Google Pixel Buds หูฟังแปลภาษาแบบ real-time ใช้กับมือถือรุ่นอื่นได้ไหม?

Google เปิดตัวผลิตภัณฑ์หลายอย่างจาก Event ในเดือนตุลาคม เอาเป็นว่าเข้าไปดูได้ที่ https://store.google.com แต่มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากจนต้องมาเขียนถึงเลย คือ Google Pixel Buds หูฟังไร้สายที่ทำงานร่วมกับมือถือเพื่อแปลภาษาแบบ real-time ทำให้คนที่คุยกันคนละภาษาสามารถคุยโต้ตอบกันได้เลย มันเจ๋งมาก

Google Pixel Buds

มันทำงานแบบไหน และเจ๋งแค่ไหนลองดูได้ที่วิดีโอสาธิตการใช้งาน

ก่อนจะกดสั่งซื้อ เลยตั้งคำถามสำคัญก่อน

  • หูฟังแปลภาษาตัวนี้ใช้กับมือถือรุ่นอื่นได้หรือไม่?
    คำตอบ: ไม่ได้

เมื่อเข้าไปดูใน รายละเอียดของ Google Pixel Buds Requirements & Specifications

  • ระบุไว้ดังนี้ ใช้สำหรับเป็นหูฟังไร้สาย Bluetooth ใช้ได้กับ
    -Android 5.0 ขึ้นไป
    -iOS 10.0 ขึ้นไป
  • ถ้าอยากใช้ผู้ช่วย Google Assistant
    -Android 6.0 ขึ้นไป
  • แต่ตัวสำคัญ ถ้าต้องใช้ Google Translate เพื่อแปลภาษาแบบ real-time (ฟีเจอร์ที่อยากใช้)
    – ต้องใช้ร่วมกับมือถือ Pixel หรือ Pixel 2 เท่านั้น

สรุปว่ามันคือ Exclusive feature สำหรับ Google Pixel Phone ใช้ได้ทั้งรุ่นแรก และรุ่น 2 แต่ไม่รองรับมือถือแอนดรอยด์รุ่นอื่น

(เสียใจ)

OnePlus 3T ดีไซด์เดิม เพิ่มเติมคือสเปคข้างใน

OnePlus3T

วันนี้ (Nov 15, 2016) OnePlus เปิดตัวมือถือตัวใหม่ เปิดตัวแบบเรียบง่าย ผ่านทางวิดิโอ Live บน Facebook มีวิดีโอเปิดตัวกับสัมภาษณ์คนที่ได้ลองใช้ สรุปโดยรวมคือใช้ดีไซด์เดิม แต่อัปเกรดตัวฮาร์ดแวร์ภายในยกชุด (โมเดลเดียวกับแบรนด์ผลไม้)

ตอนนี้ตัวเองก็ใช้ OnePlus 3 ทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์ทำออกมาได้ดีมาก ต้องบอกว่าค่อนข้างพอใจมากกับ OnePlus ตัวฟีเจอร์ที่ชอบเป็นพิเศษคือ Dash Charge ตัวชาร์ตเร็ว มันเร็วสมชื่อ อารมณ์เป็นเหมือนหนุ่มที่ให้สัมภาษณ์ในวิดีโอเปิดตัวเลย นั้นคือบางทีตอนเช้าตื่นขึ้นมาลืมชาร์ตมือถือไว้ ก็ไม่ได้กังวลอะไร แค่เสียบไว้ จากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่ตัว ก่อนออกบ้านก็เกือบเต็มแล้ว แล้วก็อยู่ได้เต็มวัน

กลับมาดูรายละเอียดของฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการอัพเกรดในตัว OnePlus 3T (เทียบกับ OnePlus3)

CPU: เปลี่ยนจาก Qualcomm® Snapdragon™ 820 เป็น 821 เร็วขึ้นในขณะที่ใช้พลังงานไม่ต่างจากตัวเดิม

Battery : แบตเตอรี่เพิ่ม 3000mAh เป็น 3400mAh ด้วยขนาดและน้ำหนักเท่าเดิม ยังคงรอบรับ Dash charge เหมือนเดิม

Storage: พื้นที่เก็บข้อมูล แต่ก่อนจะมีแค่ตัว 64GB ตอนนี้มีตัว 128GB มาให้เลือกด้วย ส่วนแรมยังคงเป็น 6GB เท่าเดิม

Camera: กล้องหลังยังเป็นตัวเดิม แต่กล้องหน้าเปลี่ยนจาก 8MP เป็น 16MP

Color: มีสีใหม่คือ Gunmetal

เปิดราคาที่ 439 USD สำหรับ 64GB และ 479 USD สำหรับความจุ 128BG
(แพงขึ้นนิดหน่อย OnePlus 3 ราคา 399USD) เปิดขายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559

**ส่วนตัว OxygenOS ที่จะอัปเกรดเป็น Android 7.0 Nougat จะได้พร้อมกับตัว OnePlus 3

รายละเอียดเพิ่มเติม https://oneplus.net/3t

วิดีโอแนะนำ OnePlus 3T

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

ตอนที่แล้วเป็น 10 อย่างที่ iOS ชนะ Android มาคราวนี้ถึงเวลาที่ Android จะได้โต้กลับบ้าง ในรายละเอียดของ 10 อย่างต่อไปนี้เป็นฟีเจอร์ของ Android ที่ iOS สู้(ยัง)ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น jailbreak หรือไม่ jailbreak ก็ตาม ผมเขียนตามความเข้าใจ ส่วนใครอยากอ่านต้นฉบับตามไปดูได้ที่ลิงค์นี้ Top 10 Awesome Android Features that the iPhone Doesn’t Have

