เพิ่มพื้นที่ฟรีให้ Dropbox ง่ายๆ อีก 768 MB

Dropbox เป็น Cloud Storageที่ผมใช้งานเยอะที่สุด และพูดได้ว่ามันดีที่สุดสำหรับผม ณ ตอนนี้ (เทียบกับ Sugar Sync, Live Mesh, iDrive) และเรียกใช้งานได้แทบทุก Platform ได้ลองเล่นบน iPhone มันเจ๋งมาก พื้นที่เริ่มต้นแบบฟรีให้มาน้อยไป แต่ก็มีวิธีเพิ่มพื้นที่ฟรีให้ ตอนนี้ผมมีพื้นที่อยู่ 11 GB ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน สำหรับเก็บข้อมูลที่สำคัญ มาดูวิธีเพิ่มพื้นที่ให้ Dropbox

วิธีเพิ่มพื้นที่ฟรีให้ Dropbox มีอยู่ 3 วิธี คือ

  1. การทำแบบฝึกหัดวิธีใช้ให้ครบ เคยเขียนไว้แล้วที่ เพิ่มพื้นที่ให้ Dropbox อีก 250 MB ได้ง่ายๆ
  2. ส่งลิงค์แนะนำ Dropbox ให้เพื่อน โดยอ้างอิงจาก account ของเรา ใครที่สมัครใหม่ อยากให้พื้นที่แก่ผมก็คลิกลิงค์นี้โล้ด https://db.tt/SqyH02t แบบนี้เราได้เพิ่ม 250 MB/ เพื่อนหนึ่งคนที่สมัคร
  3. อันนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เพิ่งรู้ เพิ่มด้วยการแชร์ และติดตาม Dropbox ผ่านทาง Social Network ถ้าทำครบทุกอันจะได้เพิ่มมาอีก 768 MB ทำตามหน้านี้ครับ https://www.dropbox.com/free
Get 768 MB of Free Dropbox Space

via: https://maketecheasier.com

ขอบริการซ่อมจาก Dell แบบ On-site Service

Dell Inspion ที่ผมใช้อยู่ซื้อมายังไม่นานนัก ก็เกิดอาการแจ๊คเสียบสายชาร์ตบนตัวเครื่องด้านหลังมีอาการหลวมๆ เข้าใจว่าเหตุเป็นเพราะตัวผมเอง ที่ชอบวางมันบนท้องแล้วนอนเล่น เวลามองไม่เห็นคีย์บอร์ดก็ยกตัวมันขึ้น ทำให้หัวของแจ๊คที่เสียบค้างอยู่บนเครื่องถูกดันขึ้นลงอยู่บ่อยๆ ตอนแรกแค่ขยับนิดๆ หน่อยๆไฟก็ติด แต่เมื่อวานมันคงหมดความอดทน ถึงขั้นต้องหาอะไรทับไว้ไฟถึงจะเข้า

จึงโทรแจ้งไปที่ศูนย์บริการที่เบอร์ 02-6707200 แล้วฟังและทำตามเสียงตอบรับไปเรื่อยๆ จากนั้นพนักงานก็จะมารับสายเราเอง แจ้ง Tag ของเครื่องให้พนักงานทราบ(อยู่ที่ใต้เครื่อง) จากนั้นก็บอกอาการเสีย เขาอาจให้เราทดสอบอาการเสียเบื้องต้นกับเครื่องเราก่อนด้วย เพื่อวิเคราะห์ปัญหา สุดท้ายแจ้งที่อยู่ของเราไป

ถัดมาอีกวันก็มีพนักงานโทรมาถามสถานที่อีกครั้งและนัดเวลา พี่พนักงานดูเครื่องนิดหน่อยบอกว่าเปลี่ยนอันใหม่เลยนะ ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย (โต๊ะทำงานผมรกมากนะ)

เริ่มถอดเครื่อง

อุปกรณ์ของพี่ช่าง dell มาในเป้ใบเดียว ตอนแรกที่เห็นตกใจ เหมือนไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย

เริ่มแกะคีย์บอร์ด

มีที่รองสีเขียวให้น้อง Dell ด้วย กันเป็นรอย เริ่มแกะคีย์บอร์ด เขามีถาดแม่เหล็กไว้เก็บน๊อต

