู่แล้วก็ใช้ได้เลย Macbook ต้องใช้ไขควรหัวแฉกครับ
ก่อนเพิ่มแรมในเครื่องเป็นแบบนี้นะครับ

ก่อนอัพแรมเป็น 2GB 2 ตัว

ขั้นที่ 1

หาอะไรนุ่มๆรองน้อง Macbook ก่อน แล้วคว่ำหน้าลง

Macbook คว่ำหน้าลง

ขั้นที่ 2

ไขน๊อตที่อยู่ด้านหลังออกทีละอัน มีอยู่ทั้งหมด 10 ตัว โดยมันจะมี 3 ตัว ด้านบนชวาจะยาวกว่าตัวอื่นๆ ควรหาอะไรใส่แยกไว้ว่าตัวไหนอยู่ตำแหน่งไหนด้วย เวลาประกอบกับเข้าไปจะได้ใช้ตัวเดิม

ไขน็อตที่ด้านออก

ผมเก็บน็อตไว้แบบนี้ครับ เอากาวสองหน้าติดไว้บนแผ่นพาสติกแล้วเอาน้อตติดไว้ตามตำแหน่งที่มันอยู่ เวลาหมุนกลับจะได้ไม่สับสน

น๊อตเรียงตามตำแหน่งบนเครื่อง Macbook

 ขั้นที่ 3

ยกฝากด้านหลังออก ก็จะเผยให้เห็นอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้าของเครื่อง Macbook ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

ยกฝาหลังออก
เปิดฝาหลังออก ก็จะเห็นอุปกรณ์ต่างๆภายใน

เห็นแรมแล้ว ตัวเขียวๆนี้เอง

แรมของ Macbook มีตราของซัมซุงอยู่นะ ใครผลิตให้น่าจะรู้กัน

ขั้นที่ 4

ถ้าดูตามขั้นตอนของ Apple เขาจะให้เราเอามือแตะตรงโลหะก่อนเพื่อเคลียร์ประจุไฟฟ้าสถิตจากร่างกายก่อน แต่ผมก็ไม่ได้ทำนะ เริ่มถอดแรมตัวเก่าออกเลย ถอดง่ายๆครับ เอามือถ่างขาล็อกด้านข้างออกแรมจะเด้งออกมาเอง

ถ่างขาล็อกออก แรมจะเด้งออกมา
แรมยกขึ้นแล้วก็ดึงเบาๆก็หลุดออกมาแล้ว

เมื่อถอดตัวแรกออกแล้วจะเห็นตัวที่สองอยู่ด้านล่าง วิธีถอดออกก็ทำเหมือนกัน

ถอดแรมออกหมดแล้ว

แรมตัวเก่า 2x2GB ถอดออกมาหมดแล้ว พร้อมที่จะใส่ตัวใหม่ 2x4GB เข้าแทนได้แล้ว
วิธีใส่แรมเข้าไป ก็เสียบให้ตรงร่องของมันแล้วก็กดลง ตัวล็อกจะยึดมันให้แน่น ดูให้ดีว่าลงร่องพอดี ตัวด้านล่างอาจจะใส่ลำบากนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

แรมตัวใหม่ถูกใส่เข้าไปแทนตัวเก่าแล้ว

ขั้นสุดท้าย

ปิดฝา แล้วขันน๊อตตัวเดิมในตำแหน่งเดิมลงไป ตอนแรกผมจะยังหมุนแค่หลวมๆก่อน เผื่อว่ามีปัญหาจะได้ไม่ต้องมาไขใหม่ให้ลำบาก

พร้อมทดสอบแล้ว

เปิดเครื่องทดสอบดูว่าใช้งานได้หรือไม่  ถ้าไม่มีปัญหาค่อยกลับมาหมุนน๊อตให้แน่น(ปิดเครื่องก่อนด้วยก็ดี)

ใส่แรมเข้าไปแล้ว ตอนนี้มี 8 GB แล้ว 4 GB 2 ตัว

ดูการทำงาน ขณะที่เขียนบล็อกอยู่

การใช้งานแรม 8 GB

สรุปดังนี้ครับ ทำเองไม่ยากอย่างที่คิด ประหยัดกว่าตั้งเยอะ และอย่าลืมเก็บแรมตัวเก่าไว้ด้วยเผื่อว่าต้องเคลมเครื่องอาจจะต้องใส่กลับ กรณีที่ต้องเคลมทั้งเครื่องแบบเปลี่ยนเครื่องใหม่เลย ส่วนการซ่อมปกติไม่เป็นไร