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

  1. Alternate Keyboards
    Alternate Keyboards

    คีย์บอร์ดแบบแปลกๆที่ทำให้พิมพ์ได้เร็วขึ้น ให้เราได้เลือกใช้งานมากมาย เช่น แบบลากนิ้วอย่างเช่น Swype หรือวิธีการเดาคำศัพท์แบบแปลกๆอย่าง 8pen และยังง่ายต่อการติดตั้ง แม้ว่า iPhone ก็มีคีย์บอร์ดอื่นๆให้เลือกเหมือนกัน แต่จะมีเฉพาะในรูปแบบของ app แยกต่างหาก ไม่ได้เป็นคีย์บอร์ดโดยตรงอย่างเช่นใน Android

  2. Automation
    Automation

    มีอีกอย่างที่มีประสิทธิภาพมากของ Android คือโปรแกรมที่สามารถเข้าถึงการตั้งค่าต่างๆของเครื่องได้แทบทุกส่วน อย่างเช่นโปรแกรมชื่อ Tasker เวลาเปิดเครื่องใช้งานทุกจะอย่างจะทำงานอัตโนมัติทุกอย่างตามที่ตั้งค่าไว้ อย่างเช่น เมื่อไหร่จะเปิดหรือปิด GPS การตั้งเวลาปลุกแบบละเอียด ควบคุมเสียงโทรศัพท์เมื่อมีสายเข้าได้อย่างละเอียด เช่น ให้เสียงเงียบเมื่อคว่ำหน้าลง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หาไม่ได้ใน iOS

  3. Custom Home Launchers
    Custom Home Launchers

    ใน iOS ก็สามารถปรับแต่ง Home Launcher ได้เล็กน้อยในตัวที่ทำ jaibreak แต่คงปรับแต่งได้ไม่เท่ากับใน Android ทำได้แน่นอน มี launcher มากมายให้ได้ลองเลือกใช้ อย่างเช่น ปรับแต่งหน้าตาไอคอนของ app ใหม่ หรือปรับแต่งให้มือถือทำงานได้เร็วขึ้น  ตัวที่มีคนแนะนำเยอะก็เช่น LauncherPro, ADWLauncher เป็นต้น

  4. Widgets
    Widgets

    แม้ว่า widget จะกินเนื้อที่ไปบ้าง แต่มันทำให้ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น มีหลายๆอันที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ตัวรายงานสภาพอากาศ ตัวควบคุมการเล่นเพลง ตัวแจ้งเตือนสำหรับ twitter/facebook กลุ่มของปฎิทิน หรือ to-do list ใน iOS ทำได้เล็กน้อยในหน้า lock screen ซึ่งทำได้เฉพาะในตัวที่ jailbreak

  5. Removable Storage and Battery
    Removable Storage and Battery

    นี้อาจจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ OS ซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนดีที่มีใน Android devices คือการถอดแบตอเตอรี่เพื่อซ่อม เพื่ออัพเกรดให้ดีขึ้น หรือสำรองแบตเตอรี่อีกตัวยามที่ต้องการใช้งานยาวนานขึ้นในจุดที่ไม่ที่ชาร์ตไฟ และอีกความได้เปรียบคือการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลให้ Android phone ด้วย SD card ที่ใน iOS ไม่รองรับ

  6. Wireless App Installation
    Wireless App Installation

    การเปิดดู apps ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ทำให้ดูรายละเอียด และการจัดการได้ง่ายมากกว่าดูผ่านทางหน้าจอมือถือ ใน iOS สามารถติดตั้ง apps ผ่านทางการโหลดในมือถือกับโหลดผ่านทาง iTunes แล้ว Sync ผ่านทางสายเชื่อมเท่านั้น แต่ใน Android market หรือ Store ของค่ายอื่นๆ เช่น AppBrain เราสามารถค้นหา apps ที่เราสนใจ แล้วคลิกติดตั้งที่หน้าเว็บไซต์ แล้ว apps จะโหลดลงมือถือและติดตั้งให้เอง เมื่อมือถือต่ออินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องมีขั้นตอนอื่นๆให้ยุ่งยากอีกเลย

  7. Custom ROMs
    Custom ROMs

    เนื่องจาก Android เป็น open source จะมีนักพัฒนานำไปปรับแต่งได้อย่างอิสระ เช่นปรับแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้เร็วขึ้น ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย ตัว Custom ROMs พวกนี้มีให้เลือกใช้ฟรีมากมาย หรือถ้าคุณเป็น Geek อยากทำเวอร์ชั่นของตัวเองไว้ใช้เฉพาะของตัวเองก็ยังได้ ตัวที่ได้รับนิยมเช่น CyanogenMod, MIUI

  8. Controlling Your Phone From Your Computer
    Controlling Your Phone From Your Computer

    อีกหนึ่งคุณสมบัติของ Android คือสามารถควบคุมมือถือผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ เช่นส่งข้อความจากคอมพิวเตอร์ไปที่มือถือ ควบคุมกล้อง, ส่ง SMS, ตรวจหา location ของมือถือ, เข้าถึงไฟล์ในเครื่อง นอกจากนั้นยังสามารถส่ง notifications จากมือถือไปแสดงที่คอมพิวเตอร์ได้ ใน iOS ก็มีความสามารถนี้เช่นกันแต่ทำงานได้เฉพาะฟังชั่นพื้นฐานบางอันเท่านั้น

  9. Flash
    Flash for Android

    Flash ยังมีความสามารถมากกว่า HTML5 อยู่เยอะ ทำให้ในเว็บไซต์ต่างๆยังคงมี Flash เป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น วีดีโอ เกมส์ โปรแกรมออนไลน์ ซึ่งใน Android รองรับ Flash อย่างเต็มตัว ส่วนใน iOS แม้จะ app ที่ช่วยแปลง Flash แต่ก็ทำงานได้เพียงแค่แก้ขัดเท่านั้น!