เริ่มถอดเครื่อง

พี่ช่าง Dell มีเล็บยาวมาก เขาบอกใช้แงะเครื่องง่ายดี เป็นเทคนิคของใครของมัน

ยอจอออก

ยกจอออก ทำงานได้เร็ว ดูรู้เลยมาชำนาญการณ์สูง แป็บเดี๋ยวน้อง Dell เป็นเหมือนขยะอิเล็กทรอนิคดีๆนี้เอง เมื่อมันถูกแยกส่วน

ตัวปัญหาตัวเล็ก แต่อยู่ลึก

ถอดมันออกมาแล้ว เจ้าตัวปัญหา แล้วเอาตัวใหม่เสียบแทนเข้าไปด้วย

นี้ไงเจ้าปัญหา

หัวตัวนี้เองที่ทำให้ชาร์ตไฟไม่เข้า เพราะมันหลวม

ลองเสียบ

พี่ช่างก็ประกอบเครื่องเข้าเรียบร้อย น๊อตเยอะแยะขนาดนั้นถ้าถอดเอง ตอนประกอบเข้าอาจจะมีน๊อตบางตัวที่เหลือเกินมา(ฮา จากประสบการณ์จริง) พี่ช่างให้ทดสอบเครื่อง ผมลองเสียบเข้า-ออก 4-5 รอบ พบว่ามันปกติดีแล้ว แน่นเปี๊ย!

Adapter

เขาคงไม่แน่ใจว่าเป็นปัญหาที่หัว Adapter ด้วยหรือปล่าว ตัดปัญหา เอา Adapter ตัวใหม่แกะกล่องมาเปลี่ยนให้ด้วยเลย เยี่ยม

ใช้เวลาราว 15 นาที ก็เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เซ็นต์เอกสารรับงาน

สรุปว่าบริการประทับใจ ตามคำรำลือ

หนึ่งสัปดาห์กับ iPhone 4

iPhone 4

เล่น iPhone 4 มาได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว เลยขอเขียนอะไรเกี่ยวกับมันหน่อย จะเขียนรวมทั้งตัวเครื่องและ App รวมๆกัน App ที่พูดถึงทั้งหมดเป็นแบบฟรีทุกตัวครับ