การใช้งานหลังเพิ่มแรมเป็น 8 GB รู้สึกว่าทำงานได้เลื่อนขึ้นในโปรแกรมที่เคยมีปัญหา ถือว่าถูกใจที่ได้เพิ่มแรมให้น้อง Macbook Pro

ตอนนี้ Macbook Pro รุ่นใหม่สามารถเพิ่มแรมได้สูงถึง 16 GB แต่แรมตัว 8 GB ยังแพงอยู่มาก และคิดว่าตัวเองยังไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น ถ้าราคาถูกลงและมีความจำเป็นค่อยว่ากันอีกที หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากเพิ่มแรมให้ Macbook Pro ด้วยตนเองนะครับ

วิธีติดตั้ง iCloud ในเครื่อง Mac และ Windows

iCloud เปิดให้ใช้งานวันนี้แล้ว 12 ต.ค. 2011 นิยามง่ายๆของมันคือ “เก็บทุกอย่างไว้บนเมฆ เรียกใช้งานได้ทุกที่” เช่น ถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วไปเปิดดูที่ iPad หรือ Mac ได้เลย มันอัพโหลดขึ้นเองอัตโนมัติ รวมทั้งปฎิทิน แอพพลิเคชั่น เพลง หนังสือ อีเมล เบอร์โทร Bookmark หน้าเว็บ จะเพิ่มลดข้อมูลที่ไหน ระบบจะทำให้ข้อมูลทุกที่ถูกอัพเดตให้เหมือนกัน การจะเริ่มใช้งานจะต้องตั้งค่านิดหน่อย ซึ่งรองรับอุปกรณ์หลัก 3 ตัว คือ กลุ่มของ iOS, OSX, Windows แบบฟรีมีพื้นที่ให้ 5 GB

วิธีติดตั้ง iCloud

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX Lion

  1. อัพเดต Mac OSX Lion ล่าสุดก่อน
  2. เข้าไปที่ System Preferences ในส่วนของ Internet & Wireless เลือก iCloud (ถ้ายังไม่อัพเดตจะไม่มีนะ)

    ติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX

  3. ล็อกอินด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Windows

  1. ดาวน์โหลด iCloud Control Panel for Windows มาติดตั้ง

    การติดตั้ง iCloud ใน Windows

  2. ล็อกอินใช้งานด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน iPhone & iPad & iPod touch

  1. อัพเดตให้เป็น iOS 5
  2. เปิดเครื่องครั้งแรก เครื่องจะให้ตั้งค่า หรือถ้าเข้าไปตั้งที่ setting ใน Tab iCloud

    การติดตั้ง iCloud ใน iOS devices

เมื่อเราติดตั้งผ่านทางอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งแล้ว เราจะสามารถเข้าใช้งานผ่านทางหน้าเว็บได้ที่ www.iCloud.com

iCloud.com

ข้อมูลจาก: https://www.apple.com/icloud/setup/

ถุงใส่ที่ชาร์ตแบต Macbook

ถุงใส่ที่ชาร์ตแบต Macbook

ที่ชาร์ตแบตของ Macbook เป็นแบบทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาว เก็บสายไฟลำบากมาก แถมเป็นรอยง่าย คิดถึงที่ชาร์ตแบตของน้องเดลแบนๆสีดำเวลาเก็บม้วนสายไฟมีที่รัดล็อคอย่างดี ไม่ต้องกลัวรอยขีดขวน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ที่ชาร์ตแบต Macbook ไม่มี ผมก็เลยลองหาพวกกระเป๋าเล็กๆมาเก็บมัน จะได้เก็บง่ายยัดลงเป้ได้ง่าย แล้วก็ใช้มาหลายอันตั้งแต่ราคายี่สิบจนถึงหลายร้อยบาท และก็ไม่อยากใช้ของแพง ใช้ไปไม่มีอันไหนถูกใจเลย

จนเมื่อต้นเดือนสิงหาคมได้ไปเที่ยวอัมพวากับเพื่อน ไปเจอถุงแบบมีหูรูด หนาพอใช้ได้ คิดว่าอันนี้น่าจจะใช้ได้ ตอนนั้นก็ลองกะๆดูว่ามันจะใส่ได้หรือเปล่า ราคาก็ถูกดีด้วย 4 ถุง 100 บาท ก็เลยซื้อมา 4 ถุง แล้วก็ให้เป็นของฝากไป 3 ถุง เลยเหลือแค่อันเดียว