  10. True App Integration
    True App Integration

    Google apps ต่างๆถูกออกแแบบมาให้ทำงานได้ดีใน Android แม้ว่าใน iOS ก็มีให้ใช้ แต่จะมาช้ากว่าและคงให้ประสบการร์ใช้งานได้ดีไม่เท่าใน Android เพราะมันถูก intergrate เข้าไปใน OS เลย ไม่ได้พัฒนาขึ้นในระดับบนอย่างใน iOS

10 อย่างที่ iOS ชนะ Android

ปัจจุบัน OS ของ smart device (smartphone, tablet, media player ) มีเยอะมาก แต่ละเจ้าก็อยากจะมี OS เป็นของตัวเอง แต่ถ้าจะบอกว่า 2 อันดับแรกเป็นอะไร? ปัจจุบันคงต้องบอกว่า iOS ของ Apple กับ Android ของ Google ที่สู้กันในระดับลมบนของตลาด มีบทความจาก lifehacker เขียนเปรียบเทียบกันของทั้งสอง OS ไว้ น่าจะเป็นสิ่งที่แฟนๆของแต่ละค่ายรู้ดีและเอามาโจมตีกันอยู่เรื่อย ผมสนใจเลยของแปลแบบบ้านๆเอาไว้อ่านเล่น โดยจะแบ่งเป็น 2 ตอน ให้เกียรติ iOS ก่อน Android เพราะเขาเกิดก่อน ใครอยากอ่านต้นฉบับไปอ่านที่ Top 10 Ways iOS Outdoes Android

10 อย่างที่ iOS ชนะ Android

ทั้ง iOS และ Andiod ในที่นี้ก็หมายความรวมทั้งอุปกรณ์พวก smart device ต่างๆ และสิ่งแวดล้อมโดยรวมของแต่ละ OS เลยนะ

  1. The iTunes Media Store
    The iTunes Media Store

    iTunes ที่เป็นศูนย์รวมสื่อบันเทิงต่างๆของ Apple ทั้งหมด ทั้ง application เพลง หนัง หนังสือ ฯลฯ เชื่อมต่อเข้ากับ smart device ของคุณได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายซื้อได้ในคลิกเดียว ในขณะที่ Andoid สื่อด้านบันเทิงแม้จะซื้อได้ใน Amazon แต่ความสะดวกสะบายยังห่างชั้นกันมาก

  2. AirPlay
    AirPlay

    เป็นคุณสมบัติที่ทำงานร่วมกันของ smart device ที่รัน iOS การสตีมมิ่งสื่อบันเทิงถึงกันทำได้ดีอย่างน่าประทับใจ เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่หาไม่ได้ใน Android

  3. Find My iPhone
    Find my iPhone

    การติดตามมือถือ iPhone (iPad, iPod touch)ที่หายไปของคุณทำได้โดยง่าย และฟรีด้วย เราได้เห็นตัวอย่างการตามล่าหา iPhone ของตัวเองจากหลายๆคนที่เจอและจับมือขโมยได้ด้วย ในขณะที่ใน Android ก็มีเหมือนกันแต่ต้องเสียตังค์ในการใช้บริการ

  4. A Better Support System
    Genius Bar

    เมื่อเกิดปัญหากับ Android ของคุณ เมื่อถามคำถามไปที่โอเปอเรเตอร์ที่คุณซื้อเครื่องมาจะได้คำตอบอันน้อยนิด อีกทั้งยังแก้ปัญหาของเครื่องไม่ได้อีก ต่างจาก iDevices เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คุณนำเครื่องไปที่ Apple Store ปัญหาต่างๆจะได้รับบริการแก้ไขอย่างดีเยี่ยม

  5. Better Battery Life and Management
    Better Battery Life and Management

    ระบบจัดการแบตเตอรีที่ดีกว่า จะเห็นได้ว่า Apple จะให้ความสำคัญกับระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรีมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จาก iPad ที่มีระยะเวลาในการใช้งานที่นานขึ้น เราจะวางใจใช้อุปกรณ์ iOS ได้ตลอดวัน ในขณะที่เราจะไม่ค่อยวางใจได้กับ Andriod  (น่าจะหมายถึงพวก tablet เพราะมือถือ android หลายตัวอยู่ได้นานกว่า iPhone เยอะ)

  6. iTunes and Tethered Syncing
    iTunes and Tethered Syncing

    iTunes เป็นโปรแกรมจัดการกับข้อมูลใน iDevices ได้ดีมาก คุณจะสามารถ backup หรือ restore ข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ซึ่งใน Android แม้จะมีโปรแกรมจัดเหมือนกันแต่ทำได้ไม่ดีเท่าใน iOS
    note: แต่มีหลายๆคนที่ไม่ชอบ iTunes เหมือนกัน เพราะมีข้อจำกัดในการใช้งานหลายอย่างเช่น ข้อมูลทุกอย่างต้อง sync ผ่าน iTunes และไม่สามารถ sync แบบไร้สายได้

