[CeBIT2017] Lyric speaker ลำโพงพร้อมจอแสดงเนื้อร้อง

สัปดาห์ที่แล้วได้ไปเที่ยวงาน CeBIT 2017 (Centrum für Büroautomation, Informationstechnologie und Telekommunikation, (English)Center for Office Automation, Information Technology and Telecommunication) เป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี ปีนี้มีญีปุ่นเป็นพาร์ทเนอร์ในการจัดงาน

งานจัดที่ Hannover ปีที่แล้วก็ไปมา แต่ไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย

ปีนี้มีหลายส่วนที่น่าสนใจ ก็เลยอยากเอามาแชร์ จะค่อยๆทยอยเอามาลง

ตัวแรกที่เห็นแล้ว น่าสนใจและอยากได้มาก สำหรับใครที่ชอบฟังเพลงแบบรู้เนื้อร้อง ประหนึ่งว่ากำลังดูคาราโอเกะแล้วต้องชอบลำโพงตัวนี้แน่ๆ ลำโพงตัวนี้ คือ Lyric speaker ลำโพงระดับ HiRes ที่มาพร้อมจอโปร่งแสง แสดงเนื้อเพลงของเพลงที่กำลังเล่น

Lyric speaker

เป็นสิ้นค้าจากญีปุ่น เชื่อมต่อกับมือถือได้ทั้ง iOS, Android

Lyric Sync Technology

ตอนที่ไปดูในบูธก็ให้เขาเปิดเพลงให้ดู แล้วก็กดอัดวิดีโอครับ แต่ดันกดอัดวิดีโอตอนเพลงที่ไม่มีเนื้อซะงั้น แต่ตอนเพลงที่มีเนื้อมันก็มีเอฟเฟ็คเท่ๆให้ดูนะครับ

เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ก็มีให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ แต่ว่าตัวจริงดูเท่กว่ามาก เว็บไซต์ https://lyric-speaker.com

Lyric-speaker

มาถึงส่วนที่สำคัญ ราคา สิ้นค้าน่าใช้มาก เหมาะกับการเอามาตั้งไว้ที่บ้านมาก ราคาที่ถามกับคนเฝ้าบูธคือ 5,000 ยูโร (~190,000 บาท) ผมถามอยู่ 3 รอบว่าที่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? แต่ได้คำตอบเดิมกลับมา

แต่ว่าๆ…ตอนกลับมาเช็คราคาในเว็บไซต์ของญี่ปุ่นและลองกดสั่งสิ้นค้าไป คำนวณจากเงินเยนออกมาได้ราว 2,500 ยูโร (~100,000 บาท) เท่านั้นครับ ก็ขอเชื่อตามเว็บไซต์ก็แล้วกัน (เพราะถูกตัวกว่า) คิดว่าคงเหมาะกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มเท่านั้นครับ T_T

ในเว็บไซต์บอกรายละเอียดของลำโพตัวนี้อย่างละเอียดดังนี้

สเปค

Product Name: Lyric speaker
Model: LS1
Color: Black
Dimensions (Approximate): W52cm x D14cm x H35cm
Weight (Approximate): 11kg (Body 10.5kg, AC adapter 0.5kg, Power cord 0.2kg)

Display: 22inch Transparent LCD
Speaker:

  • Speaker Coaxial Loudspeaker x2,Drone Cone Speaker x2
  • Output(max) 20Wx2 (40W)
  • Enclosure Dual Passive Radiators
  • Frequency 40Hz – 40kHz

Wi-Fi®:

  • Standard IEEE 802.11 a/b/g/n/ac
    Security WPA2™ – Personal
    Frequency 2.4/5.0 GHz

Material: Body ABS / Galvanized Steel / Acrylic Plate
Power: Power 100W max *Power Consumption Operational
Included in the Box: Lyric speaker(body), Manual・Warranty, AC adapter, Power cord

reMarkable แท็บเล็ตจอ E-Ink อ่าน เขียนได้เหมือนกระดาษ

หลายวันมานี้ได้เห็นโฆษณาอันหนึ่งบ่อยมาก อาจเพราะว่าค้นคำว่า “the best of tablet for artist” บ่อย จึงมีโฆษณาเกี่ยวกับแท็บเล็ตโผล่มาให้เห็น โฆษณาของผลิตภัณฑ์ที่ว่าคือ reMarkable: The paper tablet นิยามด้วยแท็บเล็ตที่ได้ฟิลลิ่งเหมือนกระดาษ(อ่าน เขียน เสก็ต)

reMarkable แท็บเล็ตที่อ่านเขียนได้เหมือนกระดาษ

เมื่อดูรายละเอียดแล้วก็ต้องบอกว่าไอเดียและคอนเซ็พท์นั้นโดนใจมาก

สิ่งที่เราอยากได้สำหรับเท็บเล็ต แล้วก็ถือว่าเป็นจุดเด่นของแท็บเล็ตตัวนี้อีกด้วย มีดังนี้