พอเอามาใส่ที่ชาร์ตแบตใส่ได้พอดีเลย เวลาเก็บง่ายมากม้วนๆยัด รูด ทิ้งลงเป้ คิดว่าเป็นถุงที่หาซื้อได้ทั่วไปนะ ใช้มา 2 สัปดาห์ สรุปว่าถูกใจใช่เลยครับ ใครไปอัมพวาหาซื้อมาฝากอีกถุงสองถุงด้วยนะ จะเอาไว้เป็นตัวสำรอง

คู่มือสอนการใช้งาน iPhone 4 iOS 4.2 (ภาษาไทย)

คู่มือสอนการใช้งาน iPhone iOS 4.2

คู่มือการใช้งาน iPhone รองรับทั้ง iPhone 3Gs และ iPhone 4 เป็นคู่มือของระบบปฎิบัติการ iOS 4.2 อาจจะแปลกที่เอามาโพสตอนนี้ทั้งๆที่ข่าว iPhone 5 กับ iOS5 จะขายแล้วในปลายปีนี้ แต่ไม่ได้เป็นความตั้งใจค้นหาคู่มือของ iPhone แต่อย่างใด(ไม่มีใช้ด้วย!) แต่ตั้งใจจะหาคู่มือของ Macbook ยังไม่เคยอ่านเลย เผื่อจะใช้งานได้คุ้มค่ามากขึ้น จำได้ว่าที่ร้านได้ใส่เข้ามาในเครื่องแล้ว แต่คิดว่าหาในเว็บน่าจะง่ายกว่าหาในเครื่องของตัวเอง ไม่แน่ใจว่าเก็บไว้ไหนหรือเอาออกไปเก็บไว้ที่ HDD แล้วก็ไม่รู้ ก็ลองถามอากู๋มันก็พามาที่หน้านี้ https://support.Apple.com/manuals/ มีคู่มืออุปกรณ์ทุกชนิดของ Apple ให้ดาวน์โหลดฟรี ดูที่รูปด้านล่าง

คู่มือใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple

จะเห็นว่ามีคู่มืออุปกรณ์ทุกชนิดของ Apple ให้ดาวน์โหลดไปศึกษาได้ฟรี ตาก็เหลือบไปเห็น other langues ที่มุมชวา เอาภาษาไทยมาอ่านน่าจะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เลยเข้าไปที่หน้าของภาษาไทยที่ https://support.Apple.com/th_TH/manuals/

ที่หน้าคู่มือของประเทศไทย มีแค่คู่มืออันเดียวคือ iPhone ดังรูปข้างล่าง

หน้ารวมคู่มือผลิตภัณฑ์ของ Apple ภาษาไทย

มันมีแค่คู่มือของ iPhone สุดท้ายหลังจากจากตั้งใจหาคู่มือของ Macbook แต่ได้ของ iPhone มาแทน ลองโหลดมาดูก็พบว่ามันก็เป็นคู่มือที่ทำมาอย่างดี ละเอียดมาก (คิดว่าละเอียดและครอบคลุมมากกว่าหนังสือที่มีขายในท้องตลาดบางเล่มเสียงอีก) น่าจะมีประโยชน์กับคนที่สนใจ เลยเอามาโพสไว้

แต่ผมก็ได้คู่มือ Macbook มาเหมือนกันนะแต่เป็นภาษาอังกฤษ (ทำไมไม่แปลให้หมดทุกอันเลยนะ!)

ซื้อ Macbook มาวันที่ 3 มิ.ย. ก็อัพเดตเป็น OS X Lion ฟรี

ผมซื้อตัว Macbook Pro จาก U-Store ที่จุฬาฯ มาเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2011 ตัดสินใจซื้อตอนนั้นเพราะได้ข่าวว่า Apple จะเปิดตัว OS X Lion ในวันที่ 6 มิ.ย. 2011 ซึ่งปกติแล้ว Apple จะให้อัพเดตฟรีสำหรับใครที่ซื้อก่อนภายใน 30 วัน ตอนนั้นคิดว่า OS X Lion มันจะขายวันนั้นเลยหรือก็ไม่นานจากนั้นมาก แต่ผิดคาด Apple บอกจะเปิดขายผ่านทาง Mac App Store ในเดือนถัดไป แถมจะอัพเดตให้เฉพาะคนที่ซื้อหลังวันที่ 6 มิ.ย. 2011 ตอนนั้นผิดหวังนิดๆ แต่ดีหน่อยที่มันไม่ได้แพงมากนัก ราคา $29.99 หรือประมาณ 900 บาท (เทียบกับ Windows 7 ราคาประมาณ 4 พันกว่าบาท) ตอนนั้นก็ลืมเรื่องการอัพเดตฟรีไปแล้วจนถึงวันที่มันปล่อยออกมา