  7. No Crapware
    Crapware

    crapware หรือซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตแถมมากับเครื่อง พบว่าใน Android จากหลายๆโอเปอเรเตอร์แถม crapware มาด้วย อาจจะมีทั้งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์กับเรา แต่บางตัวไม่สามารถถอนการติดตั้งออกได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เจอใน iOS

  8. A Bigger and Better Variety of Apps
    A Bigger and Better Variety of Apps

    iOS มี App มากกว่าและมีจำนวนของ app คุณภาพมากกว่า Android แนวโน้มในปัจจุบันจะพบว่าเกมที่เคยอยู่ในเครื่อง console emulator จะเพิ่มมากขึ้นใน iOS เป็นอีกทางเลือกที่สำคัญที่ทำให้ iOS น่าสนใจมากกว่า อีกทั้ง App store ยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้นักพัฒนา ทำให้จำนวน app ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  9. A Well-Designed, Intuitive User Interface
    A Well-Designed, Intuitive User Interface

    การออกแบบที่ดี มี UI ที่สวยงามใช้งานง่าย ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีกว่า ความหมายนี้พูดรวมทั้ง iOS และ app ต่างๆด้วย เราจะพบว่า app ต่างๆบน iOS จะถูกออกแบบมาดีกว่าบน Android

  10. Consistency
    Fragmented android

    iOS จะไม่มีปัญหาเรื่อง fragmentation อย่างเช่น Android แน่นอน เมื่อ iOS มีการปรับปรุง อัพเดตเวอร์ชั่นใหม่ มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณจะได้รับการอัพเดตเช่นกัน ต่างจาก Android ที่มีความแตกต่างทั้งอาร์ดแวร์ และ OS ใช้ระยะเวลานานจนกว่าเครื่องของคุณจะได้รับการอัพเดตแม้ทาง Google จะออกอัพเดตมานานแล้วก็ตาม หรือบางทีเครื่องของคุณก็ไม่รับความสนใจจากผู้ผลิตที่จะการอัพเดตให้

ตอนต่อไป จะถึงคราวที่ Android อัด iOS กลับบ้าง โปรดติดตาม 10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

วีดีโอสอนการพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone 7

การพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone 7

ไปเจอวีดีโอชุดการพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone 7 น่าสนใจดีครับ มีโค้ดให้ดาวน์โหลดด้วย วีดีโอชุดนี้เป็นผลงานของคุณ Supapong NgonKham จาก ม.ขอนแก่น เห็นว่ามันดีมีประโยชน์เลยเอามาบอกต่อครับ ใครสนใจเข้าไปดูได้ที่ลิงค์ท้ายโพสครับ

มีหัวข้อแนะนำการพัฒนา Application บน Windows Phone 7 ดังนี้
  1. Introduction and Installation
  2. Getting Start Part 1
  3. Getting Start Part 2
  4. Application Bar
  5. Page Transition
  6. Navigation and Control
  7. Pivot Control Part 1
  8. Pivot Control Part 2

สนใจเข้าไปดูราละเอียดได้ที่ https://micthailand.net

iPhone 5 กับ 5 คุณสมบัติที่จะต้องมี

iPhone 5

iPhone มีการอัพเดตออกตัวใหม่ทุกปี คิดว่า iPad ก็น่าจะใช้โมเดลแบบเดียวกัน ปีที่แล้ว iPad เปิดตัวในวันที่ 27 มกราคม 2010 ช่วงนี้จึงเริ่มมีข่าวหลุดของ iPad 2 ออกมาเรื่อยๆ คงเปิดตัวไม่เกินต้นเดือนกุมภาพันธ์แน่นอน

ส่วน iPhone ปกติจะเปิดตัวช่วงต้นเดือนมิถุนายน ด้วยความฮิตของมัน ก็มีหลายเว็บมักจะออกมาเก็ง ว่ามันจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ที่น่าจะถูกจับยัดใส่ใน iPhone 5 ในโพสนี้เลยหยิบการวิเคราะห์จาก cnet มาให้ดู เป็น 5 ฟีเจอร์ที่น่ามีใน iPhone 5