  • ไม่ใช่เครื่องของผม พี่สาวใจดีท่านหนึ่งให้มาใช้ฟรีหนึ่งอาทิตย์ แลกกับการ setting และลงโปรแกรมต่างๆ อาจรวมถึงวิธีใช้เบื้องต้นด้วย
  • เมื่อต่อกับ iTunes ครั้งแรกจะมีให้ลงทะเบียนกับ Apple และจะมีอัพเดต Carrier ให้ เครื่องที่ผมเล่นเป็นเครื่องจากศูนย์ AIS ก่อนลงทะเบียน มันจะเคื่อข่ายเป็น TH_GSM เมื่อลงทะเบียนแล้วจะเปลี่ยนเป็น AIS ไม่แน่ใจว่ามัน setting เรื่อง EDGE  ให้ด้วยเลยหรือปล่าวเพราะก่อนลงทะเบียนเล่นไม่ได้
  • สามารถเปิดปิด Edge ได้ ถ้าเปิดทั้ง wifi และ data cellular มันจะเลือกใช้ wifi เป็น 1st priority ถ้ามีสัญญาณทั้งคู่
  • เกี่ยวกับ social network แน่นอนว่า มันมีครบทุกตัว และทำออกมาได้ดี ใช้ได้สะดวก ตัวที่ได้ใช้แล้วประทับใจคือ foursqure, Facebook, TweetDeck
  • App เกี่ยวกับ Cloud เจ๋งมาก ได้แก่ Dropbox, Evernote ทำงานได้ประทับใจมาก
  • ถ่ายโหมดปรกติทำงานเร็ว ถ่ายดับเบิ้ลชอร์ตได้สบาย แต่ถ้าถ่ายภาพแบบ HDR on จะประมวลผลภาพนานพอควร ถ่ายต่อเนื่องไม่ได้ คงไม่เหมาะที่จะตั้งเป็น default ของการถ่ายภาพ และ App อื่นๆ ที่เรียกใช้กล้องภาพ ไม่มี icon HDR ขึ้นมาด้วย เลยคิดว่ามันน่าจะใช้ไม่ได้ใน App อื่น
  • กล้องซูม digital ได้ ตอนที่เราเปิดไปดูรูปที่ถ่ายล่าสุด พอกลับมาหน้าพร้อมถ่ายรูปมันจะกลับไปเป็นซูมเริ่มต้น ซึ่งมันน่าจะค้างไว้ที่ซูมเดิมมากกว่า เหมือนเรายังไม่ได้ปิดลงไป
  • Twitter ตัว official ทำ  push notification ได้ เมื่อมี mention แต่แทรกไฟล์แบบตัวอื่นไม่ได้
  • คีย์บอร์ดตอนแรกใช้ยาก พอใช้ไปสักพักจะรู้ว่ามันพิมพ์ง่าย 3 แถว 4 แถว คิดว่ามันไม่น่าจะต่างกันมาก
  • Touch Screen ของมันแม่นดี วาดรูปได้สบายๆ แม้จอจะเล็กๆ เมื่อเทียบกระดาษที่ใช้วาดรูปเล่น ใช้ DrawCast วาดง่ายสุดแล้ว ฟรีด้วย ดูผลงานได้ที่ design.amphur.in.th
  • เกมไม่ค่อยได้เล่นมากนัก แต่เท่าที่ลองเล่นดู เกมที่สนุกที่สุดของผมคือ Tab Tab Revenge 3, Angry Bird
  • เรื่องแบตเตอรี่ ใช้งานแบบหนักๆได้ราวครึ่งวัน แต่ใช้แบบธรรมดา เล่น Facebook, Twitter, Foursquare,  ถ่ายรูปบ้าง ใช้ตลอดทั้งวันได้สบาย แต่ถ้าเป็นงาน event ต่างๆนอกสถานที่ ใช้ถ่ายรูป tweet ตลอดต้องเตรียมที่ชาร์ตไปด้วย
  • Facetime ใช้ง่าย ถือว่าน่าใช้ สลับกล้องหน้า-หลัง ได้สะดวก และภาพไม่ได้ละเอียด สวยงามอย่างในโฆษณา
  • GPS มันแม่นมากใช้นำทางได้ ใช้ร่วมกับ Google Map วิ่งตามรถสบายๆ และทำให้รู้ว่าสีของจราจรบนแผนที่ เชื่อมันมากไม่ได้
  • รูปร่างข้างนอก ถือไม่ค่อยถนัด มันเป็นเหลี่ยมไม่กระชับมือ เวลาถือต้องล็อคด้านบนเพิ่มอีกนิ้ว
  • มันอ่านไฟล์หนังสือที่เป็น PDF ได้ ซูมแล้วคม มีความละเอียดสูง แต่ใช้อ่านจริงๆคงไม่เหมาะเพราะหน้าจอเล็ก แต่ดูเว็บโอเคเลยเพราะซูมแล้วมันไม่แตก ไฟล์ PDF Magazine ภาพกราฟิคที่เอาเข้าไปใน iPhone มันเยี่ยมมาก ดูเพลินเลยทีเดียว
  • DC comic บน iPhone มันเยี่ยมมาก ได้อารมณ์มากกว่าอ่านบนกระดาษ เพราะเราได้อ่านทีละช่องจริงๆ รับรองไม่สับสนเหมือนอ่านบนกระดาษ
  • iPhone 4 ตลอดการเล่น ใช้เป็นโทรศัพท์นับครั้งได้เลย ส่วนใหญ่เล่น Application มากกว่า
  • สิ่งหนึ่งที่ทำให้ iPhone 4 เป็นมากกว่าโทรศัพท์ และผมชอบมาก คือ iTunes U โหลดมาแล้ว Sync เข้า iPhone เปิดดูตอนไหนก็ได้ เยี่ยมมาก
  • มัน Sync ข้อมูลเร็วมาก หนังเป็น GB มัน Sync เข้าเครื่องแป๊บเดียว หนัง add subtitle ได้ด้วย อันนี้ชอบมาก
  • อีกอย่างที่ชอบคือ cover flow ของ iPod มันทำออกมาดีจริงๆ แนวตั้งเป็นรายชื่อ กลับแนวนอนกลายเป็นปก คลิกปกมีรายชื่อเพลง เจ๋งดี
  • ถ้าต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ ความสามารถลดลงมากกว่าครึ่ง และเครื่องจะค้างๆติดๆ เมื่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตโหลดช้า เป็นอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะกับ EDGE/GPRS คิดว่ามันเข้าได้ดีกับ Wifi และ 3G มากกว่า
  • App เกี่ยวกับ Social รู้สึกว่า ส่วนใหญ่มันโทนสีน้ำเงิน สีฟ้า
  • Multitasking ของ iPhone เป็น Pseudo (เทียม) เป็นการค้างสถานะไว้ไม่ได้รันต่อ แม้แต่ขณะอัพโหลดไไฟล์อยู่มันยังหยุด แต่บาง Application ก็ทำงานอยู่ด้านหลังได้ เท่าที่เห็นมี iPod, Skype และการไล่ปิด app ที่ค้างอยู่เป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก น่าจะมีปุ่มปิดที่ปิดไปเลยในโปรแกรมที่เราไม่ต้องการ freeze ไว้ รู้สึกว่าแบบ jailbreak มีโปรแกรมช่วยอยู่นะ
  • เหมาะที่จะเล่นบนรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT มากกว่ารถเมล์เพราะ รถเมล์ไม่มีการบอกสถานีทำให้ลงผิดป้ายได้ (วัฒนธรรม face down)
  • App บน Store ขยะเยอะมาก บางตัวที่เป็น Lite ทำอะไรไม่ได้เลย สรุปว่าต้องซื้อถึงจะทำงานได้
  • App เกี่ยวกับ Dictionary ไทย-Eng มีให้เลือกเยอะ ผมชอบของ Longdo