  • เขียนได้เหมือนกระดาษ
    (แท็บเล็ตในตลาดตอนนี้ส่วนใหญ่เขียนบนหน้าจอได้ แต่ถ้าอยากได้การเขียนที่ละเอียดและแม่นยำ ในตลาดตอนนี้มี iPad Pro, Galaxy Tab S3, LENOVO Yoga Book, Surface Pro 4)
  • แบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานหลายวัน
    เพราะจอขาวดำใช้พลังงานต่ำกว่ามาก แม้ว่า reMarkable จะยังไม่ระบุว่าใช้ได้กี่วันแต่ก็หวังว่าจะใช้ได้หลักสัปดาห์ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง อย่างเช่นที่ Amazon Kindle ทำได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตอื่นๆที่ใช้งานในหลักชั่วโมงเท่านั้น
  • อ่านหนังสือได้นาน (จอ E-ink ดีที่สุด ปัจจุบันใช้ Amazon Kindle อ่านหนังสือ ซึ่งก็อ่านได้อย่างจริงจัง ไม่เหมือนกับอ่านจากจอแบบอื่นๆ)
  • ราคาถูก 379 usd (ล่าสุดเป็น 429 usd แล้ว) เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตที่กล่าวมาข้างต้นราคาแพงระดับ 500-1,200 usd

จากเหตุผลด้านบนตัว reMarkable ค่อนข้างตอบโจทย์มากๆ แต่ก็มีจุดด้อยอยู่บ้างดังนี้

  • เป็นจอขาวดำถ้าอยากทำงานศิลป์จริงจังมีลงสีอาจจะไม่เหมาะ
  • ใช้ OS ที่พัฒนาขึ้นเองอาจจะไม่มีแอพจากแหล่งอื่นให้ใช้
  • บริษัทที่ทำเป็น Startup ใหม่ ซึ่งยังไม่มีผลิตอื่นก่อนหน้านี้เลย คุณภาพของสิ้นค้าจะดีแค่ไหน รวมทั้งบริการหลังการขายจะเป็นยังไง ทำให้ยังลังเลที่จะ Pre-Order (ถ้า Amazon ทำกดสั่งไปแล้ว)

แต่ถ้าหากมองข้ามจุดด้อยต่างๆเหล่านี้ได้ reMarkable จึงเป็นแท็บเล็ตที่น่าสนใจมากๆ ด้วยจุดเด่น E-Reader ที่สามารถทั้งอ่าน เขียน และเสก็ต ได้ (Read, Write, Sketch)

reMarkable Read Write Sketch

อีกอย่างที่น่าสนใจ คือ ปากกาที่ใช้เขียนของ reMarkable รองรับแรงกดถึง 2048 ระดับ แต่ไม่ต้องชาร์ตและไม่ต้องใช้บลูทูธในการเชื่อมต่อ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ดีมากๆ

reMarkable feature sturdy

เขียนมาถึงขนาดนี้เหมือนได้ค่าโฆษณามาเขียนเชียร์เลย แต่มันก็ดูดีน่าใช้จริงๆ หวังว่าเมื่อผลิตเสร็จแล้ว จะทำงานได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เคลมไว้

สุดท้ายมาดูวิดีโอโปรโมตของ reMarkable กันครับ อย่างที่บอกมันน่าใช้มาก

https://www.youtube.com/watch?v=34I27KPZM6g

รายละเอียดสเปค

Size and Weight

  • 177 x 256 x 6.7mm (6.9 x 10.1 x .26 inches)
  • Approximately 350 gram (.77 pounds)

CANVAS display

  • 10.3” monochrome digital paper display (no colors)
  • 1872×1404 resolution (226 DPI)
  • Partially powered by E-ink Carta technology
  • Multi-point capacitive touch
  • No glass parts, virtually unbreakable
  • Paper-like surface friction

Pen

  • No battery, setup or pairing required
  • Special high-friction pen tip
  • Tilt detection
  • 2048 levels of pressure sensitivity

