iPod Touch ทำอะไรได้บ้างเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ต

iPod Touch music player

ได้ iPod Touch มาโดยบังเอิญ ใช้มาได้เกือบจะ 3 เดือนแล้ว แต่ไม่ได้เขียนถึงมันเลย ตัวที่ได้มาเป็น iPod Touch Gen 4 สีขาว ความจุ 8 GB บางมากจำได้ว่าตอนที่จับครั้งแรกกลัวทำตกมากเพราะมันถือไม่กระชับมือเอาซะเลย แต่พอหาเคสมาใส่ก็ช่วยได้บ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ถือมันเท่าไหร่จะยัดมันลงกระเป๋ากางเกง บางทีไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามันอยู่ข้างในต้องเอามือล้วงดูบ่อยๆ หลังจากที่ใช้มานานพอสมควรเลยอยากจะบันทึกไว้ว่าได้ใช้งานมันคุ้มค่าดังราคาค่าตัวของมันหรือป่าว? เนื่องจาก iPod Touch สามารถที่จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ผ่านทาง Wifi เท่านั้น ผมจึงจะแบ่งสิ่งที่มันทำได้เป็นสองส่วนคือ แบบออฟไลน์ และแบบออนไลน์ ซึ่งแบบออนไลน์นั้นทำอะไรได้มากกว่าหลายเท่า แต่สิ่งที่เราได้ใช้งานจริงๆกลับเป็นส่วนที่อยู่ในแบบออฟไลน์ซะเป็นส่วนใหญ่ ลองมาดูกันครับว่าผมใช้มันทำอะไรบ้าง เมื่อไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ต

iPod Touch ทำอะไรได้บ้างเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์)

สิ่งที่มันทำได้ หรือทำได้ดีก็จะขึ้นกับ App ที่อยู่ในเครื่องทั้งที่เป็น App ที่มาพร้อมกับเครื่องและ App ที่โหลดเพิ่มเข้ามา แต่ที่ผมนึกออกและได้ใช้งานจริงๆมีดังนี้ครับ

  1. ฟังเพลง/ดูหนัง
    iPod Touch Gen4 8 GB

    แน่นอนว่ามันคือ iPod เครื่องเล่นมัลติมีเดีย เพลง หนัง นี้คือฟีเจอร์หลักของมัน และผมก็ใช้มันทำสิ่งนี้มากที่สุด เพลงอยู่ในเครื่องมีอยู่ราว 1,000 กว่าเพลง ใช้พื้นที่ไปราว 4 GB กินพื้นที่เยอะที่สุดจากพื้นที่ว่างที่มีให้ใช้งานจริง 6.4 GB แม้ว่าอยากจะฟังเพลงแบบ 320 kbps เป็นอย่างน้อย ซึ่งจะใส่เข้าไปได้ราว 200-300 เพลง ด้วยข้อจำกัดเรื่องของความจุจำกัดเลยต้อง convert ไฟล์ระดับ flac ในเครื่องเป็น 128 kbps AAC แต่เท่าที่ฟังดูก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก ผมใช้ร่วมกับหูฟัง Sony MDRZX300 นะครับ ประทับใจกับหูฟังตัวนี้มาก เสียงที่ได้กำลังดีเลย ทั้งเบส เสียงแหลม เสียงกลาง เยี่ยม! ส่วนหนังนั้นต้องใช้โปรแกรม HandBrake ช่วยแปลงไฟล์หนังก่อนจึงจะเอาเข้า iPod ได้ เอาลงทดสอบดูแล้วก็เอาออก(เปลืองเนื้อที่) ระบบสั่งงานด้วยเสียงของ iPod ถูกผมใช้งานเพื่อเปิดเพลงมากที่สุด สะดวกมากตอนที่เรามีเพลงในเครื่องเยอะๆ ทำเป็น playlist ไว้ แล้วเลือกเปิดตามใจ ณ ขณะนั้นๆ ตัวอย่างคำสั่งที่ใช้บ่อยที่สุด (กดปุ่ม home ค้างไว้ 3 วินาที) “play playlist …ชื่อ playlist…”

  2. เล่นเกม
    เกม cut the robe

    เกมใน iPod Touch ของผมมีไม่เยอะส่วนใหญ่เล่นจบแล้วก็ลบออก บางตัวยอมจ่ายตังค์ซื้อ ตัวอย่างเกมที่เล่นแล้วชอบ Fruit Ninja, Cut the Robe, Sudoku, Tap Tap Revenge, Infinity Blade, Jetpack joyride เป็นต้น

  3. วาดรูป/ตกแต่งภาพ
    วาดใน SketchBook

    มีโปรแกรมสองตัวที่เอาไว้วาดรูปเล่นคือ DrawCast (ฟรี) และ SketchBook ตัวนี้ยอมจ่ายตังค์ซื้อมาราคาไม่แพง แต่ทำอะไรได้เยอะมาก ถือว่าคุ้มเลยทีเดียว

