AMP ช่วยให้ผู้ใช้มาจากมือถือแซงเดสก์ท็อปแล้ว

อะไรคือ AMP? เกี่ยวข้องยังไงกับบล็อกนี้?

เรื่องเล่าวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับบล็อกของตัวเองที่เขียนๆ หยุด ๆ มานานพอสมควร ถ้านับเวลาน่าจะเกิน 10 ปีได้แล้ว โพสแรก ตัวบล็อกมันอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองโดยมีค่าโฆษณาจาก Google Ads ที่ติดไว้คอยเลี้ยงดู ไม่ได้เยอะ แต่เพียงพอที่จะจ่ายค่าโฮสและค่าโดเมนรายปีได้ ทั้ง ๆ ที่บางปีเขียนเรื่องใหม่ไปแค่ 1-2 เรื่องเท่านั้น ต้องขอบคุณคนคลิกเข้ามาดู ที่สำคัญตลอดเวลาที่ผ่านมารายได้มาจากผู้ใช้งานเดสก์ท็อปเป็นหลัก


ในยุคปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ไปอยู่ในแพลตฟอร์มโซลเชียลกันหมดแล้ว แต่แนวบล็อกหรือเว็บไซต์ก็ยังให้ความรู้สึกว่าชอบมากกว่า นั่งกดอ่าน feed ผ่าน RSS ก็ยังเป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม คิดว่ายังคงต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ

เข้าเรื่องหลักเลยแล้วกัน เมื่อราวสองเดือนก่อนตอนที่เข้าไปดูรายงานของ Google Adsense มีข้อความแนะนำจากระบบประมาณว่า
เฮ้ย…ไม่ปรับปรุงเว็บของแกให้แสดงผลให้เป็นมิตรกับคนใช้มือถือหน่อยหรอ คนใช้เยอะนะ
เอารายละเอียดของ AMP (Accelerated Mobile Pages )ไปอ่าน แล้วลองทำดูซ่ะนะ เลยลองทำตามคำแนะนำ

ซึ่งโดยปรกติแล้วอะไรที่เขานิยม ใน WordPress ก็จะมีปลั๊กอินรองรับอยู่แล้ว
จากนั้นแค่เข้าไปโหลด ปลั๊กอิน มาติดตั้ง คลิก 2-3 ที ก็เสร็จ
ง่ายเช่นกันในการเอา Google Ads ฝั่งลงไปในระบบ เข้าไปด้วย

สิ่งที่ได้หลังจากนั้นในช่วงที่ผ่านมา รายได้ใน Google Ads ผ่านมือถือแซงรายได้จากเดสก์ท็อปไปแล้ว ความจริงแล้วพอลองเข้าไปดูใน Google Analytic ดี ๆ จะพบว่าอุปกรณ์ที่เข้ามาในบล็อกนี้ก็เป็นโทรศัพท์มือถือระดับไฮเอนด์อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดสก์ท็อปมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่เพิ่งจะมาแซงตอนปรับให้มีเพจสำหรับมือถือ

ดังนั้นในเดือนนี้ต้องขอบันทึกไว้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 10 กว่าปี ตอนนี้รายได้จากคนใช้มือถือได้แซงฝั่งเดสก์ท็อปไปแล้ว คนอื่นอาจปรับตัวไปนานแล้ว แต่พวกไม่สนใจอะไรเพิ่งจะปรับตัวตาม (หมายถึงตัวเอง) เลยเพิ่งจะเห็นผล

แหล่งรายได้ของบล็อกนี้ จากโทรศัพท์มือถือมากกว่าเดสก์ท็อปแล้วในช่วงที่ผ่านมา

แต่ถ้าไปดูรายงานของทั่วโลกมือถือแซงเดสก์ท็อปไปตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ลิงค์ข่าว

ปล. ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่าในอุตสาหกรรมเกม มือถือก็กำลังจะแซงเกมบนเดสก์ท็อปแล้วเช่นกัน

“ย้ำอีกที มือถือคืออุปกรณ์หลักของคนใช้อินเทอร์เน็ตนานแล้ว” ปรับตัวซะ

Zombie Makers: เรื่องราวของ “หนอนควบคุมมนุษย์”

เรื่องราวของซอมบี้ในธรรมชาติจากหนังสือเรื่อง Zombie Makers อีกเรื่อง ที่หยิบมาเล่าให้ฟัง คือ “หนอนควบคุมมนุษย์” เรื่องก่อนหน้าเป็นเรื่องของ ซอมบี้หอยทาก

