หนังสือ คนกล้าฝัน (8 นักฝัน) อ่านแล้วครับ

หนังสือ คนกล้าฝัน (8 นักฝัน)

ชื่อ คนกล้าฝัน (8 นักฝัน)
เขียนและเรียบเรียงโดย ทศ คณนาพร
223 หน้า พิมพ์ครั้งที่ 3 ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 2549
สำนักพิมพ์ RICH PUBLISHING
ราคา 120 บาท

หนังสือเล่มนี้ซื้อมือสองมาครับ หนังสือเก่าแต่ตัวอักษรคงไม่เก่าไปด้วยหรอกจริงไหม? หนังสือ คนกล้าฝัน (8 นักฝัน) เป็นการถ่ายทอดชีวิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิต มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปผ่านทางงานต่างๆที่เขาเหล่านั้นได้ทำ ได้สร้างสรรค์ออกมาสู่สาธารณะ ซึ่งก็เป็นกลุ่มของงานสร้างสรรค์ทั้งสิ้น (ศิลปะ เพลง รายการทีวี หนัง หนังสือ ฯลฯ) เป็นตัวอย่างของการหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ด้วยงานที่ตัวเองรัก นักฝันทั้ง 8 คน เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วผ่านทางสื่อต่าง ได้แก่

  1. อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
  2. ประภาส ชลศรานนท์
  3. วินทร์ เลียววาริณ
  4. วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์
  5. จิระ มะลิกุล
  6. สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ
  7. บอย โกสิยพงษ์
  8. สังคม ทองมี

สิ่งหนึ่งที่พอจะสรุปได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ คนที่ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก จะทำได้นาน มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ และจะไม่รู้สึกว่าตัวเองทำงานไม่หนัก(ในขณะที่คนอื่นมองว่าหนักมาก) ส่วนผลของ เงินทอง ชื่อเสียง ที่ได้มาเป็นเพียงส่วนเสริมที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้(แบบมั่งมี) ในขณะที่ยังทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปได้ตลอดไปเรื่อยๆ

ส่วนตัวผมเป็นแฟนหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ ซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะมีชื่อของเขาอยู่ปก แต่เนื้อเกี่ยวกับเขาส่วนใหญ่ก็พอๆรู้กันอยู่แล้ว แต่ก็ทำให้เราได้รู้จักนักฝันท่านอื่นๆเพิ่มมากขึ้นด้วย

ตอนที่เริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ไปสักพัก ก็ทำให้นึกถึงหนังสืออีกเล่มก่อนหน้าที่เพิ่งอ่านจบไป “หนังสือวิวาทะ” ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ บรรยายธรรมเรื่อง การทำงานด้วยจิตว่าง พอจะเชื่อมโยงกันได้ดีทีเดียวเลย หรือจะเรียกว่าเป็น กรณีศึกษาของกลุ่มผู้ทำงานด้วยจิตว่าง ก็คงจะพอเรียกได้อยู่บ้าง

ท้ายเล่มมีเกร็ดเล็กๆ จากนักฝันต่างๆทั่วโลกเพิ่มเข้ามาด้วยนิดหน่อย

สุดท้ายฝันอย่างเดียวคงไม่เกิดผล ต้องปฎิบัติด้วย จึงจะเกิดผล

 

หนังสือวิวาทะ (ความเห็นไม่ตรงกัน) ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ อ่านแล้วครับ

หนังสือวิวาทะ (ความเห็นไม่ตรงกัน) ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ

ชื่อ หนังสือวิวาทะ (ความเห็นไม่ตรงกัน) ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ
รวบรวมโดย อรุณ เวชสุวรรณ
232 หน้า พิมพ์ครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2554) ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 2520
สำนักพิมพ์ อรุณวิทยา
ราคา 120 บาท

หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมการถามตอบกันระหว่างผู้บรรยายธรรมกับผู้สนทนา ซักไซร้ สอบถามเพื่อเพิ่มความกระจ่างมากขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ธรรมาสากัจฉา สถานที่จัดบรรยายอยู่ที่ หอ ประชุม ครุสภา โดยผู้บรรยาธรรมคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ มีหัวข้อบรรยายคือ ธรรมในฐานะเครื่องมือ สร้างคน สร้างชาติ และสร้างโลก แบ่งเป็น 3 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 หัวข้อ งานคือการปฏิิบัติธรรม (6 ก.ค. 2506)ผู้ซักถามปัญหาธรรม คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, นายปุ๋ย โรจนะบุรานนท์ และนายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์
  • ครั้งที่ 2 หัวข้อ การทำงานด้วยจิตว่าง (23 ก.พ. 2507) ผู้ซักถามปัญหาธรรม คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
  • ครั้งที่ 3 หัวข้อ หมวดธรรมที่พึ่งใช้ในการทำงานด้วยจิตว่าง (19 ม.ค. 2508) ไม่มีผู้ซักถามปัญหาธรรม

ในการบรรยายครั้งแรกที่เน้นไปที่การให้ความหมายของการธรรมและงาน (มีพูดถึงการเมืองและสภาบ้างเล็กน้อย) ซึ่งท่านพุทธทาสฯได้บรรยายถึงธรรมคือหน้าที่ (Duty) และหน้าที่ก็คือธรรม ดังนั้นไม่ว่า ชาวนา ชาวสวน ราชการ พ่อค้า ฯลฯ ที่ทำหน้าที่ของตนนั้นก็เหมือนการปฎิบัติธรรมแล้ว และเจาะจงลงไปที่ การปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะที่ถูกต้อง ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และกล่าวสนับสนุนโดยตลอด

แต่ในการบรรยายครั้งที่สองที่บรรยายถึงการทำงานด้วยจิตว่าง(ว่างจากกิเลส ว่างจากความเห็นแก่ตัวทุกชนิด ว่างการยึดติดว่าเป็นของเอง) “ทำงานให้ความว่าง” ในครั้งนี้ ทั้งสองท่านค่อนข้างมีความเห็นที่แตกต่างกัน ซักไซ้กันไปมา คิดว่าคนในสมัยนั้นอาจมองว่าเป็นการสนทนาที่ค่อนข้างขัดแย้งรุนแรง อย่างเช่น “กระผมขอสอนพระสักวันเถิดครับ!” แต่เท่าที่อ่านดูก็ไม่ได้แตกต่างมากกันมายนัก โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่านมองว่าการทำงานด้วยจิตว่างนั้นเป็นธรรมที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่เหมาะเลยที่จะนำมาใช้กับฆราวาส ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เชื่อว่าต้องอาศัยอุปทาน หรือความอยาก(รวย เงิน สุขสบาย) ช่วยผลักดันให้ทำงานออกมาได้ดี ส่วนการทำงานด้วยจิตว่างนั้นใช้ได้เฉพาะผู้อยู่ในสถานะสมณะเท่านั้น ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไรถ้าทำงานให้ความว่าง แต่ท่านพุทธทาสฯนั้นยังคงยืนยันว่าเหมาะสมและจำเป็นต้องทำด้วย ซึ่งท่านพุทธทาสฯมองว่าทั้งสองเห็นต่างกันเพียงเล็กน้อย

ภายหลัง การบรรยายครั้งต่อไป ดูเหมือนว่าท่านพุทธทาสฯพบว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นั้นเห็นต่างและเข้าใจผิดอยู่มาก ซึ่งน่าจะรับรู้ผ่านทางการเขียนลงหนังสือพิมพ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หลายครั้งหลังจากการสนทนาธรรมในครั้งนั้น

ตอนท้ายเล่มยังมีบทความที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ พูดถึงพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆ ซึ่งถือว่าแนวคิดค่อนข้างแหวกแนวกับขนบธรรมเนียมในยุคนั้นมากพอสมควรเลยทีเดียว เช่น การกล่าวว่าพระเวสสันดร ผิดทั้งศีลกษัตริย์ ศีลสามี ศีลมารดา ไม่น่านับถือ และในหนังสือก็มีบทความโต้แย้งแนวคิดต่างๆของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกอบอยู่ด้วย