  4. กล้องถ่ายรูป/วีดีโอ/อัดเสียง
    Photosynth ถ่ายภาพแบบรอบทิศทาง

    กล้องของ iPod ความละเอียด ประมาณ 1.2 MB ถ่ายภาพนิ่งได้ห่วย ถ่ายวีดีโอได้ในระดับ HD ใช้ถ่ายเล่นๆได้ จับ iPod ขึ้นมาสไลด์แล้วถ่ายได้เลย มีโหมด unlock เข้าแอฟถ่ายภาพได้เลย แต่ส่วนใหญ่จะใช้ผ่านทาง App ถ่ายภาพแปลกๆเสียมากกว่า เช่น DMD ทำเป็นภาพ 360 องศา, Photosynth ทำเป็นภาพกึ่งๆ 3D และ Instagram ที่เอาไว้ใส่ฟิวเตอร์แบบเท่ๆ ภาพที่ถ่ายใน iPod Touch ผมทำให้ Sync กับ iCloud ไว้เมื่อต่อเน็ตมันจะอัพโหลดอัตโนมัติสะดวกดี ส่วนการอัดเสียงไม่ค่อยได้ใช้งานเลย เคยลองอัดครั้งหนึ่ง เสียงก็พอใช้ได้ ไมค์ของ iPod Touch อยู่ข้างๆกล้องด้านหลังเครื่องเป็นรูเล็กๆ ถ้าจะอัดเสียงก็ต้องเอารูนั้นไปให้ใกล้แหล่งกำเนิดเสียง รวมทั้งตอนสั่งงานด้วยเสียงเช่นกันก็ต้องเอาไปให้ใกล้ๆไมค์

  5. สมุดโน๊ต/เตือนความจำ
    บันทึกส่วนตัว

    กลายเป็นว่าจดอะไรลง iPod เยอะมากเพราะเวลาคิดอะไรออก อยากจะจดไว้ที่ไหนสักที่แบบเร่งด่วน ทิ้งไว้นานกลัวลืม iPod Touch กลายเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้มือที่สุด จดง่ายสุด แถม Sync ขึ้น Google กับ iCloud ไว้ให้ด้วย พวกหมายเลขอะไรแปลกๆที่ไม่รู้จะจดไว้ที่ไหน จะอยู่ในนี้หมด เช่น รหัส wifi , serial ของกล้อง, หมายเลขสมุดบัญชีธนาคาร ฯลฯ ส่วน Reminder นั้นใช้บ้างเป็นบางครั้ง นานๆเปิดเข้าไปดูที ส่วนใหญ่เป็นการเตือนความจำว่าอยากทำอะไร แต่ไม่ได้สำคัญมากนัก เช่นเขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีกว่า คือไม่เขียนก็ไม่เสียหายอะไร พอทำเสร็จก็ค่อยลากทิ้ง

  6. ดิกชันน่ารี
    ดิกชันนารี ใน iPod Touch

    ใน iPod Touch ของผมใช้ดิกชันน่ารีของ Longdo Dict ซึ่งแปลได้ทั้งอังกฤษ-ไทย และไทย-อังกฤษ ซึ่งอันหลังต้องต่อเน็ตก่อนถึงจะทำงานได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้งาน อังกฤษ-ไทย โดยเฉพาะตอนนอนดูหนังในคอม จะ pause หนังไว้เพื่อมาเปิดศัพท์เนี้ยก็ขัดจังหวะเกิดไป ดิกชันน่ารีใน iPod Touch เลยกลายเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่ต้องถือไว้ตอนดูหนัง

  7. เครื่องคิดเลข
    เครื่องคิดเลขอย่างง่าย

    เครื่องคิดเลขใน iPod Touchจะถูกใช้งานมากที่สุด ตอนหลังอาหารมื้อที่ไปกันหลายคน แล้วต้องช่วยกันจ่าย เคยโดนเพื่อนร่วมโต๊ะว่าเอาแบบปนฮานิดๆว่า “พวกคุณจบระดับมาสเตอร์กันทุกคนค่าอาหารแค่นี้ต้องใช้เครื่องคิดเลขช่วยทุกทีเลยนะ” แล้วก็ฮากัน ก็มันจริงนิ พอเราไม่ใช้งานมัน(สมอง)บ่อยๆ มันจะคิดช้ามากแถมยังไม่แม่นยำอีกต่างหาก เครื่องคิดเลขเลยเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตไปแล้ว ในเครื่องมีเครื่องคิดเลขแบบ Pro ด้วย ซึ่งมีพวกการคำนวณทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แต่นานๆใช้ที

  8. ปฏิทิน/นาฬิกาจับเวลา
    นาฬิกาจับเวลา

    ส่วนของปฏิทิน/นาฬิกาปลุก/จับเวลา อาจจะไม่ค่อยได้ใช้บ่อย แต่ก็มีประโยชน์มาก ปฏิทินใน iPod Touch ผม Sync ไว้กับ Google Calendar ซึ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นทั้งหมด นัดหมาย กำหนดการ วันสำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้งานบนคอม แต่ใน iPod Touch เปิดใช้บ้างตอนไม่ได้อยู่หน้าคอม ส่วนนาฬิกาจับเวลาตัวนี้ถูกเรียกใช้บ่อยๆช่วงทำแล็บเปียก ที่จำเป็นต้องจับเวลาแบบเป๊ะๆ