  1. Dual-core processing หน่วยประมวลผลแบบ 2 แกน
    หน่วยประมวลผล 2 แกน เพิ่มความสามารถในการประมวลผลการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น ปัจจุบันเทรนด์ของตลาดมือถือกำลังจะก้าวเข้าสู่หน่วยประมวลผล 2 แกน อย่างเช่น Nvidia Tegra 2 ยากยิ่งที่ Apple ผู้ผลิตมือถือสมาร์ทโฟนแถวหน้า จะปฏิเสธเทคโนโลยีนี้ Apple นั้นต้องการที่จะผลิตชิปเป็นของตัวเอง แต่มันต้องมีประสิทธิภาพที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ามือถือสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนของฝั่ง Android ถ้ายังต้องการรักษาฐานลูกค้าทั้งใหม่และเก่า ในระบบประมวลผล 2 แกน ยังมีข้อดีเรื่องประหยัดพลังงานแบตเตอรี่อีกด้วย Tegra 2 ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าหน่วยประมวลแบบ 1 แกนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ทำงานต่ำๆ สมาร์ทโฟนที่ใช้หน่วยประมวลผล 2 แกน ปัจจุบันมี LG Optimus 2X, Motorola Atrix ใช้ Nvidia Tegra 2 เป็น Andriod OS ส่วน HTC ก็มีแผนที่จะออกสมาร์ทโฟน แบบ 2 แกนเหมือนกัน แต่จะใช้ CPU dual-core Snapdragon processors ของ Qualcomm จึงคาดการณ์ได้ว่า iPhone 5 จะต้องมีหน่วยประมวลผลเป็นแบบ 2 แกน
  2. HDMI connectivity เชื่อมต่อการแสดงผลบนจอทีวี
    HDMI Port แสดงผลบนจอ TV ขนาดใหญ่ เป็นเทรนด์ที่มาแรงในปีนี้ที่ แม้ว่า iPhone จะมีขนาดที่บาง แต่ Apple จะต้องหาทางใส่มันเข้าไป หรืออาจจะต้องทำเป็น adapter เชื่อมต่อขึ้นมา แม้ว่า iPhone จะมี AirPlay ที่เชื่อมต่อแบบไร้สายแล้วก็ตาม แต่การเชื่อมต่อด้วย HDMI จะได้อะไรมากกว่าการแสดงเฉพาะพวกมีเดีย แต่จะได้สัมผัสกับทุกแง่มุมของมือถือไม่ว่าจะเป็นการเล่นเว็บ การทำเอกสาร เล่นเกม นี้จึงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ของปีนี้ที่มือถือสมาร์ทโฟนระดับสูงต้องมี
  3. Desktop-like application ทำตัวเหมือนคอมพิวเตอร์
    ถ้า Apple คิดทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีจอขนาดใหญ่ มันก็จะทำตัวเหมือนคอมพิวเตอร์ทั่วไป อย่างเช่น ในงาน CES ที่เราได้เห็นสมาร์ทโฟน Motorola Atrix 4G ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อแสดงผลบนจอ Notebook ได้ ระบบนี้จะทำให้มือถือของเราเป็นเหมือนศูนย์กลางของการทำงานทางด้านดิจิตอลของเราอย่างแท้จริง และมีประสิทธิภาพมาก เพราะตอนนี้เราก็ใช้ iPhone ทั้งเปิดเว็บ อ่านอีเมล เพื่อความบันเทิง เล่นบนรถ ในห้องนั่งเล่น หรือบนโต๊ะที่ทำงาน ซึ่ง iPhone 5 ต้องทำจุดนี้ได้
  4. Larger display จอใหญ่ขึ้น
    นี้เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ cnet บอกว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ แต่การซื้อมือถือสมาร์ทโฟนที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก จอขนาด 3.5 นิ้วของ iPhone เริ่มจะถูกมองว่าเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับจอขนาด 4 นิ้วขึ้นไปของ Samsung, HTC หรือเจ้าอื่นๆ
  5. Gorilla glass เครื่องที่ทนทานมากขึ้น
    iPhone 4 แม้จะมีการบอกว่ากระจกของมันทนทาน มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อสารเคมี เป็นกระจกชนิดเดียวกับที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ หรือกระจกด้านหน้ารถไฟฟ้าความเร็วสูง แต่มันก็มีข่าวกระจกแตก กระจกร้าวออกมาเป็นระยะ แสดงว่ามันไม่ได้ทนทานตามคำโฆษณา ไม่ว่า Apple จะใช้ Gorilla glass ที่ได้ขึ้นชื่อว่าทนทาน และได้รับความนิยมมากในการนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน หรือจะหาวัสดุอื่นมาแทนกระจกหน้าหลังของเครื่องหรือไม่ แต่แน่นอนว่า Apple จะต้องหาบางสิ่งบางอย่างมาเป็นจุดขายเพื่อจะบอกว่ามันแข็งแรงกว่าตัวเก่า

โดยรวมเป็นการมองว่า iPhone 4 มีจุดด้อยตรงไหนบ้างที่ควรปรับปรุง รวมกับแนวโน้มของเทคโนโลยีที่กำลังจะมาในปีนี้ อีกอย่างที่น่าสนใจคือ iPhone 5 จะเป็นสมาร์ทโฟน ที่รองรับทั้งระบบ CDMA กับ GSM ในเครื่องเดียวกันเลยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจ คิดว่า Apple คงไม่อยากแยกผลิต iPhone แบบ CDMA ให้ Verizon กับ GSM ให้ AT&T อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นแน่แท้

แกะกล่อง Nokia E5 สีขาว

พาเพื่อนเดินหา Nokia C3 มาสองวัน สุดท้ายก็ไม่ได้ ร้านไหนที่พอมีราคาก็สูงเป็น 5,200-5,400 บาท เลย ราคาศูนย์อยู่ที่ 4,730 บาท บางร้านบอกมีคนลงชื่อจองหลายร้อยคนถ้าของมาก็ต้องส่งให้คนเหล่านี้ก่อน ของเขาแรงจริงๆ อันที่จริงก็ไม่ได้ตามกระแสอต่อย่างใด ต้องให้ได้ในเร็ววัน แต่มือถือเครื่องเก่าของเขามันพัง โทรเข้าออกไม่ได้ สุดท้ายจึงมาลงที่ Nokia E5 อุตสาห์พาไปซื้อ เลยต้องได้สิทธิ์นำมาแกะกล่องดูกันหน่อย เน้นรูปแล้วกัน

กล่องของ Nokia E5

กล่องของ Nokia E5 ส่วนเรื่องของ spec ของเครื่อง ดูได้ตามเว็บทั่วไป ราคา 7,500 บาท ขอบคุณ @papayatop แนะนำร้านให้ เพราะขี้เกียจเดินแล้ว ไปถึงร้านแล้วก็ซื้อเลย