เวลาสำหรับบล็อกหนึ่งอาทิตย์ เอาไปเล่น iPhone ซะเกือบหมด โดยรวมเป็น Gadget ที่น่าใช้ แต่ราคามันก็สูงด้วยเช่นกัน ถ้าจะซื้อคงคิดหนัก เพราะผมคิดว่าราคาของมือถือมันน่าจะอยู่ราวหนึ่งหมื่น อายุการใช้งานก็ควร 3 ปีขึ้น iPhone มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนึ่งปีผ่านไป รุ่นก่อนหน้าจะกลายเป็นของตกยุคได้ทันที คิดจะซื้อต้องพิจารณาให้ดี

แกะกล่อง Nokia E5 สีขาว

พาเพื่อนเดินหา Nokia C3 มาสองวัน สุดท้ายก็ไม่ได้ ร้านไหนที่พอมีราคาก็สูงเป็น 5,200-5,400 บาท เลย ราคาศูนย์อยู่ที่ 4,730 บาท บางร้านบอกมีคนลงชื่อจองหลายร้อยคนถ้าของมาก็ต้องส่งให้คนเหล่านี้ก่อน ของเขาแรงจริงๆ อันที่จริงก็ไม่ได้ตามกระแสอต่อย่างใด ต้องให้ได้ในเร็ววัน แต่มือถือเครื่องเก่าของเขามันพัง โทรเข้าออกไม่ได้ สุดท้ายจึงมาลงที่ Nokia E5 อุตสาห์พาไปซื้อ เลยต้องได้สิทธิ์นำมาแกะกล่องดูกันหน่อย เน้นรูปแล้วกัน

กล่องของ Nokia E5

กล่องของ Nokia E5 ส่วนเรื่องของ spec ของเครื่อง ดูได้ตามเว็บทั่วไป ราคา 7,500 บาท ขอบคุณ @papayatop แนะนำร้านให้ เพราะขี้เกียจเดินแล้ว ไปถึงร้านแล้วก็ซื้อเลย

กล่อง Nokia E5

ในเมื่อตั้งชื่อว่าแกะกล่อง เลยต้องเอากล่องมาให้ดูอีกรูป มันมีให้เลือกสองสี คือ ดำกับขาว สีที่เจ้าของเครื่องเขาเลือกคือ สีขาว ผมว่ามันก็โอเคกว่าสีดำนะ เพราะแถบโลหะตรงกลาง ถ้าเป็นสีดำมันดูตัดกันเกินไปไม่ค่อยกลมกลืน สีขาวโอเคกว่า

