เปลี่ยนจาก Chrome Dev channel เป็น Stable channel

Google Chrome Dev to Stable Channel

Google Chrome มีรุ่นให้เราเลือกใช้ทั้งหมด 4 รุ่น(channel) คือ

  • รุ่นจริงให้ใช้ทั่วไป (Stable channel): https://www.Google.com/Chrome?platform=win
  • รุ่นก่อนปล่อยจริง (Beta channel): https://www.Google.com/Chrome/eula.html?extra=betachannel
  • รุ่นพัฒนา (Dev channel): https://www.Google.com/Chrome/eula.html?extra=devchannel
  • รุ่นทดสอบของใหม่ (Canary build): https://tools.Google.com/dlpage/Chromesxs
  • สายการพัฒนาจะเรียงไปจาก Canary ที่อยากใส่อะไรก็ใส่เข้าไป –>Dev ก็พัฒนาให้ดีขึ้น–>Beta ใช้งานก่อนปล่อยจริง–>Stable รุ่นจริง ปล่อยให้ใช้ทั่วไป

    ที่จริงแล้วใครอยากเลือกใช้ Channel ไหนก็เลือกได้เลย เวอร์ชั่นของรุ่นที่อยู่ด้านบนมันก็จะใหม่มากกว่า มีของใหม่ให้เล่นมากกว่า แต่ก็แลกมาซึ่งความไม่เสถียร และบั๊กต่างๆแถมมา ปกติใช้ Dev channel อยู่ เพราะติดตามตั้งแต่เวอร์ชั่นเก่าที่รุ่น Dev ค่อนข้างมีอะไรให้เล่นมากกว่าเยอะ เช่น พวก Extension, Web Apps, GPU,V8, Setting UI เป็นต้น แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นส่งไปถึงรุ่น Stable หมดแล้ว และรู้สึกว่ารุ่น Dev กับ Stable ไม่มีอะไรใหม่กว่ากันอย่างชัดเจน

    ดังนั้นคิดว่าการเลือกใช้รุ่น Dev channel ไม่ค่อยคุ้มกับบั๊ก หรือความเสถียรที่ต้องเสี่ยง วันนี้เลยเปลี่ยนจาก Dev channel มาเป็น Stable channel

    การเปลี่ยนนั้นจะพบปัญหานิดหน่อย เมื่อเราถอนการติดตั้ง Dev channel แล้วติดตั้ง Stable channel มันจะฟ้อง ว่า Profile ที่เราใช้มันเป็นของเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า บางอันจะใช้ไม่ได้ แนะนำให้ลงเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่านี้ ความจริงเราจะปิดไป แล้วใช้เลยก็ได้ไม่มีปัญหา แต่มันขัดใจ เหมือนมี error ติดเครื่อง

    ดังนั้นเราจะทำตามคำแนะนำที่ถูกต้องนั้นคือ เราจะสร้าง User Profile ขึ้นมาใหม่สำหรับ Stable channel ส่วนอันเก่าที่เป็นของ Dev Channel เราก็จะเก็บไว้เผื่ออยากกลับไปใช้ก็ยังไม่ได้หายไปไหน วิธีทำมีดังนี้

    1. ปิด Google Chrome ก่อน
    2. Start menu > Run ถ้าเป็น Windows 7 ก็คลิกปุ่ม start แล้วพิมพ์ Run ลงช่อง Search แล้ว Enter เลย
    3. พิมพ์ข้อความเหล่านี้ลงในช่อง Open แล้วก็คลิก OK
      -Windows XP ใช้:  %USERPROFILE%\Local Settings\Application Data\Google\Chrome\User Data\
      -Windows Vista หรือ 7 ใช้:  %LOCALAPPDATA%\Google\Chrome\User Data\
      มันคือการเข้าไปที่โฟว์เดอร์ User Data จะเปิดหาเองตามที่อยู่ของมันก็ได้ แต่วิธีนี้สะดวกดี

      เปิดโฟว์เดอร์เก็บข้อมูลของ Google Chrome

    4. ให้เปลี่ยนชื่อโฟว์เดอร์ Default ซึ่งเป็นข้อมูล User Profile ของ Dev channel เป็นชื่ออะไรก็ได้อย่างเช่น Dev_Default
    5. เสร็จแล้ว ต่อไปเมื่อเราเปิด Google Chrome อีกครั้ง มันจะสร้างโฟว์เดอร์ Default ขึ้นมาใหม่ สำหรับเก็บข้อมูล User Profile อันใหม่ของเรา

    จากนั้นก็เข้าไปล็อกอินเพื่อ Sync ข้อมูลอันเก่าเข้ามา เพียงเท่านี้การเปลี่ยนจาก Google Chrome Dev channel มาเป็น Stable channel ก็สมบูรณ์แบบแล้วครับ ถ้าอยากจะกลับมาใช้ User Profile อันเก่าก็แก้กลับมาเป็นชื่อ Default (ส่วนอันที่ใช้อยู่ก็ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ด้วยเดี๋ยวซ้ำ)

    ข้อมูล: https://www.Google.com/support/Chrome

     

    ตัวอย่างหนัง Transformers : Dark of the Moon

    Transformers Dark of the Moon

    Transformers : Dark of the Moon

    Transformer ภาค 3 ตอน Dark of the Moon

    อย่าไปสนใจคำวิจารณ์ที่บอกว่า เอฟเฟคเยี่ยม เนื้อเรื่องห่วย เพราะเราไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องมันแต่อย่างใด เราไปดูรถแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ ที่หนังเรื่องนี้ทำให้จินตนาการของเราเมื่อครั้งวัยเยาว์เป็นจริง เรารู้สึกตื่นเต้นกับการแปลงร่างของหุ่นยนต์ ในภาพเคลื่อนไหวแบบสโลโมชั่นทุกครั้งไป มันเทพจริงๆ