กล่อง Nokia E5

ในเมื่อตั้งชื่อว่าแกะกล่อง เลยต้องเอากล่องมาให้ดูอีกรูป มันมีให้เลือกสองสี คือ ดำกับขาว สีที่เจ้าของเครื่องเขาเลือกคือ สีขาว ผมว่ามันก็โอเคกว่าสีดำนะ เพราะแถบโลหะตรงกลาง ถ้าเป็นสีดำมันดูตัดกันเกินไปไม่ค่อยกลมกลืน สีขาวโอเคกว่า

เปิดกล่องออกมา

เปิดกล่องออกมาก็จะเห็น เจ้า Nokia E5 นอนอยู่ในซองอย่างสงบ

ของในกล่อง

ของในกล่องทั้งหมด ก็มี ตัวเครื่องมือถือ Nokia E5, ที่ชาร์ตแบต ยังเป็นแบบเดิมอยู่ ไม่ใช่USB, แบตเตอรี่ขนาด 1200 mAh, สาย USB (สั้นมาก), หูฟัง 3.5 mm ใช้คุยโทรศัพท์ได้, คู่มือสองเล่ม ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ

ตัวเครื่อง Nokia E5

ตัวเครื่องด้านหน้า ถือได้เหมาะมือดี น้ำหนักก็โอเค วัสดุประกอบได้แน่น คีย์บอร์ดแบบ QWERTY มี back light มีปุ่มใหญ่ๆตรงกลางใช้ควบคุมทิศทาง และกดเลือกสั่ง

ด้านหลัง

ด้านหลังมีฝาปิดเป็นโลหะสะท้อน กล้อง 5 ล้าน พร้อมแฟลช แอบบลองถ่ายดูแล้ว แฟลชสาดได้แรงมาก เครื่องใช้แฟลชเป็นไฟฉายได้ โดยการกดปุ่ม space bar ค้างไว้

Nokia E5 ด้านบน

ด้านบนเรียงจากซ้ายไปขวา ช่อง mini USB, ช่องหูฟัง 3.5 mm, ช่องเสียบสายชาร์ตแบต

Nokia E5 ด้านล่าง

ด้านล่างไม่มีอะไรเลย โล่งทุกอย่าอยู่ข้างบนหมด

ด้านซ้ายของเครื่อง

ด้านซ้ายของเครื่องก็ไม่มีปุ่มอะไร แต่ได้เห็นความหนา

ด้านขวาของเครื่อง Nokia E5

มีปุ่มเพิ่ม-ลด เสียง มันอยู่ลึกไปนิด กดยากฉิบ

มาแกะฝาหลังดูกัน

ยอมรับเลยว่ามันแกะยาก ต้องกดสองปุ่มที่อยู่ข้างเครื่อง แล้วค่อยแงะตรงกลางยกขึ้น ปุ่มเล็กๆมันกดยาก

ช่องใส่ซิม และ microSD

พบช่องใส่ซิม และช่องใส่ Micro SD แถมมาด้วย 2 GB ตามสเปค บอกว่ารองรับได้ 32 GB

ใส่แบตเตอรี่เข้าไป

ใส่แบตเตอรี่ขนาด 1200 mAh เข้าไป สั่งเกตุว่าด้านหลังตรงกล้องมันมีฟีล์มติดอยู่ ตอนแรกไม่ได้เอาออก พอลองถ่ายรูป มันเลยออกมาลายๆ

หน้าหลักของ Nokia E5

เปิดเครื่องครั้งแรกก็มีตั้งค่า ประเทศ นาฬิกา ภาษา แล้วก็จะได้เห็นหน้า Home screen แบบนี้

หน้าหลักของ Nokia E5

ระบบปฎิบัติการใช้ Symbian S60 3rd ธีมเริ่มต้นของเครื่อง ด้านบนเป็น thumnail ของเบอร์โทรด่วน, email, calendar, เมนูลัดเรียกใช้ App 6 ตัว

ซองเป็นซิลิโคนหยาบ

เครื่องนี้ติดฟิล์มกันรอยหน้าจอ และซื้อซองของตัวเครื่องมาด้วย อย่างละ 100 บาท

ด้านหลัง

ขอจบการแกะกล่อง Nokia E5-00 ไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ ส่วนรีวิวโปรแกรมภายในเครื่องนั้น ต้องลองเล่นดูก่อนค่อยมาเขียน สรุปคร่าวๆของตัวเครื่อง จับกระชับมือ มีไฟฉายมาพร้อมไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม(หรือมันเป็นแบบนี้กันหมดแล้ว) ปุ่มเพิ่มลดเสียงกดยาก

Google Android Phone Gallery

Google Phone gallery

Google เปิดหน้าเว็บรวมมือถือที่ใช้ Android OS ตั้งชื่อเท่ๆว่า Google Phone Gallery ได้อ่านข่าวจาก Googlemobile blog เมื่อตอนกลางวัน เข้าไปดูยังเป็นหน้า nexus one อยู่ มาตอนดึก เข้าไปดูปรากฎว่าอัพเดตแล้ว

เลือกดูเป็นยี่ห้อ หรือโอเปอร์เรเตอร์แต่ละประเทศได้ (แน่นอนไม่มีไทย) เปรียบเทียบรุ่นได้ครั้งละ 3 เครื่อง นี้แค่ inter brand ยังมีเยอะขนาดนี้นะเนี้ย