  9. อ่านหนังสือดิจิตอล
    iBook อ่านหนังสือดิจิตอล

    เคยโหลดหนังสือเข้ามาอ่าน 2-3 เล่ม แต่อ่านไม่จบซักเล่มเพราะมันจอเล็กและเวลาจ้องนานๆปวดตา รวมทั้งเวลาที่อ่านหนังสือส่วนใหญ่อยู่บนรถซะเป็นส่วนใหญ่ เวียนหัวได้อีก ที่ยังเหลือค้างไว้ในเครื่องเลยเป็นแค่หนังสือภาพ พวก CG, Computer Art เป็นส่วนใหญ่

  10. รีโมท Keynote/iTunes
    ใช้ iPod ควบคุมการเปลี่ยนสไลด์ในคอม

    iPod Touch สามารถเอามาทำเป็นเครื่องเลื่อนสไลด์ได้ด้วยนะ ต้องโหลด App ชื่อ Remote (เสียตังค์)มาก่อน แล้วใช้ร่วมกับ Keynote ในเครื่อง Mac OSX ข้อดีคือเราสามารถควบคุมการนำเสนอผ่านทาง iPod Touch ได้ มีโน๊ตให้ดูได้ด้วย เคยทำอยู่ครั้งหนึ่งใช้เลื่อนสไลด์อย่างเดียว ดูโน๊ตด้านล่างไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องก้มไปดูอาจทำให้คนพรีเซ็นต์ดูไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนการใช้เป็นรีโมทควบคุม iTunes ใช้แบบนี้ครับ เปิดคอมไว้ เสียบลำโพง เปิดเพลงให้ดังก้องบ้าน วาง iPod Touch ไว้ใกล้ตัว นั่งพักที่มุมไหนซักมุมของห้อง อยากเปลี่ยนเพลง หรือเลือกเพลงที่ชอบผ่านทาง iPod Touch ก็จิ้มเลย เยี่ยมไหมล่ะ

ยังมีอีกหลายอย่างที่มันทำได้ เช่น การเชื่อมกับรองเท้า Nike ตัดต่อวีดีโอ ทำเอกสาร แต่ที่เอามาแชร์ในโพสนี้เป็นอันที่เราได้ใช้จริงๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆบ้างก็ได้ ลองคิดดูว่า iPod Touch ในมือของคุณใช้ทำอะไรบ้าง แล้วเอามาแชร์กันครับ

วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac

Dropbox

ผมมี Dropbox อยู่สองบัญชี อันแรกเป็นตัวที่ใช้บ่อย ทำงานต่างๆบนตัวนี้เป็นหลัก(24 GB) ส่วนอีกบัญชี(13 GB) ไฟล์ที่นานๆจะถูกเรียกใช้งานสักครั้งจะถูกเก็บไว้ที่นี้ ตอนใช้ Windows จะใช้วีธีตามลิงค์นี้ในการเปิดใช้งานสองบัญชีพร้อมกัน ส่วนการใช้บน Mac OS X ทำได้ง่ายกว่ามาก ดังนี้ครับ

วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac

  1. เปิดโปรแกรม Terminal
  2. พิมพ์คำสั่ง
    bash

    กด enter

  3. ใช้คำสั่ง(copy ไปวาง)
    HOME=$HOME/.dropbox-alt /Applications/Dropbox.app/Contents/MacOS/Dropbox &

    กด enter

  4. dropbox อีกบัญชีจะโชว์ขึ้นมาบน menu bar แล้ว
    Dropbox สองบัญชีรันพร้อมกัน

ข้อมูลจาก: https://www.makeuseof.com/

วิธีลบ Windows Applications ออกจาก Spotlight

เครื่องผมลง Parallels desktop ไว้ด้วย หลักๆใช้งานทางด้านเอกสารพวก MS Office ภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษนั้นทำใน MS Office for Mac พอได้ สิ่งที่น่ารำคาญอย่างหนึ่งคือ Windows Applications มันจะเข้ามาอยู่ใน Spotlight ด้วย

จึงค้นหาวิธีซ่อน Windows Applications ออกจาก Spotlight ไปเจอที่นี้ ลองทำตามแล้วก็ได้ผลตามที่หวัง

ตัวอย่างการค้นหาที่มี Windows Applications เข้ามาด้วย โดยเฉพาะจะเปิด terminal ใน OSX ตัวที่อยากเปิดดันไม่อยู่ในลิตส์ซะนี้

ผลการค้นหาที่มี Windows Applications

จะเอา Applications พวกนี้ออกก็คลิกไปที่ Spotlight Preferences อยู่ด้านล่าง หรือจะเข้าผ่านทาง System Preferences ก็ได้

พอเข้าไปแล้วจะตั้งให้ Spotlight ค้นหาเฉพาะไฟล์อะไรบ้างก็กำหนดจากส่วนี้ แต่ถ้าอยากจะเอา Windows Applications ออกให้เข้าไปที่ Privacy