    ตอนนี้ตัวอย่างล่าสุดออกมาให้ชมกันอีก โชว์ไอ้หนอนกินตึกได้น่าทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ เสียดายอย่างเดียว แม่สาวเมแกน ฟอกซ์ นมโตของเราไม่อยู่ซะแล้ว เนื้อเรื่องเล่าถึงยานของชาว Cybertronian ที่หายไปบนดวงจันทร์ (บอกแล้วว่าไม่สนใจเนื้อเรื่องจะไปดูหุ่นยนต์กับระเบิดตูมตาม)

    ไปดูกัน Transformers : Dark of the Moon ลงโรงวันที่ 1 กรกฎาคม 2011 นี้

    ดูตัวอย่างหนัง Transformers : Dark of the Moon กันเลย

    หยุดรับ Feed จาก Fail.in.th แล้ว

    หยุดรับ Feed จาก Fain.in.th แล้ว

    FAIL
    ตอนแรกก็สนุกกับ FAIL สัญชาติไทยอยู่นะ หลังๆมาไม่ค่อยได้ดูแล้ว ฮาลดลง และ ปกติอ่านผ่าน Google Reader ซึ่งค่อนข้างรับเยอะพอควร ใช้เวลาอ่านพอควร(เรียกว่าเช็คดีกว่า) ถ้าอันไหลโหลดนานเกิน 1 วินาที จะถูกเปิดผ่านไป Fail มันมาเป็นรูปจึงถูกเปิดข้ามบ่อย โดยเฉพาะตอนที่มีเน็ตช้า

    สรุปง่ายๆเลยคือ โหลดช้า ความฮาลดลง เริ่มซ้ำ เอาเป็นว่าถ้าอยากอ่านก็ค่อยเข้าไปดูที่เว็บเองแล้วกัน วันนี้ Unsubscribe ไปแล้ว

    ถามถึงความรับผิดชอบ

    เลือดจากหู

    ตอนที่เขียนบล็อกนี้อยู่ในอารมณ์ขุ่นนิดหน่อย หลังจากไปหาหมอที่ร้อยเอ็ด เขาเอาสำลีทายาแล้วยัดเข้าไปอุดค้างไว้ เลือดจึงหยุดไหล (ค่ารักษาแค่ 100 บาทเอง) อาการดีขึ้น อารมณ์เลยดีขึ้นตาม ตอนนี้ไม่ติดใจอะไรแล้ว แต่ไหนๆก็เขียนแล้วเลยเอาลงไว้หน่อย อย่างน้อยก็เตือนใจเราได้ส่วนหนึ่ง ให้คิดอะไรให้รอบด้าน และ อย่าให้ใครมาเอาอะไรมาแหย่หูเราได้ง่ายๆ ถ้าเขาไม่ใช่หมอเฉพาะทาง

    ถามถึงความรับผิดชอบ

    บล็อกนี้แปลกกว่าทุกครั้งเพราะต้องเขียนบน MS Word เพราะขณะที่เขียนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เรื่องที่อยากเขียนเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสบายใจมากนักกับสภาพของหูนะตอนนี้ เวลาที่อ้างถึงในเรื่องนี้อาจจะไม่ตรงแปะซะทีเดียวเพราะตอนนี้เกิดเรื่องใครจะไปดูเวลาตลอดกัน แต่เรามี Log ส่วนหนึ่ง เนื่องจากตอนที่นอนไม่หลับหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนไว้ รู้สึกว่าเรามีความจำเรื่องลำดับเรื่องค่อนข้างดี เพราะใช้บ่อยกับงานอีเวนต์ต่างๆที่เคยเข้าร่วม เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน

    วันอาทิตย์ ที่ 10 เมษายน 2554

    เวลา 19.45 น. –อาบน้ำ เตรียมตัวออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาบน้ำเสร็จตัวยังเปลียกอยู่ ก็หยิบคัตตอนบัด มาปั่นหูเล่น ทำความสะอาดหูสักหน่อย เพราะว่างเว้นมานาน ก็เป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาเหมือนทุกครั้ง แต่ที่หูข้างซ้ายตอนที่ปั่นอยู่นั้นก็เกิดอาการหูอื้อลักษณะเดียวกันเหมือนกับเอาสำลียัดหูไว้ หรือใช้หูฟังยัดแต่ไม่ได้เปิดเพลง คงเป็นเพราะขี้หูที่เยอะและเหนียวดันไปอุดรูหูซะนี้ ก็ลองปั่นต่อขี้หูก็ติดออกมาด้วยเล็กน้อย แต่ยังมีอาการหูอื้ออยู่ ไม่กล้าแยงเข้าไปลึกกลัวมันถูกดันเข้าไปลึกกว่าเดิม ไอ้เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นบ้าง ตอนนั้นให้เพื่อนช่วยแคะก็เรียบร้อยดี จึงทำให้ไม่รู้สึกตกใจอะไร