วันนี้(20 มิ.ย. 2011) Apple ปล่อยตัว OS X Lion ให้ดาวน์โหลดแล้ว ผมก็กดโหลดไปแล้วด้วย แต่พอไปเจอบล็อกของคุณ @kafaak บ่นเรื่องการอัพเดตผ่าน Up-to-date ไม่ได้ ทั้งๆที่ซื้อหลังวันที่ 6 มิ.ย. 2011 (รู้สึกว่าจะมีปัญหากับเครื่อง custom built เพิ่มฮาร์ดดิส,แรม) ในโพสเพื่อนของเขาได้ให้ลิงค์ของ Up-to-date ระบบที่จะทำให้เราอัพเดตได้ฟรีของโซนเอเชียไว้ให้ ลิงค์ Mac OS X Lion Up-to-Date

ผมก็เข้าไปทำตามขั้นตอนของ Up-to-date ไปเรื่อยๆ ต้องใช้ข้อมูลพวก Serial Number, ที่อยู่ ปรากฎว่า validate ผ่านด้วย ได้อัพเดตเป็น OS X Lion ฟรี!!! 

OS X Lion Free

เมื่อเราทำขั้นตอนต่างๆ(ผมไม่ได้จับภาพไว้ให้ดู T_T) เสร็จแล้วระบบจะให้โค้ดมา Mac OS X Lion Content code: xxxxxxxxxxxx (12 หลัก)

จากนั้นให้เข้าไปที่ ลิงค์นี้ กรอกรหัสลงไป แล้วคลิก Redeem (รหัสใช้ได้ครั้งเดียวนะ!)

Mac App Store Redeem

แล้วระบบจะนำเข้าไปหน้า Mac OS X Lion จากนั้นเราก็คลิกโหลดได้เลย (ผมกดโหลดค้างอยู่ก่อนแล้ว มันก็บอกว่ากำลังโหลดอยู่ หวังว่ามันจะไม่เรียกเก็บเงินจากอันแรกที่ยังไม่ได้ทำ Up-to-date นะ)

Oder ที่ Apple ส่งมาให้

ผมไม่รู้ว่าการตรวจเช็ควันซื้อสินค้าของ Apple มีขั้นตอนยังไงนะครับ แต่คิดว่าการซื้อที่ร้าน Authorized Resellers น่าจะทำให้วันซื้อที่จะถูกบันทึกในระบบมี delay อยู่บ้างเล็กน้อย ใครที่ซื้อในช่วงก่อนวันที่ 6 มิ.ย. 2011 อยากให้ลองไปใช้ระบบนี้ดูก่อนนะครับ อาจจะได้อัพเดตฟรีก็ได้นะ!!

สุดท้าย ขอขอบคุณ @kafaak ที่อัพบล็อก Apple Up-to-date ทำให้ผมได้ลองเข้าไปใช้งาน และทำให้ประหยัดเงินไปได้ 900 บาท

ประสบการณ์ใช้งาน Macbook Pro ในหนึ่งสัปดาห์

Macbook Pro

ตอนนี้ใช้ Macbook Pro เข้าสัปดาห์ที่สองแล้ว เลยขอเขียนถึงมันหน่อย ตัวที่ใช้เป็น Macbook Pro รุ่นจอ 13 นิ้ว CPU เป็น Core i5 เขียนแบบนึกอะไรออกก็เขียนเลยนะ