Spotlight setting

เมื่อเข้าไปที่ Privacy  คลิกที่ปุ่มบวก คือเราจะเพิ่มส่วนที่ไม่ต้องการให้แสดงผลเพิ่มเข้าไป

เพิ่มส่วนที่ไม่ต้องการให้แสดงผลใน Spotlight

จากนั้นเลือกโฟล์เดอร์ที่เราไม่ต้องการให้แสดงผลใน Spotlight ในที่นี้เราไม่ต้อง Windows Applications ก็เลือกเพิ่มเข้ามา

เลือกโฟล์เดอร์ที่ไม่ต้องการให้แสดงผลใน Spotlight

ตัว Windows Applications อยู่ในโฟว์เดอร์ชื่อ Application(Parallels)

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ลองค้นหาดูอีกครั้ง

ค้นหา terminal

ผลการค้นหาไม่มี Windows Applications มากวนใจอีกแล้วครับ ที่จริงทิปนี้มันง่ายและสั้นมาก เป็นการอธิบายจากประโยคแค่สองบรรทัดของคนตอบคำถามจากที่มาที่ใส่ลิงค์ไว้ข้างบน แต่ผมอยากอธิบายแบบละเอียดและเห็นภาพ คนอื่นที่ทำตามจะได้ทำได้ง่ายๆ

สวัสดีครับ

X Lossless Decoder(XLD) แปลงไฟล์เสียง flec เป็น m4a (Apple lossless)

X Lossless Decoder

X Lossless Decoder หรือ XLD เป็นโปรแกรมใช้แปลงไฟล์เสียงใน Mac OS X ใช้โปรแกรมนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว หลักๆใช้แปลงไฟล์เพลงนามสกุล Flec เป็น m4a (Apple lossless) หรือทำ CD Rip โปรแกรมใช้ง่าย ฟรี กินพื้นที่น้อย แปลงได้เร็วดี

ตอนใช้งานครั้งแรกเข้าไปตั้งค่าใน Preference ก่อนว่าต้องการแปลงไปเป็นไฟล์อะไร จากนั้นเปิดไฟล์ที่จะแปลง โปรแกรมจะแปลงให้อัตโนมัติ

ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.macupdate.com/app/mac/23430/x-lossless-decoder

เปิดการทำงาน Find My Mac และทดลองใช้งาน

ฟีเจอร์ตัวหนึ่งที่มาพร้อมกับ OSX Lion 10.7.2 คือ iCloud ซึ่งเป็นบริการเก็บข้อมูลไว้บนคอมพิวเตอร์กลุ่มเมฆ ลองดูวิธีการเปิดการใช้งานที่บล็อกอันเก่าที่ วิธีติดตั้ง iCloud ในเครื่อง Mac และ Windows หนึ่งในนั้นจะมี Find My Mac ที่จะช่วยให้เราติดตามตัวเครื่อง Mac ของเราได้ เมื่อโดนขโมย เหมือนกับ Find My iPhone นั้นเอง และสามารถควบคุมเครื่องในระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เล็กน้อย ได้แก่ ส่งข้อความไปที่เครือง สั่งล็อกเครื่อง หรือลบข้อมูลในเครื่อง Mac ของเรา ในกรณีที่คุณอาจมีข้อมูลลับที่ไม่ต้องการให้ใครเห็นก็ทำได้

เครื่องของผมหลังจากได้อัพเดตเครื่องให้เป็น 10.7.2 จะมีฟีเจอร์ iCloud เพิ่มเข้ามาแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดการทำงาน Find My Mac ได้ ทิ้งปัญหานี้ไว้นานแล้ว เมื่อวานเลยนั่งดูว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง จึงเกิดโพสนี้ขึ้นมา

เปิดการทำงานของ Find My Mac ไม่ได้

มันฟ้องให้อัพเดต Recovery system ตลอดเรา แม้ว่าเราจะสั่งอัพเดตไปแล้วก็เป็นเหมือนเดิม จึงลองค้นดูว่ามีคนเจอปัญหาในลักษณะนี้บ้างหรือไม่ พบว่ามีคนเจอปัญหาแบบนี้เยอะพอสมควร เลยลองเลือกทำตามขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาของหลายๆเว็บพบว่า ที่นีให้รายละเอียดค่อนข้างดี https://www.macosliontips.com ทำตามแล้วมันสามารถแก้ไขปัญหาของเราได้เลยเอามาเล่าต่อ

วิธีแก้ไขปัญหาเปิดการทำงาน Find My Mac ไม่ได้

จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาหลายวิธี บางคนแก้ไขได้ตั้งแต่วิธีแรก ลองทำตามไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าทั้งหมดนี้แก้ไขไม่ได้ ต้อง install OSX Lion ใหม่เลยแบบ Clean install ซึ่งเป็นอะไรที่ขี้เกียจมาก โชคดีของผมแก้ไขได้ในวิธีที่ 3