Ovi app wizard สร้าง Application สำหรับมือถือ Nokia ง่ายๆไม่ต้องเขียนโค้ด

Ovi app wizard

Nokia Ovi app wizard คือ เครื่องมือการสร้าง Ovi app ของคุณผ่านทางหน้าเว็บ  เพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว สโลแกนของเขาคือ Fast, Easy, Free นอกจากนั้นสามารถส่งขึ้น Ovi store ได้เลยทันที ตั้งราคาเองได้ด้วย  โปรแกรมที่สร้างขึ้นนั้นจะเป็นโปรแกรมดึง feed ของเว็บเราไปแสดงเท่านั้น

ผมเรียงขั้นตอนการทำง่ายๆมาให้ดูกันครับ

  1. เข้าไปที่เว็บ https://oviappwizard.com สมัครสมาชิก ให้เรียบร้อย
  2. ล็อกอินเข้าใช้งาน จะเจอหน้า Dashboard เรียงเมนูดังรูป
    Dashboard

    ด้านล่างเป็นเป็น App ที่ผมลองทำดูชื่อ Biomed.in.th เป็น app ดึงเนื้อหาจากเว็บดังกล่าวมาแสดง ทดลองส่งให้ Ovi store ตรวจสอบแล้ว

  3. คลิกเลือก Build a new application เพื่อที่จะสร้าง app ใหม่ ใส่ที่อยู่ feed ของเว็บเราเข้าไปในช่องให้กรอก ใครใช้ WordPress อยู่ก็เติม /feed หลัง url ของเว็บเรา ตัวอย่างเว็บผม https://www.amphur.in.th/feed
    Ovi app wizard step 1/4

    เมื่อใส่ url เสร็จแล้วก็กด preview ทางด้านขวาจะเป็นตัวอย่างการแสดงผลของ app ที่ดึงเนื้อหาจาก feed มาแสดง เราสามารถใส่ feed เพิ่มได้อีก 3 อัน เมื่อใส่ไปแล้วมันจะเป็น เมนู drop ให้เลือกด้านบน

    เพิ่ม url ของ feed จะมีเมนู drop ให้เลือกด้านบน

    เมื่อใส่ url ของ feed ตามที่ต้องการเสร็จแล้วก็คลิก Next step

  4. ส่วนถัดมา step ที่ 2 จะเป็นการใส่รายละเอียดเพิ่มเติม เช่น logo , icon ของ app สีพื้นหลัง อันนี้ปรับแต่งตามใจชอบครับ
    Customise your app

    แนะนำให้ทำรูปให้ตรงตามขนาดที่เขาแนะนำครับ ภาพจะได้ไม่ยืดผิดรูปไป และเลือกภาษาของ App เป็นตามที่เราต้องการ เว็บผมเป็นภาษาไทย เลยต้องเลือกภาษาไทย เสร็จแล้วคลิก Next step

  5. ถัดมาจะมีคำถามให้เราติ๊กเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ app ว่าเนื้อหาภายใน app เป็นของเราแน่นะ ขายได้แน่นะ และเนื้อหาเป็นไปตามระเบียบ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศิลธรรม ไม่ผิดลิขสิทธ์ ถ้าไม่แน่ใจอ่าน Guidelines ดูก่อนได้

    ตรวจสอบความถูกต้อง

  6. ขั้นตอนถัดไปจะเป็นถามว่า จะให้โฆษณาแสดงที่ app ของคุณหรือไม่ อันนี้น่าใจว่า Nokia มีโฆษณาในมือถือด้วย แต่เรายังไม่มี ID ของโฆษณา และไม่อยากเอาเข้ามาด้วย แต่มันอนุญาติให้เราข้าม step นี้ไปได้ ก็คลิก Next step ไป

    ตำแหน่งของโฆษณา จะอยู่ด้านล่างของจอ

  7. ส่วนสุดท้ายจะเป็นการใส่คำอธิบายรายละเอียด แนะนำ app ที่ทำขึ้น ตอนทำครั้งแรกจะมีให้แนะนำ publisher ด้วย
    App description

    อันนี้เป็นตัวที่สองที่ผมลองทำมันเลยไม่มีช่องรายละเอียดนั้นให้ใส่ เลือกหมวดหมู่ของ app และมีให้ตั้งราคาของ app ที่ทำขึ้นด้วย ราคาสูงสุดคือ 5 EUR แต่ของเราไม่มีอะไรมาก ก็ต้อง Free อยู่แล้ว

  8. เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะกลับมาที่หน้า Dashboard
    สร้างเสร็จแล้ว ตรวจสอบและรองรันดู

    App ใหม่ที่เราสร้างขึ้นมาก็ปรากฏขึ้นมา มีให้เราลองตรวจสอบรันดูผ่าน Emulator ก่อน ว่าเป็นไปตามที่ต้องการ ถ้าไม่พอใจก็คลิก Edit เข้าไปแก้ไข เมื่อทุกอย่างโอเค ก็คลิก Submit to Ovi store ให้เขาตรวจสอบ และรอว่าจะผ่านไหม

มันง่าย เร็ว ฟรี ที่จริงถึงผมไม่เขียนละเอียดขนาดนี้เชื่อว่าทุกคนน่าจะทำได้ มันเหมือนลงโปรแกรมอะไรสักอย่างคลิก next ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เสร็จเอง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนี้คิดว่าอาจจะทำให้ Ovi Store มี App เพิ่มขึ้น แต่มันจะเป็นขยะไปหรือปล่าวก็ไม่รู้ แต่ที่น่าสนใจคือมีโฆษณาใน app ด้วย ถ้าใครทำเนื้อหาดี มีคนโหลดไปใช้เยอะ น่าจะเป็นที่ทำเงินอีกที่เลยทีเดียว โฆษณาในมือถือตอนนี้ทุกเจ้า Apple ,Google,Nokia กระโดดเข้ามาทุกเจ้าแล้ว สุดท้าย ใครสนใจอยากมี App เป็นของตัวเองแบบง่ายๆ เร็วๆ เข้าไปลองเล่นดูครับ ผมว่าไม่ถึง 10 นาทีเสร็จ