  • แน่นอน! มันสวยมาก เครื่องแบบ Unibody ทำให้รู้สึกว่ามันแข็งแรงดี และทำความสะอาดง่าย ไม่ค่อยมีช่องรูเล็กๆ
  • การเปลี่ยนจาก Windows เป็น Mac OS X ไม่ยากเย็นอะไร ใช้ไปสัก 2-3 ชั่วโมงก็คุ้นเคยแล้ว โดยเฉพาะการใช้ TouchPad รู้สึกว่าใช้งานได้ดีกว่า Windows อยู่นิดหน่อยในแง่ของการควบคุมการทำงาน มีวิธีใช้เป็นวีดีโอให้ดูใน System Preference
  • ส่วนหนึ่งที่ทำให้การย้ายจาก Windows มาเป็น Mac OS X ทำได้ง่าย เพราะเราใช้ Freeware, Open source ในการทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ มีเวอร์ชั่นที่รองรับใน Mac OS X อยู่แล้ว ทำให้ตัวที่ใช้บ่อยๆ มาครบเกือบหมด อีกอย่างคือเคยใช้ Ubuntu อยู่พักหนึ่ง มีหลายส่วนที่เหมือนกัน
  • ตัว Port ต่างๆที่มากับเครื่อง ที่รู้สึกว่ายังไม่มีประโยชน์นะตอนนี้ คือ Thunderbolt มันคงมีประโยชน์ในบ้านเราน้อย ตัว USB 3.0 ดูจะเหมาะสมมากกว่า  อุตสาห์ซื่อ Ext HDD  USB 3.0 มา เครื่อง Macbook Pro ไม่รองรับ USB 3.0 ในขณะที่คู่แข่งฝั่ง PC ใส่มาหมดแล้ว Apple คงดัน Thunderbolt เต็มที แต่ต้องดูไปสักพักว่าจะเปลี่ยนไปใช้ USB 3.0 เมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนตัว 2.0 ให้เป็น 3.0 อุปกรณ์ต่างๆพวกเครื่องปรินต์วันหนึ่งคงต้องเปลี่ยนเหมือนกัน
  • Mac OS X เขียน Ext HDD ที่เป็น NTFS ไม่ได้ ต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ System บางตัว หรือง่ายกว่าคือลงโปรแกรมเสริม
  • หน้าสั่งปรินต์ใช้งานยากกว่าใน Windows มาก เพราะมันตั้งค่าได้ละเอียดมาก ต้องเลือกทีละเมนูไม่สะดวกเลย (ทางออกคือตั้งค่าไว้แล้ว save การตั้งค่าไว้ใช้ภายหลัง)
  • ถ้าคิดจริงๆแล้วราคามันไม่ต่างจาก PC เท่าไหร่ ถ้าเวลาซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไปคุณบวกค่า Windows OS เข้าไปด้วย แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มราคาสูงอยู่ดี ใช้บริการของ U-Store ที่จุฬาฯ ทำให้ได้ราคาถูกลงเยอะพอดูเลย
  • แบตเตอรีอยู่ได้ 7 ชั่วโมงจริงๆ Apple ไม่ได้โม้แต่อย่างใด โน๊คบุ๊คที่เคยใช้มาไม่มีเครื่องไหนอยู่ได้เกิน 3 ชั่วโมงเลย
  • อันนี้แปลกใจหน่อยๆ เวลาซื้อโน๊ตบุ๊คของ Apple ทำไมร้านต้องถามว่าจะติดฟิล์มหน้าจอไหม? ทีซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไป(ราคาเท่ากัน)ไม่เห็นมีร้านไหนถามเรื่องติดฟิล์มเลย สองมาตรฐานชัดๆ
  • สิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุดของการเปลี่ยนจาก Windows ที่ใช้มาตลอดมาเป็น Mac OS X คือโปรแกรมหลักที่ใช้ทำงานว่าซับพอร์ต Mac OS X หรือไม่ และตัวที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุดคืองานเอกสารพวก MS Office แม้จะมี Office for Mac แต่ทำงานร่วมกันกับ Windows  ได้ห่วยมาก ทางออกของการแก้ไขปัญหานี้คือ ใช้ Parallel ลง Windows แล้วไปใช้งาน MS Office บน Windows  แทน
  • จากที่ลองใช้งานโปรแกรมทางด้าน Office พบว่าตัว LibreOffice ทำงานได้ดีกว่า OpenOffice ในหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการจัดรูปแบบ
  • ชุดโปรแกรม iWork ห่างชั้นจาก MS Office อยู่มาก พอจะสูสีหน่อยก็ Keynote กับ Power Point
  • ผมหาตัวโปรแกรมดูภาพแบบ Picasa Photo Viewer แบบใน Windows ที่ถูกใจไม่ได้เลย ที่อยากได้คือเมื่อเราเปิดโฟล์เดอร์รวมรูปขึ้นมา แล้วเปิดดู สามารถเลื่อนดูรูปต่อไปได้ แก้ไขได้เล็กน้อยเช่นหมุนภาพ ตัว Preview(เลื่อนดูรูปต่อไปไม่ได้) กับ iPhoto(ต้องคอย import เข้าไป) ทั้งสองตัวไม่ตอบโจทย์ของผม แต่มีตัวที่พอจะแก้ไขได้บ้างคือ Xee แต่ยังสู้ตัว Picasa Photo Viewer ไม่ได้
  • อันนี้ดี ตัวแชร์เน็ตผ่าน Wifi แบบที่โปรแกรม Conectify ใน Windows 7 พบว่าใน Mac OS X ทำได้ง่ายกว่ามาก
  • โปรแกรม Paint ที่ใช้ในการแต่งรูปเล็กน้อยๆเวลาจะเขียนบล็อก ใน Mac OS X ใช้ Paintbrush แทนได้ดี
  • App Store ของ Mac OS X มีโปรแกรมเยอะ ส่วนใหญ่ที่น่าใช้เป็นโปรแกรมเสียตังค์ทั้งนั้น(แหงอยู่แล้ว)
  • เล่น iOS emulator ได้แล้ว ว่างๆจะลองเขียน App ง่ายๆลองดู
  • ใช้เวลาบูธนานกว่า Windows 7 64 bit ใน Dell เครื่องก่อน แต่ตอนปิดเครื่องทำได้เร็วกว่า