วิธีที่ 1 Enable Location Services

ให้เปิดใช้งาน Location Services ซึ่ง Find My Mac ต้องการใช้งานเพื่อระบุตำแหน่งของเครื่อง วิธีเปิดใช้งาน เข้าไปที่ System Preferences เลือก Security & Privacy ดูว่าที่ Enable Location Services ถูกติ๊กหรือไม่ ถ้ายังให้ติ๊กเลือกเพื่อเปิดการทำงาน แล้วลองกลับไป iCloud setting อีกครั้งเพื่อดูว่าสามารถเปิดการทำงานของ Find My Mac ได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ต้องดูวิธีแก้ไขตัวต่อไป

Enable Location Services

วิธีที่ 2 Reinstall Lion Recovery Update

บางทีการเชื่อมต่อกับ server ตัวอัพเดตอาจจะมีปัญหา ดังนั้นลองดาวน์โหลด ตัว Recovery System มาติดตั้งเอง  https://support.apple.com/kb/DL1464 เมื่อติดตั้งเสร็จ restart รอบหนึ่งแล้ว เข้าไปดูว่าเปิดการทำงานของ Find My Mac ได้หรือยัง ถ้ายังดูขั้นตอนต่อไป

วิธีที่ 3 Repair Disk and Reinstall Client Combo Update

วิธีสุดท้ายนี้ค่อนข้างยากขึ้นนิดหนึ่ง นั้นคือสั่ง repair disk และลงตัวอัพเดต OSX Lion 10.7.2 ใหม่ แบบ Client Combo

  1. สั่ง Verify Disk โดยเข้าไปที่ Disk Utility (/Applications/Utilities) คลิกที่ฮาร์ตดิสที่ติดตั้ง OSX อยู่ แล้วคลิก Verify Disk อาจเจอข้อความ error ขึ้นมา

    สั่งให้ทำการ verify disk

  2. restart เครื่อง แล้วกดปุ่ม alt/option ค้างไว้ เลือกบูธใน recovery disk
    บูธเข้า Recovery HD

    จากนั้นเมื่อมี Mac OS X Utilities ปรากฏขึ้นมาให้เลือก Disk Utility

    เลือก Disk Utilites

    เลือก Disk ที่ลง OSX แล้วกด Repair Disk

    กด Repair Disk

    เมื่อ repair เสร็จแล้ว ให้รีบูตอีกครั้ง

  3. โหลดตัว OS X Lion Update 10.7.2 Client Combo มา https://support.apple.com/kb/DL1459 แล้วกดติดตั้ง เสร็จแล้ว restart อีกครั้ง
  4. เข้าไปดูที่ iCloud setting พบว่าตอนนี้สามารถ เปิดการทำงานของ Find My Mac ได้แล้ว(เย้ เย้)
    เปิดการทำงาน Find My Mac

    ขั้นตอนการแก้ไขในกรณีที่เปิดการทำงาน Find My Mac ไม่ได้ จบลงด้วยดี ถ้าใครที่ทำแล้วยังไม่สามารถเปิดการทำงานได้ อยากให้ลองรีสตาร์ทเครื่องอีกสักรอบสองรอบ ถ้ายังไม่ได้ทางสุดท้ายคือลง OSX Lion ใหม่แบบ clean install

ทดสอบการใช้งาน Find My Mac

หลังจากเปิดใช้งานแล้ว มาทดสอบดูสักเล็กน้อยในการใช้งาน Find My Mac

  1. เข้าไปที่ iCloud.com ล็อกอินด้วย Apple ID
  2. เข้าไปที่ Find My iPhone (ไม่ต้องงงครับมันอยู่ที่หน้าเดียวกัน)

    iCloud.com

  3. จะเห็นว่าเครื่องของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน

    ตำแหน่งของเครื่องปัจจุบัน

  4. นอกจากนั้นเรายังสามารถทำการควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ดังนี้ครับ
    คำสั่งต่างๆที่ทำได้

    ส่งข้อความไปที่เครื่องพร้อมเสียงเตือน ล็อกเครื่อง ลบข้อมูล(ต้องสั่งล็อกเครื่องก่อน) เตือนให้ส่งอีเมลหาเราเมื่อตรวจพบเครื่อง

    หน้าสั่งล็อกเครื่อง

  5.  ทดลองส่ง ข้อความดูครับ
    ลองเขียนข้อความ แล้วกดส่งดู

    เมื่อมันเข้ามาที่เครื่องจะมีข้อความที่เราเขียนและมีเสียงเตือนขึ้นดังขึ้น(เสียงน่ารำคาญมาก) ทดลองใช้ภาษาไทยแล้ว ทำงานได้ปกติดีครับ

    ข้อความที่ส่งเข้าเครื่อง

พอเปิดใช้งาน Find My Mac ได้แล้ว หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ได้ใช้งานมันจริงๆนะ(ไม่อยากทำเครื่องหาย) แต่อย่างไรก็ตามมีไว้ก็เป็นเรื่องดี ถ้าหายจริงๆก็ยังพอมีเครื่องมือช่วยติดตาม หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านเช่นกันครับ