ตัวละครหลักมี 3 ตัว
ผู้ร้าย: หนอนพยาธิ guinea worm หรือ Dracunculus medinensis
ผู้เคราะห์ร้าย: มนุษย์ Homo Sapiens
ผู้สมรู้ร่วมคิด: โคพีพอด copepods (คล้ายตัวอ่อนกุ้ง, แพลงค์ตอน เป็นต้น)
สถานที่เกิดเหตุ: แอฟริกา

ตัวโคพีพอดที่ติดเชื้อหนอนพยาธิ

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ดื่มน้ำที่มีตัวโคพีพอดที่ติดเชื้อมีตัวอ่อนของหนอนพยาธิ D. medinensis เข้าไป หลังจากนั้นโคพีพอดจะตายและปล่อยตัวอ่อนของหนอนพยาธิออกมา ในท้องของคน หนอนพยาธิจะเจาะเข้าไปในกระเพาะอาหารและผนังลำไส้ของของคนและเข้าไปในช่องท้อง พอตัวหนอนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยจะผสมพันธุ์กัน แล้วหนอนตัวผู้จะตายไป ส่วนตัวเมียซึ่งอาจยาวได้ถึง 1.2 เมตร จะมุดตัวซอนไซไปอยู่ในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณขา

ตัวหนอนพยาธิที่ถูกดึงตัวออกมาจากแผล

สิ่งน่าสยดสยองคือตัวหนอนพยาธิสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนที่ติดเชื้อให้ช่วยทำให้วงจรการขยายพันธุ์ของมันสมบูรณ์ นั้นคือเมื่อหนอนพร้อมที่จะวางไข่มันจะปล่อยสารเคมีบางตัวออกมา ทำให้เกิดตุ่มขนาดใหญ่บนผิวหนัง ไม่นานแผลพุพองก็แตกออกทำให้เจ็บแสบอย่างมาก ปลายหัวของหนอนจะมองเห็นได้ตรงที่กลางแผล แต่ก่อนที่ตัวหนอนจะออกมามีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อน…

อาการเจ็บแสบที่ผิวหนังสามารถบรรเทาด้วยการเอาลงไปแช่น้ำ ผู้ติดเชื้อจึงพยายามหาแหล่งน้ำเพื่อนำขาลงไปแช่น้ำ (กลายเป็นซอมบี้เดินหาแหล่งน้ำ) เมื่อผู้ป่วยเอาขาแช่ลงน้ำหนอนตัวเมียก็จะรู้ว่าได้เวลาโผล่ออกมาแล้ว มันจะปล่อยตัวอ่อนลงแหล่งน้ำ ตัวอ่อนจะถูกตัวโคพีพอดกินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พัฒนาเป็นตัวอ่อน รอให้เหยื่อคนต่อไปกลืนกินมันเข้าไปอีกครั้ง เป็นอันครบวงจรชีวิตโดยสมบูรณ์ สยอง…

สิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่านั้น คือไม่มีวัคซีนหรือยารักษา การรักษาทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวที่ทำได้คือพยายามดึงหนอนออกอย่างช้า ๆ และระมัดระวัง โดยจับตัวหนอนพันรอบแท่งไม้เล็ก ๆ ค่อยดึงตัวมันออกมาทีละน้อย ๆ ทุก ๆ วัน (ดูภาพและวิดีโอประกอบ) การเอาตัวหนอนออกทั้งตัวอาจใช้เวลาหลายวันบางครั้งเป็นสัปดาห์ สิ่งที่ต้องระวังคือห้ามให้ตัวมันขาดโดยเด็ดขาด หากหนอนขาดเป็นชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่ภายในอาจทำให้ติดเชื้อ ส่งผลให้พิการหรืออาจเสียชีวิตได้ สยอง…

แต่การป้องกันทำได้ง่ายมากๆ เพียงดื่มน้ำที่ผ่านการกรองด้วยผ้าบางธรรมดาก็ปลอดภัยแล้ว ในปัจจุบันเป็นที่น่ายินดีมาก หลังจาการต่อสู้และรณรงค์ให้ความรู้กันอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 80s ที่มีรายงานการติดเชื้อมากกว่า 3.5 ล้านรายในแอฟริกา แต่ในรายงานล่าสุดในปี 2018 มีรายงานการติดเชื้อเพียง 8-10 รายเท่านั้น เรียกได้ว่าตอนนี้เรากำลังนับถอยหลังโลกที่ปราศจากไอ้โรคหนอนซอมบี้นี้แล้ว (โล่งอกไปที)

จากหนังสือเรื่อง Zombie makers: true stories of nature’s undead / by Rebecca L. Johnson.