ในหนังสือเล่มนี้ถ้าเราอ่านแบบใจเป็นกลางจะพบว่าผู้เขียนค่อนข้างเอียงไปทางท่านพุทธทาสฯค่อนข้างชัดเจน ดูจากบทความท้ายเล่ม และการกล่าวถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ในเนื้อหาบางครั้งออกแนวโจมตีนิดๆ (แต่ไม่มากมายอะไรนะ) แต่อ่านก็รู้ว่าสนับสนุนท่านพุทธทาสฯเต็มที่ (ซึ่งส่วนตัวก็สนับสนุนท่านเช่นกันนะ) แต่การวิจารณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และบทความท้ายเล่มออกจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ สิ่งที่อยากเห็นมากกว่าคือ ในบทนำได้กล่าวว่าหลังจากวิวาทะครั้งนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และลูกศิษย์ ได้เขียนบทความกระแนะกระแหนท่านพุทธทาสฯออกมาเป็นระยะๆ อยากอ่านบทความเหล่านั้นมากกว่า (ถ้าจะรวบรวมใหม่อีกครั้งครอบคลุมถึงส่วนนี้ด้วย คงเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ)

สรุปว่า หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกครับ (หนังสือที่อ่านจบมักจะสนุก เพราะไม่สนุกจะวางแล้วเปลี่ยนเล่มใหม่) อีกอย่างที่ชอบมากคือ สำนวนการพูดคุยของคนยุคนั้นต่างจากปัจจุบันเยอะพอสมควร แต่ผมชอบลักษณะการใช้คำของคนยุคนั้นนะ สำนวนฟังไพเพราะ ลื่นหูดีแท้

ใครที่ชอบเรื่องดราม่า ลองอ่านนักปราชญ์ถกเถียงในเรื่องที่มีความเห็นต่างกันดูครับ สนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ

ปล. เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มถัดไป คนกล้าฝัน(8 นักฝัน) ยิ่งเป็นการตอกย้ำ และเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่า แนวทางของท่านพุทธทาสภิกขุ ว่าด้วยการทำงานด้วยจิตว่างนั้นได้ผลอย่างดีเยี่ยม และสร้างสรรค์ให้โลกเราน่าอยู่ยิ่งขึ้นอีก

ใช้ iPad เพื่อการศึกษา ความรู้อยู่ที่เนื้อหาและสิ่งแวดล้อม

iPad เพื่อการศึกษา

ถ้าจะพูดถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อการศึกษาที่จะมาช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการเรียนรู้ ของผู้ที่เป็นนักเรียนรู้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง นักเรียน นักศึกษา อย่างเดียวนะครับ รวมถึงทุกคนที่มีใจไฝ่เรียนรู้ อุปกรณ์ที่จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ณ ตอนนี้ น่าจะเป็น iPad ของ Apple  เพราะถือว่ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งหนังสือดิจิตอล(ebook) แอพพลิเคชั่น(Apps Store) คลังความรู้(iTunes U) นอกจากนั้นยังมีตัว Textbook ที่มีชุดโปรแกรมที่จะช่วยให้การสร้างหนังสือแบบที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างน่าตื่นเต้น นับว่า iPad นำหน้าคู่แข่ง Android, Windows 8 ในเรื่องของการสนับสนุนทางการศึกษาไปหลายช่วงตัว

iPad in Education

Apple ได้วางให้ iPad เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ผลิตมาเพื่อสนับสนุนการศึกษาอย่างเต็มที่ เห็นได้จากงาน Education Event เมื่อ 19 มกราคา 2012 ในงานมีการเปิดตัวหนังสือเรียนแบบที่มี interactive โต้ตอบกับผู้อ่านได้อย่างดี พร้อมโปรแกรมสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับ iPad โดยเฉพาะ และยังแจกให้ทุกคนใช้โปรแกรมนี้ได้ฟรีอีกด้วย ยิ่งทำให้ iPad เหมาะกับงานทางด้านการศึกษามากขึ้น

ลำดับต่อไปอยากนำส่วนต่างๆที่เป็นองค์ประกอบทำให้ iPad เหมาะกับการศึกษามาแจกแจงทีละข้อ ดังนี้ครับ

1. Textbooks หนังสือที่โต้ตอบกับผู้อ่านได้

หนังสือที่มาพร้อมภาพนิ่ง ภาพ 3 มิติ วีดีโอ เสียง ฯลฯ

คุณสมบัติของตัว Textbook ที่จะทำให้การเรียนรู้นั้นมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