วิธีติดตั้ง iCloud ในเครื่อง Mac และ Windows

iCloud เปิดให้ใช้งานวันนี้แล้ว 12 ต.ค. 2011 นิยามง่ายๆของมันคือ “เก็บทุกอย่างไว้บนเมฆ เรียกใช้งานได้ทุกที่” เช่น ถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วไปเปิดดูที่ iPad หรือ Mac ได้เลย มันอัพโหลดขึ้นเองอัตโนมัติ รวมทั้งปฎิทิน แอพพลิเคชั่น เพลง หนังสือ อีเมล เบอร์โทร Bookmark หน้าเว็บ จะเพิ่มลดข้อมูลที่ไหน ระบบจะทำให้ข้อมูลทุกที่ถูกอัพเดตให้เหมือนกัน การจะเริ่มใช้งานจะต้องตั้งค่านิดหน่อย ซึ่งรองรับอุปกรณ์หลัก 3 ตัว คือ กลุ่มของ iOS, OSX, Windows แบบฟรีมีพื้นที่ให้ 5 GB

วิธีติดตั้ง iCloud

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX Lion

  1. อัพเดต Mac OSX Lion ล่าสุดก่อน
  2. เข้าไปที่ System Preferences ในส่วนของ Internet & Wireless เลือก iCloud (ถ้ายังไม่อัพเดตจะไม่มีนะ)

    ติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX

  3. ล็อกอินด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Windows

  1. ดาวน์โหลด iCloud Control Panel for Windows มาติดตั้ง

    การติดตั้ง iCloud ใน Windows

  2. ล็อกอินใช้งานด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน iPhone & iPad & iPod touch

  1. อัพเดตให้เป็น iOS 5
  2. เปิดเครื่องครั้งแรก เครื่องจะให้ตั้งค่า หรือถ้าเข้าไปตั้งที่ setting ใน Tab iCloud

    การติดตั้ง iCloud ใน iOS devices

เมื่อเราติดตั้งผ่านทางอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งแล้ว เราจะสามารถเข้าใช้งานผ่านทางหน้าเว็บได้ที่ www.iCloud.com

iCloud.com

ข้อมูลจาก: https://www.apple.com/icloud/setup/

การตั้งค่าปริ้นเตอร์ ให้พิมพ์หน้าหลังอัตโนมัติ

อันนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ของผมเลย เพิ่งว่าเครื่องพิมพ์บางรุ่นมันสั่งให้พิมพ์สองหน้าแบบอัตโนมัติได้เลย แต่ก่อนเคยทำแบบนี้ครับ พิมพ์หน้าคี่ก่อน แล้วค่อยเอามาพิมพ์หน้าคู่อีกที ฟีเจอร์นี้น่าจะมีมานานแล้วแต่คงเพราะผมยังไม่มีโอกาสได้ใช้เครื่องพิมพ์ราคาแพงที่ทำแบบนี้ได้

ก่อนจะตั้งค่าก็ต้องดูก่อนว่าเครื่องพิมพ์ของเรารองรับความสามารถนี้หรือเปล่า เครื่องที่ผมใช้เป็นยี่ห้อ HP (HP Color LaserJet CM2320fxi MFP) ในหน้าแสดงรายละเอียดของฟีเจอร์นี้ มีบอกว่ารุ่นไหนที่รองรับการพิมพ์หน้าหลังแบบอัตโนมัติได้บ้าง (คลิกลิงค์นี้) เครื่องพิมพ์ยี่ห้ออื่นไม่รู้มีรุ่นไหนบ้างที่รองรับต้องลองเช็คดูก่อนนะครับ

วิธีการตั้งการค่าใน Windows ค่อนข้างทำง่าย มีวิดีโอสอนด้วยครับ ส่วนใน Mac OS X 10.6 ยุ่งยากพอควร(เพิ่งใช้) เลยขอบันทึกเก็บไว้เผื่อได้ดูเองภายหลัง

การตั้งค่าเครื่องปรินเตอร์ให้พิมพ์หน้าหลังอัตโนมัติ

  1. ติดตั้งไดร์เวอร์ให้เรียบร้อยก่อน คือให้สั่งพิมพ์แบบปกติให้ได้ก่อน
  2. เข้าไปที่ System Preferences>>Print & Fax

    เลือก Print&Fax

  3. จากนั้นไปคลิกที่เครื่องปริ้นเตอร์ของเรา เลือก Options & Supplies…

    เลือก Option ของเครื่องปริ้นเตอร์

  4. แล้วเลือกที่ tab ของ Driver ติ๊กเลือก Duplex Unit

    เลือกที่ Duplex

  5. ต่อจากนั้น ก็ไปที่เอกสารที่ต้องการสั่งพิมพ์ แล้วก็สั่งพิมพ์ตามปกติ เลือกเครื่องปริ้นเตอร์ของเรา จะพบว่ามีช่อง Two-Sided เพิ่มขึ้นมา (ถ้าไม่ทำตามข้อที่ 1-4 มันจะไม่มี) ด้านล่างเลือกเป็น Long หรือ Short Egde binding ขึ้นอยู่กับเอกสารที่เราจะพิมพ์
    – Long-Egde binding เป็นแบบเอกสารธรรมดาเปิดซ้ายไปขวา
    – Short-Egde binding เป็นเหมือนปฏิทินตั้งโต๊ะที่เปิดขึ้นด้านบน 