    เวลา 20.20 น. –ลงจะห้องแบบไม่ได้มีความวิตกใดๆ แวะไปคืนการ์ตูนที่ร้านหนังสือเปิดใหม่ใต้ตึก และยืมกลับมาด้วย จากนั้นเดินไปที่ เพชรบุรี ซอย 5 หาอะไรมากิน ระหว่างนั้นได้คิดว่าจะแวะไปที่ร้านตัดผมดูไหมเพราะคิดว่าที่นั้นน่าจะมีที่แคะขี้หู แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะอะไรคิดว่าเดี๋ยวทำไม่ดีอาจเป็นอันตรายได้ จึงแวะไปที่คลีนิคแพทย์ที่ซอยนั้น หมอหญิงท่านนั้นแนะนำว่า ไปโรงพยาบาลดีกว่า ที่นั้นมีที่ดูดขี้หู ที่นี้ไม่มีอุปกรณ์ ทำไม่ได้ ก็เห็นควรด้วย เวลาประมาณ 20.45 น. –กลับมาที่ห้อง นั่งกินข้าว ข้าวเหนียว ส้มตำ กับแกงฟัก

    เวลา 20.55 น. -ออกเดินทางไปโรงพยาบาล เอกชนแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ที่พัก เหตุที่ไปโรงพยาบาลแห่งนั้นเพราะว่า เรามีบัตร SCB Debit Plus ที่คุ้มครองอุบัติเหตุ คิดว่าอาจจะใช้ได้ และโรงพยาบาลแห่งนั้นเป็นโรงพยาบาลชื่อดัง น่าจะมีอุปกรณ์ที่ครบพร้อม ดังที่แพทย์หญิงท่านนั้นแนะนำ แบบอารมณ์ชิวๆ หยิบการ์ตูนไปอ่านเล่นด้วย อาจจะได้อ่านช่วงนั่งรอ

    เวลา 21.00 น. – ถึงโรงพยาบาล จ่ายตังค์ค่าแท๊กซี่ 37 บาท เข้าไปที่จุดลงทะเบียนที่พนักงานซักประวัติว่าเคยเข้าทำการรักษาที่นี้หรือไม่ คำตอบคือไม่ ส่วนใหญ่เจ็บป่วยเคยเข้ารับการรักษาที่อนามัยของจุฬาฯ แต่นับครั้งได้เพราะไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไร พนักงานซักถึงอาการที่จะเข้ารับการรักษา ก็ตอบดังที่เขียนไว้ด้านบนว่า “ใช้คัทตอนบัดปั่นหูแล้วขี้หูมันอุดทางท่อรูหู” พนักงงานหญิงท่านหนึ่งแนะนำ ตอนนี้มีแต่หมอฉุกเฉิน หมอเฉพาะทางต้องรอพรุ่งนี้นะ เขาดูได้แค่เบื้องต้นเท่านั้น ตอนนั้นเราคิดว่าให้เขาดูหน่อยไม่น่าจะเป็นไร แคะนิดเดียวก็น่าจะกลับได้แล้ว จากนั้นเราถามพนักงงานต่อว่าจะใช้บัตรเดบิต เจ็บไม่อั้นได้ไหม เขาหันไปพูดกันซุบซิบ ประมาณว่าไม่แน่ใจว่าถือเป็นอุบัติเหตุหรือปล่าว? พนักงานผู้ชายคนนั้นจึงแนะนำว่า เขียนว่า “ปั่นหูอยู่แล้วเพื่อนเดินชนแล้วกัน” ไม่รู้ใช้อะไรตัดสินว่า ทำตัวเองไม่เป็นอุบัติเหตุ ต้องคนอื่นกระทำจึงจะเป็นอุบัติเหตุ (งั้นถ้าตัดเล็บแล้วโดนเนื้อตัวเองก็น่าจะไม่เป็นอุบัติเหตุ ซึ่งผมว่ามันไม่น่าใช่) แต่เราก็โอเค เพราะคิดว่าจะได้ไม่ต้องจ่ายตังค์

    ประมาณ 21.20 น. –เข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน ก็เล่าอาการให้ฟัง หมอซักตามสมควร ไม่มีเลือดออก ไม่เจ็บ แค่หุอื้อ และคิดว่าขี้หูอุด หมอใช้อุปกรณ์ส่องหูแล้ว แล้วก็บอกว่าเห็นแล้ว และบอกให้พยาบาลให้เอาครีบกรรไกรมาให้ พยาบาลฉีกอันใหม่ในซองออกมา และให้หมอเริ่มคีบ หมอบอกว่าไฟที่หัวเตียงห่วยมาก ไฟส่องไม่ชัด ให้เอาไฟฉายมา พยาบาลก็เอาไฟฉาย และช่วยดึงใบหูประมาณจะช่วยถ่างให้รูเปิดมาที่สุด หมอคีบข้หูอัดแรกออกมาตอนนั้นรู้สึกโล่งแล้ว คิดว่าหมอคงเห็นว่ายังมีเหลือจึงเริ่มคีบอันอื่นๆออกมา และก็มีก้อนขี้หูออกมาด้วย 2-3 ก้อน หมอบอกว่ามี Clots blood ด้วย เรามองดูแล้วมันไม่ใช่หรอก ก็ขี้หูดีๆนี้เอง เวลาแค่ชั่วโมงมันจะแข็งตัวจนดำแบบนั้นไม่ได้หรอก และซึ่งแต่มีครั้งหนึ่งรู้สึกเจ็บแป๊บ จนหลุดปากร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่หมอก็ยังทำต่ออีกสองสามครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเจ็บสุด น้ำตาไหลเปื้อนหมอนเลยทีเดียว ในความรู้สึกในหูเหมือนหมอพยายามจะคีบอะไรบางอย่างออกมา แต่ทำไม่สำเร็จ และหมอก็บอกว่าหยุดดีกว่า ตอนนั้นก็โล่งใจ และหูก็โล่งดี(ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้อนแรกออกมาแล้ว) แต่มีอาการเจ็บและปวดเพิ่มเข้ามาด้วย ใช้เวลาตลอดการรักษาประมาณ 15-20 นาที