เปิดกล่องออกมา

เปิดกล่องออกมาก็จะเห็น เจ้า Nokia E5 นอนอยู่ในซองอย่างสงบ

ของในกล่อง

ของในกล่องทั้งหมด ก็มี ตัวเครื่องมือถือ Nokia E5, ที่ชาร์ตแบต ยังเป็นแบบเดิมอยู่ ไม่ใช่USB, แบตเตอรี่ขนาด 1200 mAh, สาย USB (สั้นมาก), หูฟัง 3.5 mm ใช้คุยโทรศัพท์ได้, คู่มือสองเล่ม ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ

ตัวเครื่อง Nokia E5

ตัวเครื่องด้านหน้า ถือได้เหมาะมือดี น้ำหนักก็โอเค วัสดุประกอบได้แน่น คีย์บอร์ดแบบ QWERTY มี back light มีปุ่มใหญ่ๆตรงกลางใช้ควบคุมทิศทาง และกดเลือกสั่ง

ด้านหลัง

ด้านหลังมีฝาปิดเป็นโลหะสะท้อน กล้อง 5 ล้าน พร้อมแฟลช แอบบลองถ่ายดูแล้ว แฟลชสาดได้แรงมาก เครื่องใช้แฟลชเป็นไฟฉายได้ โดยการกดปุ่ม space bar ค้างไว้

Nokia E5 ด้านบน

ด้านบนเรียงจากซ้ายไปขวา ช่อง mini USB, ช่องหูฟัง 3.5 mm, ช่องเสียบสายชาร์ตแบต

Nokia E5 ด้านล่าง

ด้านล่างไม่มีอะไรเลย โล่งทุกอย่าอยู่ข้างบนหมด

ด้านซ้ายของเครื่อง

ด้านซ้ายของเครื่องก็ไม่มีปุ่มอะไร แต่ได้เห็นความหนา

ด้านขวาของเครื่อง Nokia E5

มีปุ่มเพิ่ม-ลด เสียง มันอยู่ลึกไปนิด กดยากฉิบ

มาแกะฝาหลังดูกัน

ยอมรับเลยว่ามันแกะยาก ต้องกดสองปุ่มที่อยู่ข้างเครื่อง แล้วค่อยแงะตรงกลางยกขึ้น ปุ่มเล็กๆมันกดยาก

ช่องใส่ซิม และ microSD

พบช่องใส่ซิม และช่องใส่ Micro SD แถมมาด้วย 2 GB ตามสเปค บอกว่ารองรับได้ 32 GB

ใส่แบตเตอรี่เข้าไป

ใส่แบตเตอรี่ขนาด 1200 mAh เข้าไป สั่งเกตุว่าด้านหลังตรงกล้องมันมีฟีล์มติดอยู่ ตอนแรกไม่ได้เอาออก พอลองถ่ายรูป มันเลยออกมาลายๆ

หน้าหลักของ Nokia E5

เปิดเครื่องครั้งแรกก็มีตั้งค่า ประเทศ นาฬิกา ภาษา แล้วก็จะได้เห็นหน้า Home screen แบบนี้

หน้าหลักของ Nokia E5

ระบบปฎิบัติการใช้ Symbian S60 3rd ธีมเริ่มต้นของเครื่อง ด้านบนเป็น thumnail ของเบอร์โทรด่วน, email, calendar, เมนูลัดเรียกใช้ App 6 ตัว

ซองเป็นซิลิโคนหยาบ

เครื่องนี้ติดฟิล์มกันรอยหน้าจอ และซื้อซองของตัวเครื่องมาด้วย อย่างละ 100 บาท

ด้านหลัง

ขอจบการแกะกล่อง Nokia E5-00 ไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ ส่วนรีวิวโปรแกรมภายในเครื่องนั้น ต้องลองเล่นดูก่อนค่อยมาเขียน สรุปคร่าวๆของตัวเครื่อง จับกระชับมือ มีไฟฉายมาพร้อมไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม(หรือมันเป็นแบบนี้กันหมดแล้ว) ปุ่มเพิ่มลดเสียงกดยาก

NetworkedBlogs มีปัญหาไม่อัพเดตในหน้า Facebook Fan Page

NetworkedBlogs Publishing Issue

เมื่อสองวันก่อน Biomed.in.th มีการอัพข้อมูล 3 อัน แต่ในหน้า Biomed.in.th on Facebook ไม่อัพเดตตาม ซึ่งปกติจะใช้บริการของ NetworkedBlogs เป็นตัวช่วยในการเผยแพร่ในหน้า Fan Page มันไม่อัพเดต ตอนแรกคิดว่ามันมี delay หรือปล่าว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีบ้าง แต่ที่หน้า Facebook ของผมใช้ app นี้เหมือนกัน มันกลับทำงานตามปกติ สุดท้ายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ด้วยการโพสเองในหน้า Fan Page