วิดีโอการต่อสู้กับหนอนพยาธิในแอฟริกา

อ้างอิง
https://youtu.be/8nOuAUfXjzQ?t=116
https://www.who.int/dracunculiasis/disease/en/
https://www.cdc.gov/parasites/guineaworm/biology.html

Zombie makers: ซอมบี้หอยทาก ยอมฆ่าตัวตาย

เรื่องราวของซอมบี้หอยทาก (snail zombie) เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของซอมบี้ในธรรมชาติจากหนังสือเรื่อง Zombie Maker มีหลายเรื่องที่น่าสยดสยองอยู่ในนั้น เช่น แมลงที่ติดพยาธิบางชนิดแล้วถูกควบคุมให้ฆ่าตัวตายด้วยการจมน้ำ หนูที่ติดเชื้อบางชนิดถูกตัดสัญชาติญาณในการกลัวแมวออกไป แล้วเดินไปให้แมวกินเฉยๆเสียอย่างงั้น เป็นต้น แต่เรื่องที่ดูน่าสนใจและอยากหยิบมาเล่าให้ฟังคือ “ซอมบี้หอยทาก”

ตัวละครหลักมี 3 ตัวละคร
ผู้ร้าย: หนอนพยาธิ ชื่อวิทยาศาสตร์ Leucochloridium paradoxum
ผู้เคราะห์ร้าย: หอยทาก ชื่อวิทยาศาสตร์ Succinea putris
ผู้สมรู้ร่วมคิด: นก
สถานที่เกิดเหตุ: ยุโรป และเอเชียเหนือ

เรื่องราวเกิดขึ้น เมื่อทากเผลอกินไข่พยาธิเข้าไป ไข่จะฝักตัวและโตในร่างกายของหอยทาก เมื่อโตถึงระดับหนึ่ง หนอนพยาธิมันจะไต่เข้ามาอยู่บริเวณตาของตัวทาก (ดูรูป) มันไม่อยู่นิ่งขยับตัวเหมือนปั๊มน้ำ (ดูในวิดีโอสยองมากๆ) สิ่งที่มันทำนอกจากนั้นคือ มันควบคุมสมองของหอยทากให้มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดจากหอยทากตัวอื่นๆทั่วไป คือ ทำให้มันไต่ขึ้นที่สูงโล่ง เพื่อล่อให้นกเห็นได้ง่ายขึ้น ประหนึ่งว่าเรียกร้องให้นกมากิน (ฆ่าตัวตายชัดๆ) แล้วเมื่อนกกินหอยทากพร้อมหนอนเข้าไป สภาวะต่างๆในลำใส้ของนกเหมาะสำหรับวางไข่ของหนอนตัวนี้อย่างมาก หนอนวางไข่ จากนั้นนกจะขี้ที่ปนไข่ของหนอนพยาธิออกมา แล้วทากตัวอื่นที่ไต่ไปมาบริเวณนั้นกินขี้นกเข้าไป วงจรก็จะครบสมบูรณ์อีกครั้ง

เป็นธรรมชาติที่น่าขนลุกอย่างมาก มีเรื่องที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องตามไปอ่านได้ที่หนังสือเรื่อง Zombie makers: true stories of nature’s undead / by Rebecca L. Johnson.