    หมอบอกว่าสั่งยาให้ 3 ตัว มี Tylenol, Ibuprofen, Amoxycillin ยังงงว่าแคะขี้หูเนี้ย ต้องเอายาไปทำไม? คิดว่าคงเป็นธรรมเนียมที่หลังรักษาก็ต้องมีการสั่งยา คุณพยาบาลทำใบนัดหมอเฉพาะทางให้ตอน 10 โมงของวันรุ่งขึ้น(11 เมษายน 2554) หมอบอกอีกว่า เยื่อแก้วหูอาจขาด แต่ไม่เป็นไรหรอกมันรักษาได้ ตอนนั้นเอ๋อไปเลย แค่แคะขี้หูเนี้ยแก้วหูขาด ตอนนั้นคิดในใจว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้หูเรายังได้ยินปกติดีนิ ระหว่างช่วงนั่งรอเรื่องทำประกัน รู้สึกมีเจ็บภายในหูแต่ไม่ได้มากมายเท่าตอนที่คีบขี้หู หลังจากนั้นก็ออกมานั่งรอรับยา ระหว่างรอได้นั่งฟังกวางร้องเพลงอำลาเวทีเดอะสตาร์ด้วย แล้วบิลก็ออกราคา 711.50 บาท (ใช้สิทธิบัตรประกันเดบิตได้) ออกเวลา 22.30 น.

    เวลา 22.45 น. –กลับถึงห้องได้ซักพัก นั่งพิมพ์งาน และเล่นเน็ตได้สักพักรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรไหลออกจากหู เลยเอามีแตะมาดู “ฉิบหาย เลือด!!!” แต่เราก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก คิดว่าเดี๋ยวคงหยุด แต่แม่เจ้า “มันไหลทั้งคืน” ไม่ได้ออกมาเยอะแต่ไหลออกมาเรื่อยๆ สรุปว่าทั้งคืนไม่ได้นอน นั่งเช็ดเลือดตัวเอง อนาจตัวเองฉิบหาย!

    วันที่ 11 เมษายน 2554

    เวลา 7.00 น.– โทรเข้าเบอร์สายด่วนของโรงพยาบาล ถามเรื่องการนัดหมอ ในใบนัดที่พยาบาลทำให้เมื่อคืนคือ 10 โมง แต่เจ้าหน้าที่ในสายแนะนำว่า หมอจะเข้ามาประมาณ 8.30 น. แต่ถ้าเลือดออกก็ให้มาก่อนก็ได้ จะได้ให้หมอฉุกเฉินดูให้ก่อน ตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำเลือดเป็นก้อน แล้วอุดรูหูทำให้ด้านซ้ายไม่ได้ยินแล้ว แล้วเลือดก็ยังไหลออกมาข้างนอกเป็นระยะๆ (อึดอัดมาก)

    เวลา 7.10 น. –ถึงโรงพยาบาล พนักงานบอกว่าหมอจะมาราว 9 โมงจะรอไหม? ตอนนั้นหูซ้ายไม่ได้ยินแล้ว จนพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างซ้ายต้องตะโกนเสียงดัง มีวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก เวลาประมาณ 7.15 น. –มานั่งรอที่ห้องฉุกเฉิน แต่ไม่มีใครมาดูหูให้ เลือดไหลออกมา ต้องเดินไปขอสำลีเอง แต่โชคดีที่เจอคุณนางพยาบาลคนเดิม ที่เป็นคนช่วยหมอเมื่อคืน ดูเขามีอาการเป็นห่วงเราอย่างชัดเจน และมากยิ่งขึ้น เมื่อเราบอกไปว่าตอนนี้ด้านซ้ายไม่ได้ยินแล้ว เขาพยายามติดต่อกับแผนกหู คอ จมูก ให้ ได้ความว่าจะเดินทางมาถึงอีกประมาณ 40 นาที รู้สึกว่าเป็นนาฬิกาตอนนั้นเดินช้ามาก

    เวลา 8.00 น. –พยาบาลท่านนั้นเดินไปส่งที่แผนก หู คอ จมูก อยู่ชั้น 3 ของตึกข้างๆ ระหว่างทางพยาบาลคุยกับเราว่า เล่าให้อาจารย์(น่าจะหมายถึงคุณหมอ)ฟังนะว่าเป็นยังไง เดี๋ยวหมอบอกว่าโดนคองมีคมหรือโดนอะไรนะ เขายื่นเอกสารให้เคาร์เตอร์ ให้เรานั่งรอบนเก้าอี้นุ่มรอ ก่อนไปก็บอกเดี๋ยวจะตามมาดูว่าสรุปแล้วเป็นยังไง