วันนี้เลยแวะเข้ามาดูในหน้าจัดการ เห็นแถบแดงบอกชัดเจนไว้ว่า มีปัญหาการดึงข้อมูลในหน้า Fan Page ส่วนหน้าส่วนตัวยังใช้งานได้ ตอนนี้กำลังทำการแก้ไขอยู่ ติดตามความคืบหน้าของการแก้ปัญหา ได้ที่ https://support.networkedblogs.com ตอนนี้ก็ใช้วิธีอัพเดตด้วยตัวเองไปก่อน

หาตัวใหม่ใช้ดีไหมนะ

SymbalooEDU เว็บทำ online bookmark แบบปุ่ม

SymbalooEDU

SymbalooEDU เป็นเว็บทำ bookmark แบบเป็นปุ่มร่วมภาพสัญลักษณ์ให้จำง่าย ในหนึ่งหน้ามีปุ่มทั้งหมด 52 อัน แยกหมวดหมู่เป็นกลุ่มๆ ในช่องที่ว่างเพิ่มเองได้ มีฐานข้อมูลของเว็บที่นิยมให้ หรือสร้างใหม่เองก็ได้ เคลื่อนย้ายปุ่มได้ ถ้าเป็นกลุ่มค้นข้อมูล หรือที่ต้องใส่ input จะมีช่องตรงกลางให้ใส่ได้เลย แล้วคลิก search เพื่อดูผลของการค้นหาอีกที เพิ่ม tab มี tab ที่นิยมด้วย หรือจะสร้างหน้าว่างๆได้อีก แชร์หน้าที่เราสร้างได้

สรุปโดยรวม สร้างสรรค์ ออกแบบได้ดี และน่าใช้มาก แต่ขี้เกียจมานั่งสร้างใหม่เพราะเราคุ้นกับ bookmark บน browser มากกว่า bookmark ที่อยู่หน้าเว็บ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร ว่างๆจะลองนั่งเล่นดูอีกครั้ง อาจจะชอบมันขึ้นมาก็ได้ ตรงที่มามีข้อมูลละเอียด หรือจะลองเล่นดูเลยก็ตามสะดวก

ลองไปเล่นดูที่ https://edu.symbaloo.com/

via: https://www.makeuseof.com/

ตอนนี้ใช้ Zune เป็นโปรแกรมฟังเพลงของเครื่องแล้วนะ

ได้ลองใช้โปรแกรม Zune ซึ่งเป็น media player และโปรแกรมเชื่อมกับ Zune เครื่องเล่นเพลงของ Microsoft เป็นเวลา 4 วัน ชอบ Interface ของมันมาก ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นแบบ UI ของ Windows Phone 7 ออกแนวเหลี่ยมๆ ปุ่มใหญ่ มีวิ๊งๆ หวืบๆ สว่าง โล่งๆ

โดยปกติแล้วผมใช้ iTunes เป็นเครื่องเล่นเพลงหลักของเครื่อง เพราะชอบ Cover flow และความง่ายในการเลือกเพลง และการค้นหาเพลง และได้ใช้ iTunes U ในบ้างครั้ง และมันก็เชื่อมกับ Last.fm ด้วย

เมื่อหาโปรแกรมที่เป็น 64 bit มาลอง จึงโหลด Zune มาติดตั้งดูเพราะมีทั้ง 32-64 bit ผมเป็นพวกหลงไหลกับ การออกแบบ ดีไซด์สวยๆ จึงชอบมันต้ังแต่เปิดโปแกรม มาดูหน้าต่างๆของมันดีกว่า

หน้าเล่นเพลงจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ quickplay และ collection ข้างล่างเป็น UI ของ quickplay (คลิกภาพเพื่อดูขนาดใหญ่)

Zune

และหน้า collection ปุ่มควบคุมจะอยู่ขวาล่างในทุกๆหน้าที่เปิด ตรงกลางล่างจะบอกว่าเล่นเพลงอะไรอยู่ สีแดงจะเป็น visualizer เต้นตามจังหวะเพลง