โดยรวมตอนนี้ก็แฮปปี้ดีกับ Macbook Pro เครื่องนี้ คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน ส่วนใครมีอะไรแนะนำ Mac user มือใหม่อย่างผม เชิญเขียนคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยนะครับ

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

ตอนที่แล้วเป็น 10 อย่างที่ iOS ชนะ Android มาคราวนี้ถึงเวลาที่ Android จะได้โต้กลับบ้าง ในรายละเอียดของ 10 อย่างต่อไปนี้เป็นฟีเจอร์ของ Android ที่ iOS สู้(ยัง)ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น jailbreak หรือไม่ jailbreak ก็ตาม ผมเขียนตามความเข้าใจ ส่วนใครอยากอ่านต้นฉบับตามไปดูได้ที่ลิงค์นี้ Top 10 Awesome Android Features that the iPhone Doesn’t Have

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

  1. Alternate Keyboards
    Alternate Keyboards

    คีย์บอร์ดแบบแปลกๆที่ทำให้พิมพ์ได้เร็วขึ้น ให้เราได้เลือกใช้งานมากมาย เช่น แบบลากนิ้วอย่างเช่น Swype หรือวิธีการเดาคำศัพท์แบบแปลกๆอย่าง 8pen และยังง่ายต่อการติดตั้ง แม้ว่า iPhone ก็มีคีย์บอร์ดอื่นๆให้เลือกเหมือนกัน แต่จะมีเฉพาะในรูปแบบของ app แยกต่างหาก ไม่ได้เป็นคีย์บอร์ดโดยตรงอย่างเช่นใน Android

  2. Automation
    Automation

    มีอีกอย่างที่มีประสิทธิภาพมากของ Android คือโปรแกรมที่สามารถเข้าถึงการตั้งค่าต่างๆของเครื่องได้แทบทุกส่วน อย่างเช่นโปรแกรมชื่อ Tasker เวลาเปิดเครื่องใช้งานทุกจะอย่างจะทำงานอัตโนมัติทุกอย่างตามที่ตั้งค่าไว้ อย่างเช่น เมื่อไหร่จะเปิดหรือปิด GPS การตั้งเวลาปลุกแบบละเอียด ควบคุมเสียงโทรศัพท์เมื่อมีสายเข้าได้อย่างละเอียด เช่น ให้เสียงเงียบเมื่อคว่ำหน้าลง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หาไม่ได้ใน iOS

  3. Custom Home Launchers
    Custom Home Launchers

    ใน iOS ก็สามารถปรับแต่ง Home Launcher ได้เล็กน้อยในตัวที่ทำ jaibreak แต่คงปรับแต่งได้ไม่เท่ากับใน Android ทำได้แน่นอน มี launcher มากมายให้ได้ลองเลือกใช้ อย่างเช่น ปรับแต่งหน้าตาไอคอนของ app ใหม่ หรือปรับแต่งให้มือถือทำงานได้เร็วขึ้น  ตัวที่มีคนแนะนำเยอะก็เช่น LauncherPro, ADWLauncher เป็นต้น