    เวลา 8.30 น.-คุณหมอก็มาถึง เราเล่าอาการให้ฟังเล็กน้อยว่า น่าจะโดนคีมของคุณหมอฉุกเฉินทำให้เกิดแผลภายในช่องหู คุณหมอเข้ามาดูที่หูขวาก่อน เราสามารถมองที่จอมอนิเตอร์ผ่านกล่องร่วมกับคุณหมอได้ หมอใช้กรวยนำทางเข้าไปในช่องหู แล้วใช้คีบเหล็กอันเดียวกับที่หมอฉุกเฉินใช้นั้นแหละ แต่ความชำนาญต่างกันหลิบลับ คุณหมอคีบขี้หูออกมาอย่างง่ายดายและไม่มีอาการเจ็บแม้แต่น้อยนิด แล้วตามดูสายดูขี้หูออกมาชนิดแบบเกลี่ยเกลา นึกในใจทำไมกูไม่รอพบหมอท่านนี้ เรื่องเล็กๆอย่างขี้หูอุดหูกลายมาเป็นรูหูเป็นแผลเลือดไหลไม่หยุดแบบนี้ เมื่อย้ายมาอีกข้าง หูซ้ายตัวเกิดเรื่อง ดูผ่านกล้องมอนิเตอร์เลือดเต็มเลย หมอก็ทำเหมือนเดิม มือนิ่มมาก ค่อยๆดูดเลือดออก อีกอย่างที่เราสังเกตูเห็นพบว่า รูหูด้านซ้ายมันคดเคี้ยวมากกว่าด้านขวามาก มิน่าว่าทำไมขี้หูมันอุดช่องรูหูได้ง่ายนัก หมอค่อยดูดเลือดออก ร่วมกับขี้หูออกมาออกจนเกือยหมด ตอนนี้รู้สึกว่าหูโลงมาก เหมือนเอาอะไรท่อุดรูหูอยู่ออก มันสบายและโล่งมาก ระหว่างที่ทำการรักษานั้น หมอบอกตลอดว่าถ้ารู้สึกเจ็บให้บอก และถามตลอดว่าเจ็บไหมตลอดการรักษา มีอยู่สองครั้งเอง ที่เรารู้สึกเจ็บ ซึ่งหมอบอกว่าเป็นบริเวณที่เป็นแผล หลังจากดูดเลือดและขี้หูออกเกือบจะหมด แล้วหมอก็ใส่สารละลายลงไป แล้วล้างดูดออก บอกว่าเลือดหยุดไหลไปแล้ว และใช้ครีมทาเคลือบไว้ให้ ลงจากเตียงมานั่งคุยกัน หมอบอกว่า ตัวที่ใช้ส่องของหมอฉุกเฉินมันมองเห็นแค่แนวระนาบ มองไม่เห็นภาพเป็นมิติเหมือนกล้องที่หมอใช้เมื่อสักครู่นี้ โอกาสทำพลาดมีสูง หมอบอกว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง (โล่งใจขึ้นเยอะ) แนะนำให้ระวังเรื่องน้ำอย่าให้โดนน้ำ เดินทางไกลก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็สบายใจเพราะตอนเย็นจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ บิลค่ารักษาพยาบาล 2,015.43 บาท

    เวลา 9.00 น. –ซื้อข้าวมากิน นั่งพิมพ์งานสบายกลับมาที่ห้อง แล้วเผลอนอนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะอดนอนมาทั้งคืน เวลา 17.00 น. -ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ต้องตกตะลึงกับสภาพหมอนที่เปื้อนไปด้วยเลือด แต่ที่หูมีคราบเลือดที่แห้งแล้ว จึงนั่งรอดูอาการสักพักว่า เลือดที่ไหลลงที่หมอนเป็นเลือดเก่าที่ไหลเมื่อเช้า แต่หยุดไหลไปแล้ว หรือยังมีเลือดใหม่ไหลออกมาอีก พอสักพักที่ปลายหูเลือดก็ไหลออกมา

    เวลา 17.45 น. เดินทางเข้าไปพบหมออีกครั้งที่ดรงพยาบาล แต่หมอเจ้าของไข้ได้ออกเวรไปแล้ว เป็นหมออีกท่านหนึ่ง ได้แค่ส่องดู เหมือนไม่กล้าลงมือทำ ให้สารละลายห้ามเลือด แช่ไว้ราว 5 นาที แล้วเอาสำลีอุดไว้ บอกให้เอาออกได้ตอนจะนอน คิดในใจจะกลับบ้านแล้ว จะเรียกตอนไหนว่าตอนนอน ผ่านมาสักสำลีก็หลุดออก แต่ยังรู้สึกว่ามีน้ำค้างอยู่ข้างใน (เหมือนน้ำเข้าหูเวลาเล่นน้ำ กัดฟันเบาก็รู้ว่ามีน้ำอยุ่ข้างใน) บิลค่ารักษาพยาบาล 1,100 น.

    เวลา 19.00 น. –ถึงห้องอาบน้ำ แต่งตัวเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางเลือดยังคงไหนไม่หยุด

    วันที่ 12 เมษายน 2554

    ถึงบ้านพร้อมกับเลือดแข็งตัวอุดช่องหู ทางด้านซ้ายไม่ได้ยินเสียงแล้ว กำลังรอไปหาหมอที่เมืองร้อยเอ็ด

    สรุปสิ่งที่เขียนมายืดยาว

    ภาพในหัววิเคราะห์ ฉับๆ เกิดอะไรขึ้นกับหูของฉัน ความรู้สึกเจ็บแป๊บ จนร้องตอนนั้น ไอ้เหล็กคีบอันนั้น น้ำตาหยดนั้น หมอฉุกเฉินคนนั้น ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนั้น หมอฉุกเฉินคนนนั้นจะรู้ไหมว่าเขาทำอะไรกับหูของผม ถ้ารู้แล้วเขาจะยอมรับในการกระทำของตัวเองหรือไม่ และผมจะถามหาความรับผิดชอบของอาการบาดเจ็บครั้งนี้กับใคร?