    สั่งให้พิมพ์หน้า-หลัง

  6. เสร็จแล้ว สั่งพิมพ์ได้เลย แล้วก็ save การตั้งค่าไว้ใช้ครั้งต่อไปด้วยนะ จะได้สะดวกเมื่อจะสั่งพิมพ์อีก

ประสบการณ์ใช้งาน Macbook Pro ในหนึ่งสัปดาห์

Macbook Pro

ตอนนี้ใช้ Macbook Pro เข้าสัปดาห์ที่สองแล้ว เลยขอเขียนถึงมันหน่อย ตัวที่ใช้เป็น Macbook Pro รุ่นจอ 13 นิ้ว CPU เป็น Core i5 เขียนแบบนึกอะไรออกก็เขียนเลยนะ

  • แน่นอน! มันสวยมาก เครื่องแบบ Unibody ทำให้รู้สึกว่ามันแข็งแรงดี และทำความสะอาดง่าย ไม่ค่อยมีช่องรูเล็กๆ
  • การเปลี่ยนจาก Windows เป็น Mac OS X ไม่ยากเย็นอะไร ใช้ไปสัก 2-3 ชั่วโมงก็คุ้นเคยแล้ว โดยเฉพาะการใช้ TouchPad รู้สึกว่าใช้งานได้ดีกว่า Windows อยู่นิดหน่อยในแง่ของการควบคุมการทำงาน มีวิธีใช้เป็นวีดีโอให้ดูใน System Preference
  • ส่วนหนึ่งที่ทำให้การย้ายจาก Windows มาเป็น Mac OS X ทำได้ง่าย เพราะเราใช้ Freeware, Open source ในการทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ มีเวอร์ชั่นที่รองรับใน Mac OS X อยู่แล้ว ทำให้ตัวที่ใช้บ่อยๆ มาครบเกือบหมด อีกอย่างคือเคยใช้ Ubuntu อยู่พักหนึ่ง มีหลายส่วนที่เหมือนกัน
  • ตัว Port ต่างๆที่มากับเครื่อง ที่รู้สึกว่ายังไม่มีประโยชน์นะตอนนี้ คือ Thunderbolt มันคงมีประโยชน์ในบ้านเราน้อย ตัว USB 3.0 ดูจะเหมาะสมมากกว่า  อุตสาห์ซื่อ Ext HDD  USB 3.0 มา เครื่อง Macbook Pro ไม่รองรับ USB 3.0 ในขณะที่คู่แข่งฝั่ง PC ใส่มาหมดแล้ว Apple คงดัน Thunderbolt เต็มที แต่ต้องดูไปสักพักว่าจะเปลี่ยนไปใช้ USB 3.0 เมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนตัว 2.0 ให้เป็น 3.0 อุปกรณ์ต่างๆพวกเครื่องปรินต์วันหนึ่งคงต้องเปลี่ยนเหมือนกัน
  • Mac OS X เขียน Ext HDD ที่เป็น NTFS ไม่ได้ ต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ System บางตัว หรือง่ายกว่าคือลงโปรแกรมเสริม
  • หน้าสั่งปรินต์ใช้งานยากกว่าใน Windows มาก เพราะมันตั้งค่าได้ละเอียดมาก ต้องเลือกทีละเมนูไม่สะดวกเลย (ทางออกคือตั้งค่าไว้แล้ว save การตั้งค่าไว้ใช้ภายหลัง)
  • ถ้าคิดจริงๆแล้วราคามันไม่ต่างจาก PC เท่าไหร่ ถ้าเวลาซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไปคุณบวกค่า Windows OS เข้าไปด้วย แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มราคาสูงอยู่ดี ใช้บริการของ U-Store ที่จุฬาฯ ทำให้ได้ราคาถูกลงเยอะพอดูเลย
  • แบตเตอรีอยู่ได้ 7 ชั่วโมงจริงๆ Apple ไม่ได้โม้แต่อย่างใด โน๊คบุ๊คที่เคยใช้มาไม่มีเครื่องไหนอยู่ได้เกิน 3 ชั่วโมงเลย
  • อันนี้แปลกใจหน่อยๆ เวลาซื้อโน๊ตบุ๊คของ Apple ทำไมร้านต้องถามว่าจะติดฟิล์มหน้าจอไหม? ทีซื้อโน๊คบุ๊คทั่วไป(ราคาเท่ากัน)ไม่เห็นมีร้านไหนถามเรื่องติดฟิล์มเลย สองมาตรฐานชัดๆ
  • สิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุดของการเปลี่ยนจาก Windows ที่ใช้มาตลอดมาเป็น Mac OS X คือโปรแกรมหลักที่ใช้ทำงานว่าซับพอร์ต Mac OS X หรือไม่ และตัวที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุดคืองานเอกสารพวก MS Office แม้จะมี Office for Mac แต่ทำงานร่วมกันกับ Windows  ได้ห่วยมาก ทางออกของการแก้ไขปัญหานี้คือ ใช้ Parallel ลง Windows แล้วไปใช้งาน MS Office บน Windows  แทน
  • จากที่ลองใช้งานโปรแกรมทางด้าน Office พบว่าตัว LibreOffice ทำงานได้ดีกว่า OpenOffice ในหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการจัดรูปแบบ
  • ชุดโปรแกรม iWork ห่างชั้นจาก MS Office อยู่มาก พอจะสูสีหน่อยก็ Keynote กับ Power Point
  • ผมหาตัวโปรแกรมดูภาพแบบ Picasa Photo Viewer แบบใน Windows ที่ถูกใจไม่ได้เลย ที่อยากได้คือเมื่อเราเปิดโฟล์เดอร์รวมรูปขึ้นมา แล้วเปิดดู สามารถเลื่อนดูรูปต่อไปได้ แก้ไขได้เล็กน้อยเช่นหมุนภาพ ตัว Preview(เลื่อนดูรูปต่อไปไม่ได้) กับ iPhoto(ต้องคอย import เข้าไป) ทั้งสองตัวไม่ตอบโจทย์ของผม แต่มีตัวที่พอจะแก้ไขได้บ้างคือ Xee แต่ยังสู้ตัว Picasa Photo Viewer ไม่ได้
  • อันนี้ดี ตัวแชร์เน็ตผ่าน Wifi แบบที่โปรแกรม Conectify ใน Windows 7 พบว่าใน Mac OS X ทำได้ง่ายกว่ามาก
  • โปรแกรม Paint ที่ใช้ในการแต่งรูปเล็กน้อยๆเวลาจะเขียนบล็อก ใน Mac OS X ใช้ Paintbrush แทนได้ดี
  • App Store ของ Mac OS X มีโปรแกรมเยอะ ส่วนใหญ่ที่น่าใช้เป็นโปรแกรมเสียตังค์ทั้งนั้น(แหงอยู่แล้ว)
  • เล่น iOS emulator ได้แล้ว ว่างๆจะลองเขียน App ง่ายๆลองดู
  • ใช้เวลาบูธนานกว่า Windows 7 64 bit ใน Dell เครื่องก่อน แต่ตอนปิดเครื่องทำได้เร็วกว่า