หน้า collection

หน้า Music เลือกแสดงแบบ ARTIST, GENRES, ALBUMS, SONGS, PLAYLIST หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปด้วย การแสดงชื่อเพลงภาษาอังกฤษสวยงาม ภาษาไทยไม่ค่อยสวย แต่ก็ไม่ถึงขั้นรับไม่ได้

เลือกเฉพาะศิลปิน

เมื่อเราเลือกเล่นเพลงเฉพาะศิลปินบางคนก็มีหน้าสวยงามแบบนี้ พื้นหลังเป็นปกของอัลบั๊มที่มีในเครื่อง

Video

หน้า collection ของ Video ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ผมยังคงจะใช้ VLC ดูหนังต่อไป

PICTURE

ส่วนของ Pictures ทำได้ดีโหลดภาพได้เร็ว เชื่อมกับ Windows Live Gallery จะแก้ไขรูป หรือแชร์ได้เลย

picture

ลองเปิดภาพดูแบบเต็มๆ

Podcast

ส่วนของ Podcast เราสามารถ subscript podcast ได้เหมือนกับ iTunes ที่เว็บหลักของ Zune มี Podcast ให้เลือกหลายอัน น่าสนใจเยอะ https://social.zune.net/podcasts/ แต่ตลิก subscript ที่หน้าเว็บไม่ได้นะ บอกว่ายังไม่มีบริการในบ้านเรา แต่วิธีการง่ายๆคือ เข้าไปที่ลิงค์ official website ของมันแล้วค่อยหา RSS ของ Podcast มา Subscript เอง ในรูปผมลอง Subscript มา 4 เว็บ โหลดมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ดู

Setting

หน้า setting เอามาให้ดู เฉพาะตรง Display ใช้ตั้ง background ภาพจางๆของพื้นหลังนั้นเอง

และอันสุดท้ายที่จะพูดถึงคือโปรแกรมเสริมที่จะทำให้ Zune เชื่อมกับ Last.fm มันคือ Zuse โหลดได้ที่นี้ https://bitbucket.org/wiz/zuse/downloads/ เมื่อโหลดมาแล้วให้ติดตั้งลงในโฟล์เดอร์เดียวกับ Zune ก็ใช้ได้แล้ว แต่ต้องมี Last.fm Scrobbler ด้วยนะ

สรุปว่าตอนนี้ใช้ Zune แทน iTunes ไปเลย เหตุผลง่ายๆคือชอบ User Interface ของมัน รอจนกว่าจะเบื่อค่อยว่ากันใหม่ครับ

ปล. ถ้ามี Zune ด้วยสักเครื่องน่าจะดี

บันทึกประสบการณ์การใช้ Windows 7 แบบ 64 bit

Windows 7 64 bit

ผมใช้ Windows 7 แบบ 64 bit ถ้านับวันนี้ด้วยก็ครบ 10 วันพอดี ตั้งแต่ใช้คอมมาไม่เคยลง 64 bit เหตุเพราะคอมที่ใช้ไม่มีเครื่องไหนเลยที่รองรับ 64 bit นี้จึงถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกกับ 64 bit ของผม จึงขอบันทึกไว้หน่อย เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น และตนเองในอนาคต