Storage and RAM

  • 8 GB internal storage (100,000 pages)
  • 512 MB DDR3L RAM

Connectivity

  • Wi-Fi connected

Battery

  • Rechargeable (Micro USB)
  • 3000 mAh

Processor

  • 1 GHz ARM A9 CPU

Operating system

  • Codex, a custom Linux-based OS optimized for low-latency e-paper

Document support

  • PDF and ePUB, with more formats to be announced

Other

  • Menu language: English only

ที่มา: https://getremarkable.com/

เมื่อถาม Alexa, Pi มีค่าเท่าไหร่ มาฟังคำตอบกัน

เราสามารถถาม Alexa เกี่ยวกับโจทย์ทางคณิคสาสตร์ได้ด้วย อาจจะประโยคสั้นๆที่ไม่ยาวมาก เช่น

  • Alexa, how many [units] are in [units]?
  • Alexa, what’s 10 plus 5?
  • Alexa, what’s 20 times 15?
  • Alexa, 50 factorial

แต่มีเรื่องสนุกที่คนชอบถาม Alexa คือ “What is the value of Pi?” (ผมถามไป What is the number of Pi?) คือค่าพายมีค่าเท่าไหร่? ซึ่งคำตอบที่ Alexa ตอบกลับมา นั้นยาวมากๆ ต้องนั่งฟังเป็นนาทีเลยทีเดียว 

3.141592653589793238462643383279502884197169399375105820974944592307816406286…

แต่ถ้าถามแบบทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงถึงตัวเลข “What is pi?” Alexa จะตอบกลับมาสั้นๆ

“The number pi is a mathematical constant, the ratio of a circle’s circumference to its diameter, commonly approximated as 3.14159.”

ยังมีเรื่องให้ลองอีกหลายอย่าง จะทยอยเอามาเล่าให้ฟังเรื่อยๆครับ

เมื่อ Alexa งอลไม่ยอมคุยด้วย

แกล้ง Alexa จนเธองอลไม่ยอมคุยกับเราแล้ว

สรุปคือ ถ้าเราออกคำสั่งเดิมๆ ซ้ำๆ 4-5 ครั้ง แล้วไม่ให้ข้อมูลที่เธอต้องการ มีความตั้งใจจะแกล้งเธอ สุดท้าย Alexa จะรู้ตัว แล้วจะ skip คำสั่งนั้นไปเลย

“ฉันงอลไม่คุยกับแกแล้ว”

(แต่ถ้าเปลี่ยนประโยคนิดหน่อย Alexa ก็จะกลับมาคุยกับเราเหมือนเดิมครับ)

หลังจากป้อนคำสั่งแบบข้างบนซ้ำๆไปหลายๆรอบ สุดท้าย Alexa ก็ไม่ตอบกลับ

Amazon Echo ภาษาที่ใช้ผูกติดกับบัญชีประเทศด้วย

Amazon Echo มีข้อจำกัดหนึ่งที่น่ารำคาญมากๆ คือ ภาษาที่ใช้คุยกับ Alexa จะผูกติดกับ Amazon account ของประเทศด้วย เช่น English (US), English (UK), Deutch(DE)

Amazon Echo

หมายความว่า ถ้าอยู่เยอรมันแต่อยากคุยอังกฤษกับ Alexa จะลำบากมาก บริการต่างๆจะไม่เชื่อมกับ Amazon.de แต่จะเชื่อม Amazon.com ของอเมริกา

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือการเลือกภาษาคือการเลือกใช้ บัญชี Amazon ประเทศนั้นไปด้วย ไม่ใช่แค่การเลือกภาษาที่จะสื่อสารกับ Alexa

Alexa language setting

แล้วมันส่งผลอย่างไรนะหรอ เราจะพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น จะใช้งานได้ไม่เต็มความสามารถ สั่งของไม่ได้ สั่งเล่นเพลงตรงๆไม่ได้ สั่งเปิดหนังไม่ได้ รวมทั้งหลายๆคำสั่งไม่ทำงาน

เป็นการบังคับว่า “แกอยู่เยอรมันแกก็ต้องคุยภาษาเยอรมันกับฉัน” หรือในทางกลับกันถ้าอยู่อเมริกาหรืออังกฤษจะมาพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่อังกฤษกับฉันไม่ได้เช่นกัน

หรืออาจจะเป็นข้อดีให้ฝึกพูดเยอรมันก็ได้ แต่มันขัดใจ.