หนอนพยาธิที่อยู่ส่วนตาของหอยทาก
วิดีโอเล่าเรื่องซอมบี้หอยทากจาก National Geographic

รีวิวหนังสือ Born a Crime by Trevor Noah

Born a Crime by Trevor Noah
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากๆ ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2016 แล้ว(ทำไมเพิ่งได้อ่านนะ?) และมีข่าวว่ากำลังพัฒนาเป็นหนังอยู่ด้วย น่าสนใจทีเดียว

Born a Crime by Trevor Noah

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ เรื่องราวของการเกิดมาจากพ่อที่เป็นคนขาว(สวิสซ์)และมีแม่เป็นคนดำ(แอฟริกัน)ถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย ณ เวลานั้น (ยุค 80s) เรียกได้ว่ามีความผิดตั้งแต่เกิด

ในขณะนั้นแอฟริกาใต้มีกฎหมายที่ห้ามไม่ให้คนดำกับคนขาวมีความสัมพันธ์กัน ไม่สามารถแม้แต่จะอาศัยอยู่ในเขตเดียวกันได้ การมีความสัมพันธ์กันเชิงชู้สาวระหว่างเผ่าพันธ์ถือว่าผิดกฏหมาย หากถูกจับได้ มีโทษรุนแรงทั้งคู่ โทษคือจำคุก 4-5 ปี ทั้งคนขาวและคนดำ การมีลูกจึงเป็นเรื่องที่มีความผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลูกที่เกิดมาอาจจะไม่ได้การรับรองด้วยซ้ำ

เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตวัยเด็กของ Travor ที่ต้องหลบๆซ้อนๆ และยากลำบากในการเข้าสังคมของการเป็นลูกครึ่ง ที่ไม่สามารถเข้ากับคนดำไม่ได้เพราะขาวเกิดไป แต่ก็ดำเกินไปที่จะเข้ากับคนขาว

ที่หนังสืออ่านสนุกมากๆเพราะ Travor มีชั้นเชิงในการเล่าเหมือนกับยก Stan up comedy ที่เป็นความสามารถที่เก่งกาจของเขามาไว้ในหนังสือยังไงยังงั้น มีเรื่องเปิด ตบมุก หักมุม ฮา และปนเศร้า หดหู่ ควบคู่กันไป ทำให้อ่านเพลินมากๆ (มีคนบอกว่าถ้าฟังแบบ Audio book ที่เขาอ่านเองจะยิ่งสนุกขึ้นอีกมาก)

อ่านเถอะเล่มนี้สนุกจริงๆ 5/5

อ่าน ebook และ audiobook ฟรีออนไลน์ มากกว่า 4,000 เรื่อง

มีวิธีที่เราจะสามารถอ่าน ebook และ audiobook ได้ฟรี แบบถูกลิขสิทธิ์มาแนะนำครับ ตัวผมได้ใช้งานมาได้ราวเดือนกว่าๆ พบว่ามันดีมาก เพิ่มความสะดวกสบาย และเพิ่ม productivity ในการอ่านได้อย่างมาก เอาจริงๆ ไม่อยากแชร์ให้คนอื่นรู้ด้วยซ้ำ อยากแอบใช้งานอยู่แค่กลุ่มเล็กๆ (กลัวถูกแย่งใช้) แต่คิดไปคิดมา ยังเชื่อในสังคมแบ่งปัน เพราะมันดีจริงๆ อยากให้คนอื่นได้ลองใช้ดู เผื่อว่ามันจะขยายในวงกว้างขึ้นและเพิ่มปริมาณหนังสือและจำนวน copy ได้มากขึ้นตามความนิยม

เกริ่นมาเสียยืดยาว วิธีการที่ว่าคือ การเชื่อม application e-reader ในมือถือ หรือเทบเล็ตของเรากับห้องสมุดออนไลน์ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ จากนั้นก็ยืม จอง หนังสือได้ในแบบเดียวกันกับที่เราไปใช้งานห้องสมุดสาธารณะทั่วไป ซึ่งต่างประเทศจะมีห้องสมุดที่สามารถเชื่อมเข้ากับระบบได้เยอะมาก มีเกือบจะทุกเมืองที่สามารถทำได้ โชคดีมากๆที่ในไทยก็มีห้องสมุดออนไลน์แห่งหนึ่งนั้นคือ TK Park ที่สามารถเชื่อมกับระบบได้ และฟรีค่าสมาชิกอีกด้วย

Libby free ebook and audiobook online

หวังว่าห้องสมุดของไทยที่อื่นๆเช่น ห้องสมุดสาธารณะ หรือ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะเพิ่มเข้ามาในระบบได้ในอนาคต อีกอย่างต้องยอมรับว่าระบบอ่าน ebook ของไทยค่อนข้างแย่ และหนังสือที่อ่านได้ก็จำกัดมากๆ การใช้ระบบนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเพิ่มโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงและอ่านหนังสือได้มากขึ้น