    เขียนเมื่อ 12 เมษายน 2554 ณ บ้าน ที่จังหวัดร้อยเอ็ด

    Happy Birthday to Me!!!

    วันเกิดปีนี้พิเศษนิดหนึ่ง เพราะได้อยู่ที่บ้าน ปกติก็ไม่มีการจัดงานวันเกิดแต่อย่างใด มันก็เหมือนทุกวันที่ผ่านไป เราก็แก่ขึ้นทุกวัน ไม่ได้กระโดดแก่ขึ้นในวันเกิดสักหน่อย เพียงครั้งต่อไป ในการกรอกเอกสารที่มีให้ระบุอายุ ต้องบวกเพิ่มอีก 1

    วันเกิดสมัยนี้ไม่มี sms แล้ว เพื่อนๆต่างอวยพรกันผ่าน Facebook ตกใจนิดหน่อยที่มีเพื่อนๆพี่ๆ เข้ามาอวยพรวันเกิดกันเยอะเหลือเกิน ทำเอาซาบซึ่งสุดๆ แต่จะให้ไปขอบคุณทุกๆอันคงจะไม่ไหว เลยขอบคุณผ่านบล็อกนี้แล้วกันนะครับ ขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่เข้าอวยพรวันเกิดให้ครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกาย สุขใจ ตลอดไปครับ

    เก็บคำอวยพรเหล่านี้ไว้ด้วยครับ

    รวม Happy Birthday จาก Facebook

    อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เมื่อชีวิตเหลือเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

    อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย

    อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ได้อ่าน แม้จะมีการพิมพ์มานานแล้ว และเคยทำเป็นภาพยนต์มาแล้ว เมื่อปี 2008 โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนมากนัก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ชอบ และซื้อเก็บไว้ คิดว่าเรื่อง อิคิงามิ จะเป็นอีกเรื่องที่จะต้องซื้อเก็บไว้ ความจริงได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว พอดีว่าที่ใต้ตึกที่พักมีร้านเช่าหนังสือมาเปิดใหม่ เลยลองหยิบมาอ่านดู ตอนที่อ่าน อิคิงามิ มี 7 เล่ม ล่าสุดเล่มที่ 8 จะวางขายในวันที่ 11 เมษายน 2011 ที่จะถึงนี้

    เรื่องย่อ

    อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นผลงานของ โมโตโร่ มาเสะ เล่าเรื่องของประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” โดยประชาชนทุกคนจะถูกฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่เด็ก ในวัคซีนบางอันจะมีนาโนเคปซูลที่สามารถกำหนดวันเวลาที่ต้องตายไว้ ในช่วงที่มีอายุ 18-24 ปี ซึ่งโอกาสที่จะโดนแจ๊คพอร์ตนี้ มีเพียงแค่ 1 ใน 1,000 คน เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนนั้นตั้งใจใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตระหนักต่อ “คุณค่าของชีวิต” มากยิ่งขึ้น หรือจะพูดง่ายๆคือ วันนี้ต้องทำให้เต็มที่เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะตายหรือไม่ ทำให้ประเทศลดทั้งอาญากรรม และพัฒนารุ่งเรือง

    ฟูจิโมโตะ ตัวเอกของเรื่องคือคนส่ง “อิคิงามิ” หรือ “สาส์นสั่งตาย” ให้ผู้ที่ได้รับเกียรติต้องตายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ ก่อนถึงเวลาตาย 24 ชั่วโมง คนที่ได้รับอิคิงามิ จะสามารถใช้บัตรนี้แสดงเพื่อขอรับบริการต่างๆจาก ห้างร้าน บริการต่างๆได้ตลอดก่อนถึงเวลาตาย และจะได้รับการสรรเสริญจากคนในสังคมอย่างที่สุด และเมื่อเสียชีวิตครอบครัวจะได้รับเงินตอบแทนจากรัฐบาล แต่ถ้าผู้ที่ได้รับอิคิงามิ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก่ออาชญากรรม ครอบครัวจะไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังถูกประนาฌว่าเป็นครอบครัวที่มีความคิดด้อยพัฒนา สุดท้ายต้องย้ายจะที่อยู่ออกไปจากเมืองนั้น และใครที่คิดต่อต้านกฎหมายนี้ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน

    แต่ใช่ว่าทุกคนในประเทศจะเห็นด้วยกับกฎหมายนี้ มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน และพยายามล่มล้างกฎหมายนี้ หรือแม้แต่ ฟูจิโมโตะ ที่เป็นคนของรัฐบาลทำหน้าที่ส่งสาส์นยังมีความลังเลในใจถึงกฎหมายนี้ ว่ามันดีจริงหรือ

    จุดเด่นที่ชอบ

    เป็นการ์ตูนที่ดราม่า และสะเทือนอารมณ์สุดๆ ในแต่ละตอนจะเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ของผู้ที่ได้รับอิคิงามิ ซึ่งแต่ละตอนคนที่ได้รับ อิคิงามิ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบทบาทในสังคมแตกต่างกัน เช่น นักเรียน นักดนตรี หัวขโมย คนไร้บ้าน นักวาดรูป นักถ่ายภาพ นักเต้น ฯลฯ เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวของคนที่รับอิคิงามิด้วย จะได้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนตายของแต่ละคนจะเป็นยังไง บางคนเลือกที่จะตามแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ซึ่งคนที่ทำร้ายเขาบางครั้งก็เป็นคนในครอบครัวเอง บางคนเลือกที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทุกคนที่ได้รับอิคิงามิก็จบลงด้วยก ความตาย และความเศร้า ทั้งนั้น

    อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่เก็บรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวได้ยอดเยี่ยมมาก และสามารถดึงจุดสำคัญของคนในอาชีพนั้นๆออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อชีวิตถูกบีบให้เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง เขาจะทำอะไรที่เป็นตัวเขามากที่สุด หรือเรียกว่า “ไม่ให้เสียชาติเกิด”

    ซาโตริ (ตื่นรู้ในทันที) จะได้เห็นตลอดในการ์ตูนเรื่องนี้ มาจากทั้งคนที่ต้องตาย และคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่อคนที่ตาย

    คำถามกับผู้อ่าน

    บางครั้งเราคนอ่านก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ถ้าเป็นตัวเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นตัวคุณเองที่ได้รับ อิคิงามิ คุณจะทำยังไง? จะทำอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร? เมื่อลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมาถึง อยากไปอยู่ที่ไหน? หรือที่พระท่านบอกว่า สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในชีวิตคือ “ความตาย” ถูกแสดงให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น

    คำถามที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้คือ วันนี้ใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย คิดว่าตัวเองจะ “ตายตาหลับหรือไม่”

    เริ่มต้นทำบล็อก และหารายได้จากบล็อก-The Smashing Cartoons

    How To Start a Blog and Make Money by Fleaty

    ภาพด้านบนเป็นผลงานของ Fleaty จาก The Smashing Cartoons อ่านแล้วมันทั้งโดน ทั้งฮา เรียกได้ว่า เสนอความจริงปนฮาได้น่ารักยิ่งนัก อันที่จริงดูที่การ์ตูนก็จะเข้าใจแล้ว แต่จะขออธิบายเสริมนิดหน่อย

    ขั้นตอนการเริ่มต้นทำบล็อก และหารายได้จากบล็อก

    Step 1: ออกแบบรูปร่างหน้าตาของบล็อกให้มันเจ๋งๆไปเลย

    Step 2: อย่าลืมดึงมาตรฐานของเว็บอย่าง HTML5 และ CSS3 มาใช้

    Step 3: เติมเอฟเฟ็ค วิ้งๆ ให้บล็อก ด้วย JQuery

    Step 4: ชวนคนเจ๋งๆ มาช่วยเขียนเนื้อหาให้บล็อก

    Step 5: ทำงานให้หนักเพื่อผลิตเนื้อหาที่ดี มีคุณภาพ

    Step 6: (ขายโฆษณาบนบล็อก) ทำเงินไม่ได้ กลับไปหารายได้จากงานประจำอันเดิมของคุณซะ (ฮา)

    ถ้าเราจะเอาฮาในการ์ตูนนี้มันก็ฮาดี แต่ขั้นตอนต่างๆที่เขาเขียนขึ้นนั้น คิดว่ามันใช้ได้จริง ขั้นตอนทำบล็อกมันก็มีเท่านี้เอง ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือ 4, 5 นั้นคือ เนื้อหา เรื่องอื่นๆเป็นเรื่องรอง และตัวที่อยากเพิ่มเข้ามาคือ เวลา อาจจะต้องเริ่มจากทำงานประจำก่อน แล้วให้เวลากับการทำบล็อกบ้าง ผลิตเนื้อหาที่ดีมีคุณภาพ เมื่อถึงเวลามันจะตอบแทนกลับมาเอง ยิ่งถ้าคุณคิดจะทำให้เป็นรายได้หลัก อาจจะต้องลงแรงกาย แรงใจ แรงความคิด ให้มากยิ่งขึ้นอีก แม้บล็อกนี้เอง คนจะเข้าไม่ได้มากมายอะไร ส่วนตัวคิดว่ามัน ประสบความสำเร็จ ในตัวของมันแล้วล่ะ เพราะว่า มีคนอ่านสาส์นที่เราเขียน

    The Smashing Cartoons เพิ่งจะเปิดตัวมาไม่นาน ประมาณปลายเดือนมกราคม ปีนี้เอง ล่าสุดก็ตอนที่ 42 ลองไปอ่านดู ถ้าคุณเป็นคนสนใจเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต งานออกแบบ จะฮาท้องแข็งกันเลยทีเดียว

    กฎหมายไทย บริจาคหนังสือเสรี มีดีมากกว่าเสีย

    ภาพประกอบ โดย libraryman

    ได้อ่าน “บริจาคหนังสือเสรี” ประเทศชาติจะฉิบหายจริงหรือ จากประชาไท กล่าวถึงกฎหมายใหม่ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และถูกประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว เป็นกฎหมายส่งเสริมให้คนบริจาคหนังสือให้สถานศึกษา ผ่านทางการขอยกเว้นภาษีจากมูลค่าของหนังสือที่บริจาคได้ถึง 200%

    มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างเช่น มกุฎ อรดี ที่ออกมาให้ความเห็นว่า การบริจาคหนังสือเสรีจะนำมาสู่ความเสียหายของชาติอย่างใหญ่หลวง โดยเน้นไปที่ เป็นช่องทางในการคอรัปชั่น ประโยชน์จากการหักภาษี หนังสือบริจาคที่ด้อยคุณภาพ การครอบงำ-โฆษณาตัวเองของนักการเมืองผ่านหนังสือ มีข้อโต้งแย้งของความเห็นนี้ จากหลายส่วนดูจะฟังขึ้น และเห็นว่ากฎหมายนี้มีดีมากกว่าเสีย ยกตัวอย่าง