โดยรวมตอนนี้ก็แฮปปี้ดีกับ Macbook Pro เครื่องนี้ คงจะอยู่กับเราไปอีกนาน ส่วนใครมีอะไรแนะนำ Mac user มือใหม่อย่างผม เชิญเขียนคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยนะครับ

MyPaint โปรแกรมฟรี สำหรับวาดการ์ตูนดิจิตอล

Mypaint

MyPaint เป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ส งานทางด้านกราฟิกทำภาพวาดดิจิตอล (Digital painters) ที่เร็ว และง่ายต่อการใช้งาน รองรับทั้ง Windows, Linux, Mac  ตัวติดตั้งโปรแกรมขนาดแค่ 8.6 MB ตัวโปรแกรมเบามาก รองรับการทำงานหลายเลเยอร์ เปิดโปรแกรมมาโล่งมาก มีพื้นที่ทำงานเยอะ เน้นวาดล้วนๆ หน้าจอเริ่มต้นโปรแกรมเปิดมามีกล่องเลือกสี กับกล่องเลือกแปรง เมนูด้านบนก็เล็กๆ ที่เหลือเป็นพื้นที่ไว้เขียน รองรับแรงกดของปากกา tablet

ด้วยรวมแล้วถูกใจมากเลย

หน้าเริ่มต้น MyPaint

ข้อดีอีกอย่างคือมีแปรงให้โหลดเพิ่มเติมอีกด้วย(Brush Packages) เมื่อทำงานเสร็จ save งานออกมาเป็นนามสกุล PNG, JPG, ORA ไฟล์นามสกุล ORA (OpenRaster File Format)ซึ่งเอาไปแก้ไขต่อได้ใน GIMP แต่ต้องลง Plugin เพิ่ม ดาวน์โหลดที่ https://registry.gimp.org

ดาวน์โหลดและรายละเอียด MyPaint https://mypaint.intilinux.com

via: https://www.howtogeek.com

Apple แจก Ebook 6 เล่ม สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมบน MAC และ iOS

Ebook for Mac and iOS developer

ช่วงคริสต์มาสนี้ Apple ใจดีแจก EBook 6 เล่มฟรี สำหรับนักพัฒนาทั้ง MAC และ iOS ดังนี้ครับ

  • Cocoa Fundamental’s Guide
  • The Objective-C Programming Language
  • iOS Application Programming Guide
  • Object Oriented Programming With Objective-C
  • iOS Technology Overview
  • iOS Human Interface Guidelines

สามารถดาวน์โหลด EBook เหล่านี้ได้แล้ว ด้วย iPhone, iPod touch หรือ iPad ผ่านทาง iBookstore ครับ ที่จริงมันไม่ใช่ของใหม่อะไร เพียงแต่มันเพิ่งถูกเอาขึ้น iBookstore เท่านั้นเอง สามารถหาอ่านแบบออนไลน์หรือดาวน์โหลด PDF ได้จาก https://developer.Apple.com/ ได้เช่นกัน

via: https://www.cultofmac.com

Exit mobile version