ขั้นตอนการใช้งาน

  1. ให้ไปสมัครสมาชิกห้องสมุดออนไลน์ของ TK park สมัครได้ฟรี ไว้ก่อนเพราะจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอนการเชื่อมต่อกับระบบ
  2. ดาวน์โหลด application ที่ชื่อ Libby มาติดตั้งให้เรียบร้อย มีทั้งฝั่ง Apple และ Google
  3. เข้าไปเพิ่ม สมาชิกห้องสมุด ใน Add A Library ในแอพโดยใช้รายละเอียดของ TK park ที่เราสมัครไว้แล้วตามข้อ 1
  4. เลือกหนังสือที่อยากอ่าน ที่มีมากกว่า 4,000 รายการ มีหนังสือทั้งเก่าใหม่ มีทั้งแบบหนังสือ เสียง และภาพ ยืมได้ไม่เกิน 4 เล่ม (ถ้าเกินโควต้าก็คืนเล่มที่ยืมก่อนแล้วค่อยยืมเล่มใหม่) ยืมได้เล่มละ 2 สัปดาห์ จองคิวได้ 2 เล่ม

ขอให้สนุกกับการอ่านหนังสือออนไลน์ ที่สำคัญใหม่ เยอะและฟรีด้วย

ตัวอย่างหนังสือที่สามารถยืมอ่านได้
หนังสือมีให้เลือกหลากหลายแนว

สนใจบทความเกี่ยวกับหนังสือตามอ่านได้ที่หัวข้อ หนังสือ ได้ครับ

V for Vendetta introduce himself with amazing dialogue

V for Vendetta

Last weekend, I read the masterpiece of Alan Moore, “V for Vendetta” again, then watched the same name’s film adaptation. And I realized how cool it was that V introduced himself to Evey in the film, not even seen this dialogue in the graphic novel version in the epic scene. (however, in the graphic novel preset all chapter title with V words)

I would say this is one of the best presents of the character in the film I’ve seen. In that scene, V answered the question that Evey asked him who he is. He responded to the question with many of the V words. How’s fantastic it was. Let you see and count them by yourself.

“On this most auspicious of nights permit me then, in lieu of the more commonplace sobriquet to suggest the character of this dramatis persona.

Voilà!

In view, a humble vaudevillian veteran cast vicariously as both victim and villain by the vicissitudes of fate.

This visage, no mere veneer of vanity is a vestige of the vox populi, now vacant, vanished.

However, this valorous visitation of a bygone vexation stands vivified and has vowed to vanquish these venal and virulent vermin vanguarding vice and vouchsafing the violently vicious and voracious violation of volition.

The only verdict is vengeance, a vendetta held as a votive not in vain, for the value and veracity of such shall one day vindicate the vigilant and the virtuous.

Verily, this vichyssoise of verbiage veers most verbose. So let me simply add that it’s my very good honor to meet you and you may call me V.”

V for Vendetta film by Warner bros.

เกร็ดน่าสนใจจาก Jack Reacher: Killing floor

เกร็ดน่าสนใจจาก
Jack Reacher: Killing floor

Jack Reacher Vol. 1: Killing Floor

The traditional motto of the United States is “E Pluribus Unum” (Latin for “one from many”)

แบงค์ดอลล่าร์มีขนาดเท่ากันทุกมูลค่า เช่น แบงค์ 1 ดอลล่าร์ ขนาดก็เท่ากับ 50 หรือ 100 ดอลล่าร์, แบบพิมพ์ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง

ปริมาณเงินสดดอลล่าร์หมุนเวียนในระบบภายนอกประเทศมากกว่าในประเทศหลายเท่าตัว

ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐเคยมีการใช้เงินปลอมโจมตีเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมาย (ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนต้องหาข้อมูลเพิ่ม)

คนที่ถูกฝากขังในเรือนจำ จะถูกปฎิบัติแตกต่างจากคนที่ถูกตัดสินโทษแล้ว จะให้ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมไม่ต้องเปลี่ยนชุดเหมือนนักโทษ ไม่มีตัดผม ถูกจัดให้อยู่โซน(ชั้น)ห้องที่แยกออกมาจากนักโทษอื่นๆอย่างชัดเจนไม่ปะปนกัน (ระเบียบปฎิบัติต่างจากไทยมาก)