App ที่ผมส่งให้พิจารณาและผ่านให้ขึ้น Ovi Store แล้วครับ

อ้างอิง : https://oviappwizard.com

iPhone OS 4.0 มี multitasking แล้ว แต่รุ่นเก่าใช้ไม่ได้

iPhone OS 4

Apple เปิดตัว iPhone OS 4.0 วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา มีการเพิ่ม feature ใหม่กว่า 100 รายการ และ 1,500 APIs ตัวเด่นของ iPhone OS 4.0  steve jobs เรียกมันเป็น tentpoles มีอยู่ 7 อัน

  1. Multitasking : multitasking มีปัญหาทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วและความสามารถในการทำงานลดลงเหมือนเปิดโปรดแกรมหลายๆตัวต้องแบ่งทรัพยากรไปให้ตัวอื่นด้วย แต่ Apple บอกว่าเราสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้  ด้วยขุมพลังของ 7 APIs
    – Background Audio : โปรแกรมที่ใช้เสียงก็เรียกใช้มัน แสดงตัวอย่าง Pandora ฟังเพลงอยู่ ก็ไปเปิดดูเว็บได้
    -Voice over IP : โปรแกรม Skype โทรไปเล่นเว็บไปได้เลย
    – Background Location : โปรแกรมนำทางดังๆอย่าง Tomtom เปิดไว้แล้วฟังเพลง ก็ส่งเสียงขึ้นมาให้เลี้ยวได้
    -Push notification : การแจ้งเตือนจากผู้ให้บริการ จะถูกส่งไปที่  server ของ Apple ก่อนแล้วค่อยเข้ามาที่เครื่อง
    -Local notification : การแจ้งเตือนเองในเครื่องเช่นปฎิทิน ตารางเวลา
    -Task Completion : ทำงานที่ค้างให้เสร็จก่อนปิดตัว
    -Fast App Switching : เก็บข้อมูลของโปรแกรมไว้ เวลาเปลี่ยน Apps ใช้งานจะเรียกได้เร็วขึ้น
    iPhone OS 4.0 : Multitasking APIs

    การเรียกใช้งาน เพื่อเปลี่ยน apps อื่นที่รันอยู่ กดปุ่ม home ต่อเนื่องสองครั้ง feature นี้ใช้ได้เฉพาะ iPhone 3GS กับ iPod Touch ตัวล่าสุด

    iPhone OS 4.0 -Multitasking

  2. Folder : สามารถสร้าง Folder ขึ้นมาแล้ว ลาก apps ต่างๆเข้าไปอยู่ภานใน เป็นการแยกกลุ่ม apps ให้เป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการเรียกใช้งาน ยัดเข้าไปได้มากกว่า 2000 apps

    iPhone OS 4.0 - Apps Folder

  3. Enhanced Mail : สามารถเพิ่มหลายบัญชีเข้าไปได้  รวมกล่องจดหมายแต่ละบัญชีในหน้าเดียวกัน (ดังรูป) แสดงข้อความแบบ thread เหมือนใน Gmail รวมอีเมลในหัวข้อเดียวกัน เปิดไฟล์ที่แนบมาด้วยได้

    iPhone OS 4.0 : Unified inbox

  4. iBooks : ขายหนังสือ เมื่อมีการสั่งซื้อผ่านทาง iBooks จะ Sync ไปอ่านได้ทั้งใน iPad/iPod/iPhone

    iPhone OS 4.0 : iBooks

  5. Enterprise features: มี Exchange accounts ได้หลายบัญชี เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ใช้ Exchange Server 2010 ได้ และรองรับการใช้ VPN

    iPhone OS 4.0 : Enterprise

  6. Game Center: มันคือ social gaming network เล่นกันหลายคน เหมือน Xbox Live ของ microsoft ชวนเพื่อนได้ จัดการแข่งขันได้ พูดคุยกัน แนะนำเกม

    iPhone OS 4.0 : Game Center

  7. iAds : mobile advertising การทำโฆษณาในมือถือ Apple พลาด AdMob ไป แต่คราวนี้ทำขึ้นมาเองเลย ใน Apps store มีโปรแกรมฟรีเยอะมาก สามารถใส่โฆษณาในนั้นได้  โฆษณาจะมี Emotion และ interactive ด้วยความสามารถของ HTML5 Apple จะเป็นคนขายโฆษณาเมื่อมีรายได้จะให้นักพัฒนา 60% ของรายได้ที่ได้มา เป็นการตลาดที่น่าสนใจมาก

    iPhone OS 4.0 : iAd

iPhone OS 4.0 สำหรับ iPhone กับ iPod Touch จะออกประมาณกลางปี ส่วนสำหรับ iPad จะมาประมาณปลายปี ตอนนี้สำหรับนักพัฒนาสามารถดาวน์โหลด iPhone 4.0 beta SDK  ได้แล้ว ที่เว็บของ Apple  ย้ำอีกที multitasking มีเฉพาะใน iPhone 3GS กับ iPhone Touch ตัวล่าสุดเท่านั้น ส่วน feature อื่นสามารถใช้ได้ปกติ

ข้อมูล : https://www.engadget.com , https://www.downloadsquad.com

Exit mobile version