  • Textbooks ของสำนักพิมพ์ใหญ่ๆอย่าง McGraw-Hill, Person Education, Houghon Mifflin Harcourt ผู้ผลิตหนังสือมีคุณภาพ ทั้งรายวิชา เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ มีให้ดาวน์โหลดแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • เราสามารถพกหนังสือเล่มใหญ่หลายๆเล่ม ด้วยมือข้างเดียวได้ คงไม่ต้องแบกใส่เป้ให้เมื่อยหลังกันแล้ว โดยเฉพาะหนังสือพวก Textbook ถ้าถือเล่มจริงได้ 2 เล่มก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่เมื่อเป็นแบบดิจิตอลทำให้เราง่ายต่อการพกพา และสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
  • Textbooks ใน iPad เป็นหนังสือแบบมัลติทัช สามารถหมุนมุมมอง ซูมได้ มีภาพ ไดอะแกรม วีดีโอ ภาพสามมิติที่สามารถใช้นิ้วหมุนโมเดลได้รอบด้าน จดบันทึกลงหนังสือ ขีดเขียนลงหนังสือ เขียนโน๊ตสั้นๆ หรือใส่สีให้ตัวอักษรได้
  • ชมวีดีโอแนะนำ iBooks Textbooks

2. iPad Apps เพื่อการศึกษา

แอฟพิเคชั่น ที่เสริมการเรียนรู้มีมากมาย

ตัวแอพพลิเคชั่นของ iPad เฉพาะกลุ่มทางด้านการศึกษามีมากกว่า 20,000 แอพพลิเคชั่น น่าจะถือว่าเป็นจุดที่ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ อีกทั้งแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาสำหรับงานทางด้านการศึกษาถูกออกแบบมาอย่างดี แม้จะมีราคาแพงอยู่บ้าง ก็นับว่ามีความคุ้มค่าเมื่อแลกกับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่าง แอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาที่น่าสนใจ โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆได้ดังนี้

iWork กลุ่มของแอพพลิเคชั่นที่ช่วยทำงานทางด้านเอกสาร พรีเซนเตชั่น เอกสารตารางคำนวณ

English Language Arts กลุ่มแอพพลิเคชั่นที่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้เด็กด้วยภาพศิลปะ

Mathematics กลุ่มแอพลิเคชั่นช่วยเรียนคณิตศาสตร์

Science กลุ่มแอพพลิเคชั่นช่วยเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์

History and Geography กลุ่มแอพลิเคชั่นช่วยเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และภูมิประเทศ

Language Development เรียนภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีทั้งพูด ฟัง อ่าน เขียน หรือท่องคำศัพท์

Art, Music, and Creativity กลุ่มแอพพลิเคชั่นส่งเสริมศิลปะ วาดภาพ ดนตรี และงานสร้างสรรค์

Reference, Productivity, and Collaboration กลุ่มแอพพลิเคชั่น เอกสารอ้างอิง ดิกชั่นนารี จดบันทึก

Accessibility กลุ่มแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ด้วยข้อมูลต่างๆหลากหลายวิธี

นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับการศึกษาอีกมากมาย เข้าไปดูได้ใน Apps Store ในหมวด iPad Education

3. iTunes U เรียนหนังสือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกผ่านทาง iPad

iTunes U for iPad

iTunes U เป็นศูนย์รวมข้อมูลทางด้านการศึกษาแบบออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในแต่ละหลักสูตรมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเรียนในรายวิชานั้นๆ ทั้งวิดีโอบรรยาย เอกสารประกอบการเรียน เสียง พรีเซนเทชั่น ซึ่งมีอยู่มากกว่า 500,000 รายการ หลักสูตรครอบคุมทุกรายวิชา ทั้งวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม การแพทย์ ศิลปะ ฯลฯ ซึ่งมีทั้งวิทยาลัย มหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลก เช่น Stanford, Yale, MIT, Oxford, UC Berkeley เป็นต้น มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วโลกเข้ามาเปิดห้องเรียนออนไลน์ให้ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนได้ฟรี ถือว่าเป็นคลังความรู้ที่ใหญ่และมีประโยชน์มาก เป็นอีกช่องทางและโอกาสอันดีที่เราสามารถเข้าไปเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยต่างๆได้อย่างใกล้ชิด เหมือนนั่งอยู่ในห้องเรียนนั้นๆเหมือนนักเรียนคนอื่นๆเลยทีเดียว