การต่อสู้กรณีไม่มีอาวุธ กระดูกตรงหน้าผากคือส่วนที่หนาและแข็งแรงที่สุด ถ้าต้องล้มคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่า ใช้หน้าผากโขกเข้าตรงจมูกศัตรูสุดแรงเกิด แบบไม่ให้ได้ตั้งตัว อีกฝั่งจะได้รับบาดเจ็บกระทบถึงสมอง การใช้กำปั้นทำให้นิ้วมือหักได้

Biological races in Human หรือ Human subspecies ถือเป็น pseudoscientific

มนุษย์เผ่าพันธุ์คอเคเซียน ได้แก่ คนยุโรป ผิวขาว …มองโกเลียน เผ่าพันธุ๋คนจีน …อะไรพวกนี้ เคยเรียนและท่องเพื่อไปสอบกันไหม? ปัจจุบันยังเรียนอยู่ไหมนะ?

Portrait of Blumenbach BMJ. 2007 Dec 22; 335(7633): 1308–1309.

ลุงผู้เป็นต้นคิด คือ Johann Friedrich Blumenbach หมอชาวเยอรมัน (1752-1840) ให้กำเนิดแนวคิดการจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
โดยใช้หลักสำคัญ คือ ถิ่นฐานและลักษณะร่างกาย(สีผิว สีผม ลักษณะกระโหลกศีรษะ) ซึ่งเขาแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

  • คอเคเซียน
  • มองโกเลียน
  • เอธิโอเปียน
  • อเมริกัน
  • และมาเลย์
ภาพกระโหลกของเผ่าพันธุ์ต่างๆโดย Blumenbach: Blumenbach’s Racial Geometry: Isis, 1998,89:498-50

เป็นการพยายามจำแนกที่มีคติและมีความผิดพลาดหลายอย่าง อ่านบทความรายละเอียดเกี่ยวกับความผิดพลาดนี้ได้จาก: The beautiful skull and Blumenbach’s errors: the birth of the scientific concept of race https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2151154/

การแยกมนุษย์ดัวยวัฒธรรม สังคม พอจะทำได้ แต่ในปัจจุบัน Biological races in Human หรือ Human subspecies การจำแนกเผ่าพันธุ์มนุษย์ตามหลักชีววิทยานั้นทำไม่ได้ และถือเป็น pseudoscientific ถ้ายังมีในตำราเรียนก็ควรถอดออก

เพิ่มเติม Biological Races in Humans https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3737365/

via: How to Argue With a Racist: What Our Genes Do (and Don’t) Say About Human Difference by Adam Rutherford

Cheddar Man บรรพบุรุษของชาวยุโรปเป็นคนดำ

The model of Cheddar Man rendered by Kennis & Kennis Reconstructions features in the Channel 4 television documentary The First Brit: Secrets of the 10,000 Year Old Man © Tom Barnes/Channel 4

Cheddar Man บรรพบุรุษของชาวยุโรป(มียีนร่วมราว 10%) มีชีวิตอยู่ราว 10.000 ปีก่อน เจอที่เกาะอังกฤษ นักวิจัยสกัด DNA จากกระดูกของเขา และวิเคราะห์พบว่า มีความเป็นไปได้ที่ เขาจะมีสีตาซีด สีฟ้าหรือเขียว มีผมสีน้ำตาลเข้ม และมีสีผิวดำใกล้เคียงกับคนแอฟริกาตอนใต้ งานวิจัยสนับสนุนทฤษฏีการอพยพของซาเปี้ยนที่เกิดตั้งแต่สีผิวยังไม่ได้ซีด
มีการสร้างแบบจำลองหน้าตา สีผิวของ Cheddar Man จากข้อมูลต่างๆประกอบกัน ออกมาเป็นดังภาพประกอบ

งานวิจัยนี้ สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มเหยียดผิวอย่างมาก (จะมาว่าฉันเป็นพวกเดียวกันกับคนดำไม่ได้ ไม่ยอม ไม่ยอม)

via: How to Argue With a Racist: What Our Genes Do (and Don’t) Say About Human Difference by Adam Rutherford

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.nhm.ac.uk/discover/cheddar-man-mesolithic-britain-blue-eyed-boy.html

Google Photos จะไม่ฟรีแล้ว ทำยังไงดี?