  • คอมเป็น Core i3 2.53 GHz,Ram 4 GB
  • ใช้ Windows 7 Professional 64 bit License ของ MSDN
  • การติดตั้งไม่ต่างกับ 32 bit
  • Dell มีไดร์เวอร์รองรับทั้งหมด ในเว็บบอกเป็นของ Windows 7 64 bit แต่ตอนลง 32 bit ก็ใช้ตัวเดียวกัน เรื่องไดร์เวอร์ของเครื่องจึงหมดปัญหาไป
  • ที่โฟว์เดอร์เก็บโปรแกรม จะถูกแยกเป็นสองอันคือ Program files กับ Program files (x86) เข้าใจว่าระบบแยกโปรแกรมที่เป็น 64 bit กับ 32 bit มาให้ แต่ตอนติดตั้งโปรแกรมเราก็เลือกติดตั้งที่ไหนก็ได้เหมือนเดิม
  • ผมไม่รู้สึกถึงความเร็วว่าต่างจาก 32 bit อาจจะเพราะโปรแกรมที่ใช้ไม่ได้มีการประมวลหนักๆมากนัก ใช้งานทั่วไป เล่นเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง และโปรแกรมแปลกๆนิดหน่อย
  • โปรแกรมที่เคยลงตอนเป็น 32 bit เกือบทุกตัว ลงใน 64 bitได้สบาย (ย้ำว่าไม่ทุกตัว ดังนั้นเราต้องทดสอบโปรแกรมที่จำเป็นดูก่อนว่าลงใน 64 bit ได้)
  • อันนี้เป็นข้อสังเกต โปรแกรมที่มีเวอร์ชั่น x64 จะติดตั้งเวอร์ชั่น 32 bit ใน Windows 7 64 bit ไม่ได้ ซึ่งความจริงน่าจะทำได้ เช่น iTunes
  • อุปกรณ์บางอย่างในห้องแล็บ ที่เคยใช้ได้ใน Windows 7 32 bit ไม่สามารถติดตั้งไดร์เวอร์ได้ ผมแก้ไขโดยการใช้ Windows XP Mode พบว่าทำงานได้ดี
  • เครื่องปรินซ์ ในห้องทำงานสั่งแชร์เครื่องปรินซ์ผ่าน Lan ไว้สองตัว เครื่องที่เป็นยี่ห้อ HP ใช้งานได้ แต่ยี่ห้อ Cannon ใช้ไม่ได้ เครื่อง Host เป็น XP mทั้งสองเครื่อง แต่ตอนใช้ Windows 7 32 bit ใช้ได้ทั้งคู่
  • เมื่อเปิด task manager ดูโปรแกรมที่รันอยู่ โปรแกรมไหนเป็น 32 bit จะมี *32 ต่อท้ายให้รกตา พบว่าเครื่องนี้โปรแกรมแบบ 64 bit ยังน้อย

เมื่อครั้งมีปัญหาการติดตั้งไดร์เวอร์ให้ไมโครคอนโทรเลอร์ตัวหนึ่ง ค้นไปเจอกระทู้ของฝรั่งคนหนึ่ง เขาตั้งกระทู้ว่า พบปัญหาการลงไดร์เวอร์ให้อุปกรณ์ใน Windows 7 64 bit(ปัญหาเดียวกับผม) ก่อนหน้านี้ใช้ได้ดีใน XP มีบางคนเข้ามาตอบว่า “ปัญหานี้แก้ง่าย ก็กลับไปใช้ Windows XP ก็สิ้นเรื่อง” ผมชอบการตอบของเจ้ากระทู้ที่บอกว่า “เมื่อเจอปัญหา ไม่แก้ แต่กลับบอกให้ถอยหลังไปใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลัง(Win XP) แล้วเมื่อไหร่เราจะก้าวไปข้างหน้าได้”

โดยรวมก็เจอทั้งปัญหาและทางออก แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกขั้นของการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ถ้าเราไม่ใช้ก็ยาก ที่จะมีการพัฒนาต่อไป

WinDroplr แชร์ภาพ ข้อความ โค้ด ลิงค์ ไฟล์ ได้ง่ายๆ

Windroplr

เคยแนะนำ FluffyApp อัพโหลดรูป,ไฟล์ หรือ ย่อ URL ง่ายจริงๆ แต่ข้อจำกัดของแบบฟรีก็คือ เก็บไฟล์ไว้แค่ 3 เดือน ไม่ดีเลย ที่จริงก็เพิ่งอ่านรายละเอียดเจอ วันนี้ไปเจออีกตัวที่ทำงานเหมือนกัน และมีฟีเจอร์ดีกว่าอีกต่างหาก มันคือ WinDroplr

  • แชร์ไฟล์ โค้ด ภาพ ลิงค์
  • screenshot แบบ select พื้นที่
  • ใช้ account ของ Twitter ในการ login
  • ให้พื้นที่ฟรี 1 GB
  • ใช้ keyboard shortcut ได้ด้วย

ตอนนี้เลยเลิกใช้ FluffyApp ไปเลย

ดาวน์โหลด WinDroplr

ดูวีดีโอจะเข้าใจว่ามันทำอะไรได้บ้าง และใช้งานอย่างไร

ที่มา: https://techie-buzz.com/softwares/windroplr-for-easy-sharing.html

Exit mobile version