    “คุณมกุฎบอกว่าการบริจาคหนังสือเป็นช่องทางหนึ่งของการคอรัปชั่น เช่น ไปซื้อหนังสือราคาถูกๆ แล้วเอามาหักภาษีเต็มๆ กับราคาปกหนังสือ มันก็เป็นธรรมดาของประเทศไทยอยู่แล้วที่จะมีการคอรัปชั่น”

    -ธนาพล อิ๋วสกุล กองบรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน (3)

    อันนี้ฟังขี้นมาก ใช้แย้งกรณีคอรัปชั่น คนไม่ดี ยังไงก็หาช่องให้ตัวเองได้เสมอ อีกทั้งยังมองแง่ร้ายแต่ทางเดียว

    “ปัญหาคือเราเอาอะไรไปวัดว่า ‘ข้อมูล’ หรือ ‘อุดมการณ์ใด’ เป็นอุดมการณ์ที่ ‘ดี’ ที่ ‘ถูก’ และอุดมการณ์หรือข้อมูลใด ‘ผิด’ หรือเป็น ‘อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ’ ? ถ้าเราใช้เหตุผลเช่นนั้นในการ ‘เฝ้าระวัง’ หนังสือ เท่ากับเราก็ยอมรับในแนวคิด ‘พี่ใหญ่’ หรือ ‘คุณพ่อรู้ดี’ เราก็จะไม่มีเหตุผลใดที่จะไปเรียกร้องต่อสู้เวลาที่เขาบล็อกเว็บหรือเซนเซอร์หนัง เพราะนั่นเขาก็อ้างว่าทำเพื่อ ‘ความมั่นคง’ ของชาติ (ประกอบศีลธรรมอันดีด้วย) เช่นกัน”

    และอีกประโยค “เราเคยเชื่อหนังสือบางเล่มอย่างหัวปักหัวปำ แต่พออ่านหนังสืออีกเล่ม มันล้างความคิดของหนังสือเล่มก่อนหน้านั้นไปเลย ไม่มีหนังสือเล่มใดหรอกที่จะครอบงำเราได้ตลอดไป และมันมีหนังสือใหม่ๆ รอมาครอบงำเราตลบหลังได้เรื่อยๆ”

    -นักเขียนหนุ่มผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม (4)

    กรณีที่เกรงว่าหนังสือนี้ควรเฝ้าระวัง กลัวเด็กถูกครอบงำ อธิบายได้เห็นภาพ นอกจากนั้น เขายังเสนอการพิมพ์หนังสือออกมาสองเวอร์ชั่นคือราคาถูก กับราคาแพง โดยใช้คุณภาพของกระดาษที่ต่างกัน เพราะหนังสือยังไงมันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ มีคุณค่าที่ตัวหนังสือไม่ใช่กระดาษ นี้จะเป็นการเพิ่มเสรีให้ผู้อ่านมากขึ้น นักเขียนท่านนี้เขียนได้ถูกใจมาก อยากรู้จังว่าเป็นใคร

    นี้เป็นความเห็นส่วนตัว เมื่อครั้งเราอยู่ชนบทห่างใกล้ ตอนเรียนประถมยังจำได้เลยว่า โรงเรียนเรามีหนังสือในห้องสมุดเพียงไม่กี่เล่ม ตอนมัธยมต้นหนังสือในห้องสมุดถือว่าน้อยมาก ใครยืมไปคนอื่นก็คงไม่ได้อ่าน จนจำกัดการยืมให้แค่ 3 วัน

    หนังสือนอกตำราเรียนเรียกว่าน้อยมาก เคยอ่านหนังสือของ ชัยคุปต์ ชื่อเรื่อง มนุษย์และอวกาศ ตอนนั้นบอกได้เลยว่ามันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้มาก และเราตั้งคำถามว่าอยากอ่านชุดอื่นๆอีกทำไมไม่มี พอได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาในเมือง ที่มีหนังสือเยอะกว่ามากเรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด เราก็ตั้งคำถามอีกว่า ทำไมที่โรงเรียนเก่าเราไม่มีแบบนี้บ้าง นี้ต่างหากที่เรียกว่าเสรีในการอ่าน ไม่มีให้อ่านแล้วจะเรียกเสรีได้อย่างไร ถ้ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนได้บริจาคหนังสือมากขึ้น เราก็เห็นแสงสว่างเล็กๆที่จะเกิดขึ้น จะได้เห็นหนังสือในห้องสมุดนอกเมืองมากขึ้น การบริจาคหนังสือเสรี คือบริจาคเสรีในการอ่านด้วย

    ส่วนเรื่องของหนังสือที่บริจาคจากคนทั่วไปเห็น ถ้าคนที่ตั้งใจจะบริจาคจริงๆ มันคงเยอะกว่าคนที่ตั้งใจหาผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นสังคมมันคงอยู่ไม่ได้มาถึงขนาดนี้หรอก คนเหล่านี้ย่อมต้องคัดเลือกหนังสือที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์ให้ห้องสมุด หรือแม้ว่าจะเป็นหนังสือมือสองถูกๆ แต่หนังสือเล่มนั้นก็เคยเป็นหนังสือมือหนึ่งมาก่อน มีคุณค่าที่ตัวหนังสืออยู่แล้วไม่ใช่กระดาษหรือปก

    จึงขอสนับสนุนกฎหมายนี้ ป่วยการที่เราจะมัวคำนึงแต่ผลเสียที่จะเกิดจากคนไม่ดีในสังคม

    ข้อมูลเพิ่มเติม-voicetv.co.th

    Exit mobile version