จากกรณีที่ Google Photo จะเลิกให้ backup ภาพฟรีแล้ว ตามนโยบายใหม่ ที่จะเริ่มใช้งานในกลางปีหน้า https://blog.google/products/photos/storage-changes/

ความจริงแล้วรูปที่จะอัพโหลดขึ้น Google Photos ได้ฟรีนั้นจะต้องเป็นภาพที่ขนาดไม่เกิน 16 MP ถ้าเกินกว่านั้นก็จะนับรวมกับ Google Storage ที่เรามี ถึงจะอัพโหลดภาพที่ใหญ่กว่านั้นขึ้นไป ก็ยังมี tool ที่สามารถย่อให้กลับให้มาอยู่ในขนาดที่กำหนดได้ แต่หลังจาก 1 มิถุนายน 2021 ปีหน้า บริการที่ว่านี้จะหมดลง ทำให้รูปที่อัพโหลดขึ้นไปหลังจากนั้นจะถูกคิดพื้นที่ทั้งหมด และจะให้พื้นที่ฟรีเริ่มต้น 15 GB

Google Photos จะไม่สามารถ backup ภาพได้ฟรีแล้ว


ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองโดยตรงคือ Google Photos ที่ใช้อยู่ปัจจุบันถูกใช้เป็นคลังเก็บรูปทั้งหมด แม้ว่ารูปที่อยู่ในคลัง ณ ตอนนี้จะยังอยู่ อันนี้ถือว่าโอเคมากๆ แต่ต้องมาคิดว่าในอนาคตจะทำยังไงต่อไป

จำนวนภาพที่เก็บไว้ใน Google Photos

ต้องคำนวณดูก่อนว่าที่ผ่านมาตลอด 5 ปีใช้พื้นที่ในการเก็บรูปไปประมาณเท่าไหร่ จะได้คำนวณพื้นที่เก็บในอนาคต ได้ถูกต้อง ณ ปัจจุบันคำนวณโดยคร่าวๆ จากปริมาณรูปและขนาด พบว่าใช้พื้นที่เก็บรูปไปประมาณ 380 GB โดยเฉลี่ยภาพ 3 ปีหลังจะต้องใช้พื้นที่ในการเก็บเพิ่มขึ้นประมาณ 100 GB ต่อปี

พอได้ความต้องการโดยคร่าวๆแล้วมาดูว่าจะจัดการกับภาพในอนาคตอย่างไรดี

ตัวเลือกที่ 1 ซื้อพื้นที่เพิ่มจาก google ซึ่งจะใช้รวมกับ Gmail, Drive, Photos ราคาดังนี้
-100 GB ราคา 70 บาทต่อเดือน (700 บาทต่อปี)
-200 GB ราคา 99 บาทต่อเดือน (990 บาทต่อปี)
-2 TB ราคา 350 บาทต่อเดือน (3500 บาทต่อปี)
ถ้าจะซื้อเป็นรายปีก็จ่ายในราคา 10 เดือน
ถ้าเลือกตัวเลือกนี้ ตัวเลือก 100 GB น่าจะพอในปีแรก แล้วค่อยอัพเกรดในปีต่อๆไป

ตัวเลือกที่ 2 ตอนนี้เป็นสมาชิก Amazon Prime ยังใช้งานได้
สามารถใช้พื้นที่ได้แบบไม่จำกัด โดยจ่ายค่าสมาชิกรายปี 69 Euro (2,500 บาท) ตอนนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่เก็บภาพไฟล์ RAW เป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะย้ายการเก็บภาพทั้งหมดมาไว้ที่นี้ แต่ความสะดวกก็จะลดลงนิดหน่อย เมื่อเทียบ Google photos
และอีกอย่างการเป็นสมาชิก Amazon Prime แต่ไม่ได้ใช้สิทธิการส่งของฟรี รู้สึกเหมือนว่าความคุ้มค่าจะลดลง ถึงจะยังได้ Free Video, E-book, Photos อยู่ก็ตาม

สรุป จ่าย 700 บาทต่อปีสำหรับ 100GB และยกเลิก Amazon Prime น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งๆที่เงินก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่พอต้องจ่ายในสิ่งที่ไม่เคยจ่ายดันรู้สึกแพงขึ้นมาซะงั้น แต่รอดูสถาการณ์เมื่อใกล้ถึงกำหนดอีกว่า จะเปลี่ยนใจหรือไม่

ปล. ใครมีบริการอื่นๆ อยากแนะนำ บอกกันมาได้นะครับ

Exit mobile version