  4. Widgets
    Widgets

    แม้ว่า widget จะกินเนื้อที่ไปบ้าง แต่มันทำให้ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น มีหลายๆอันที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ตัวรายงานสภาพอากาศ ตัวควบคุมการเล่นเพลง ตัวแจ้งเตือนสำหรับ twitter/facebook กลุ่มของปฎิทิน หรือ to-do list ใน iOS ทำได้เล็กน้อยในหน้า lock screen ซึ่งทำได้เฉพาะในตัวที่ jailbreak

  5. Removable Storage and Battery
    Removable Storage and Battery

    นี้อาจจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ OS ซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนดีที่มีใน Android devices คือการถอดแบตอเตอรี่เพื่อซ่อม เพื่ออัพเกรดให้ดีขึ้น หรือสำรองแบตเตอรี่อีกตัวยามที่ต้องการใช้งานยาวนานขึ้นในจุดที่ไม่ที่ชาร์ตไฟ และอีกความได้เปรียบคือการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลให้ Android phone ด้วย SD card ที่ใน iOS ไม่รองรับ

  6. Wireless App Installation
    Wireless App Installation

    การเปิดดู apps ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ทำให้ดูรายละเอียด และการจัดการได้ง่ายมากกว่าดูผ่านทางหน้าจอมือถือ ใน iOS สามารถติดตั้ง apps ผ่านทางการโหลดในมือถือกับโหลดผ่านทาง iTunes แล้ว Sync ผ่านทางสายเชื่อมเท่านั้น แต่ใน Android market หรือ Store ของค่ายอื่นๆ เช่น AppBrain เราสามารถค้นหา apps ที่เราสนใจ แล้วคลิกติดตั้งที่หน้าเว็บไซต์ แล้ว apps จะโหลดลงมือถือและติดตั้งให้เอง เมื่อมือถือต่ออินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องมีขั้นตอนอื่นๆให้ยุ่งยากอีกเลย

  7. Custom ROMs
    Custom ROMs

    เนื่องจาก Android เป็น open source จะมีนักพัฒนานำไปปรับแต่งได้อย่างอิสระ เช่นปรับแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้เร็วขึ้น ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย ตัว Custom ROMs พวกนี้มีให้เลือกใช้ฟรีมากมาย หรือถ้าคุณเป็น Geek อยากทำเวอร์ชั่นของตัวเองไว้ใช้เฉพาะของตัวเองก็ยังได้ ตัวที่ได้รับนิยมเช่น CyanogenMod, MIUI

  8. Controlling Your Phone From Your Computer
    Controlling Your Phone From Your Computer

    อีกหนึ่งคุณสมบัติของ Android คือสามารถควบคุมมือถือผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ เช่นส่งข้อความจากคอมพิวเตอร์ไปที่มือถือ ควบคุมกล้อง, ส่ง SMS, ตรวจหา location ของมือถือ, เข้าถึงไฟล์ในเครื่อง นอกจากนั้นยังสามารถส่ง notifications จากมือถือไปแสดงที่คอมพิวเตอร์ได้ ใน iOS ก็มีความสามารถนี้เช่นกันแต่ทำงานได้เฉพาะฟังชั่นพื้นฐานบางอันเท่านั้น

  9. Flash
    Flash for Android

    Flash ยังมีความสามารถมากกว่า HTML5 อยู่เยอะ ทำให้ในเว็บไซต์ต่างๆยังคงมี Flash เป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น วีดีโอ เกมส์ โปรแกรมออนไลน์ ซึ่งใน Android รองรับ Flash อย่างเต็มตัว ส่วนใน iOS แม้จะ app ที่ช่วยแปลง Flash แต่ก็ทำงานได้เพียงแค่แก้ขัดเท่านั้น!

  10. True App Integration
    True App Integration

    Google apps ต่างๆถูกออกแแบบมาให้ทำงานได้ดีใน Android แม้ว่าใน iOS ก็มีให้ใช้ แต่จะมาช้ากว่าและคงให้ประสบการร์ใช้งานได้ดีไม่เท่าใน Android เพราะมันถูก intergrate เข้าไปใน OS เลย ไม่ได้พัฒนาขึ้นในระดับบนอย่างใน iOS

Exit mobile version