หนังเมื่อความจริงกับจินตนาการมาบรรจบกัน

เมื่อวาน ได้ดูหนังเรื่อง A Monter Calls (2016) แล้ว รู้สึกชอบจังเลย เลยนั่งคิดย้อนกลับไปว่าหนังแนวนี้มักถูกจริตเราเสมอ ว่าด้วยหนังที่เล่าเรื่องราวความเป็นจริงและเรื่องราวในจินตนาการไปพร้อมกัน
บางครั้งหนังก็ไม่บอกเราว่า เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่จินตนาการในใจหรือเรื่องนั้นเป็นอีกโลกที่มีจริงๆ
 
อ่านแล้วอาจจะงง ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้น
 
1. หนังมีโลกเดียว มีสัตว์ประหลาดมากมาย มีเวทมนต์ แต่ทั้งหมดอยู่ในโลกเดียวกัน เมื่อดูหนังเราจะรู้ว่าเรื่องราวเกิดที่นี่ ไม่มีที่อื่นอีก หนังในกลุ่มนี้ ได้แก่ Lord of the Ring, Hobbit เป็นต้น
 
2. หนังมีสองโลกแยกกัน คือ โลกมนุษยที่เราอาศัยอยู่และดินแดนอันมหัศจรรย์ มีสัตว์ประหลาด มีเวทย์มนต์ แม้ว่าจะมีสองโลก แต่หนังทำให้เราเชื่อว่าทั้งสองโลกนั้นมีจริง ตัวละครก็จะรู้ว่ามีอีกโลกนั้นอยู่ มักเริ่มต้นด้วยการเดินทางไปที่อีกดินแดนแล้วกลับมาในตอนท้ายเรื่อง หนังในกลุ่มนี้ ได้แก่ The Chronicles of Narnia, Oz the Great and Powerful เป็นต้น
 
และ 3. หนังที่เล่าเรื่องซ้อนทับกันไปมา ส่วนใหญ่จะมีแค่ไม่กี่แค่ตัวเอกที่รับรู้ถึงอีกสิ่งหรืออีกโลกอัศจรรย์นั้นเพียงคนเดียว และบางทีหนังก็ไม่บอกเราด้วยซ้ำว่า นั้นเป็นแค่เรื่องจินตนาการของเขา หรืออีกโลกนั้นมีจริงๆ
 
เท่าที่คิดออกก็มีรายการดังนี้ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่ชอบทุกเรื่องเลย
  • A Monster Calls (2016)
  • Where the Wild Things Are (2009)
  • Bridge to Terabithia (2007)
  • Pan’s Labyrinth (2006)
  • Big Fish (2003)
  • My Neighbor Totoro (1988)
A Monster Calls (2016)

A Monster Calls (2016) เรื่องเศร้าของเด็กกำลังจะสูญเสียคนที่รักยิ่ง

Where the Wild Things Are (2009)

Where the Wild Things Are (2009) เด็กดื้อกับเพื่อนสัตว์ประหลาด บางคนบอกว่าดูไม่น่ารักเลย แต่เราชอบสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก

Bridge to Terabithia (2007)

Bridge to Terabithia (2007) เพื่อนที่มีจินตนาการของดินแดนอัศจรรย์ร่วมกัน

Pan’s Labyrinth (2006)

Pan’s Labyrinth (2006) เรื่องที่น่าเศร้าอีกเรื่อง ที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันแค่จินตนาการหรือมีอีกโลกอยู่เบื้องหลัง (A Monster Calls มีความคล้ายเรื่องนี้มาก)

Big Fish (2003)

Big Fish (2003) เรื่องของจินตนาการของผู้เป็นพ่อที่บอกเล่าเรื่องราวให้กับลูกชายฟัง ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าอัศจรรย์

My Neighbor Totoro (1988)

My Neighbor Totoro (1988) แม้จะเป็นการ์ตูน แต่ก็เป็นเรื่องแรกๆที่คิดถึงเลยทีเดียว เพื่อนบ้านผู้น่ารัก เราไม่รู้ว่าความจริงแล้วโทโทโร่มีจริงสำหรับทุกคน หรือแค่เด็กน้อยเท่านั้นที่จะได้เห็นและสัมผัสกับโทโทโร่ได้

คิดว่าน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ยังนึกไม่ออก ใครคิดออกฝากเขียนบอกด้วยนะครับ

Exit mobile version