4. ใช้ iPad สอนในห้องเรียน

ต่อ iPad ออกจอภาพขนาดใหญ่

เราสามารถที่จะใช้ iPad ประกอบการสอนได้อย่างง่าย ผ่านทางการแสดงผลด้วยจอภาพขนาดใหญ่ เช่น HDTV หรือ จอโปรเจคเตอร์ ช่วยให้นักเรียนได้เห็นสิ่งที่คุณเห็นไปพร้อมๆกัน หรือใช้แสดงสไลด์พรีเซนเตชั่นแทนคอมพิวเตอร์ก็ได้ ทำให้การอธิบายหรือการเรียนรู้ไปพร้อมกันนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ช่วยให้ระบบและสภาพแวดล้อม(เนื้อหา) ของ iPad นั้น ถือเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าพร้อมกว่า tablet เพื่อการศึกษาของคู่แข่งรายอื่นๆอย่างมาก อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะนักเรียน นักศึกษา เท่านั้น ผู้ที่ไฝ่เรียนรู้ก็สามารถที่จะใช้ iPad เพื่อเสริมความรู้ให้ตัวเองได้ตลอดเวลาผ่านทางช่องทางอื่นๆได้อีกมากมาย เช่น ข่าวสาร เนื้อหาเว็บไซต์ ฐานข้อมูลทางห้องสมุด หรือสื่อบันเทิงต่างๆ เช่น ภาพยนต์ เพลง เกม ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีความรู้แทรกอยู่เสมอๆ เพียงเรามีเครื่องมือที่ดีสนับสนุนการเรียนรู้และความใฝ่รู้ของผู้ใช้งานร่วมกัน

ข้อมูลอ้างอิง: https://www.apple.com/education/ipad/

หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน อ่านแล้วครับ

Steve Jobs by Walter Isaacson

หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson, สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน
ผู้เขียน: Walter Isaacson
บรรณาธิการ: สุทธิชัย หยุ่น
ผู้แปล: ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ
720 หน้า ราคา 595 บาท
สำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์

หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน (Steve Jobs by Walter Isaacson) อ่านจบไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน เลยขอเขียนถึงหน่อยครับ นานๆจะได้อ่านหนังสือที่หนาๆขนาดนี้จบสักที ขอขอบคุณพี่มิค ที่ให้ยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านก่อนเจ้าตัวจะได้อ่านเสียอีก ใจดีมากๆ เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ในการอ่านยังคงอยู่บนรถตู้ และ BTS ต้องหิ้วไป-กลับระหว่างหอพักกับที่ทำงานตลอดหนึ่งอาทิตย์หนักพอสมควรเลย

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple ที่เคยใช้โรงรถในการทำคอมพิวเตอร์ขาย แล้วก็กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก(ปี 2011) หนังสือที่เกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ เราจะพบว่ามีอยู่มากมายหลายเล่ม แต่เล่มนี้ิถือว่าเป็นเล่มแรกและเล่มเดียวที่สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนร้องขอ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ให้มาเขียนชีวประวัติของตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสตีฟ จ๊อบส์ ผ่านการสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้ง และคนรอบตัวเขากว่า 100 คน คนในครอบครัว เพื่อน คู่แข่ง ซึ่งส่วนใหญ่สตีฟ จ็อบส์ จะเป็นคนยุให้คนเหล่านั้นออกมาพูดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเขาเอง

ในหนังสือ สตีฟ จ็อบส์ ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่เขาอยากทำหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองนั้น เพราะเขาอยากให้ลูกๆรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น ผ่านทางมุมมองของตัวเอง ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้มาเล่าให้ฟัง ซึ่งเขารู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว ความจริงแล้วในตอนที่สตีฟ จ๊อบส์กำลังตามจีบให้ วอลเตอร์ ไอแซคสัน มาเขียนหนังสือให้นั้น ไอแซคสัน ยังไม่อยากเขียนเขาบอกว่า ถ้าจะเขียนจริงๆ เขาคิดว่าคงอีกประมาณสัก 10 ปี ต่อจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม (คงประมาณว่าให้คุณเป็นตำนานก่อน) ตอนนั้นไอแซคสันยังไม่รู้ว่าสตีฟป่วยเป็นมะเร็งแล้ว สุดท้ายด้วยหลายๆอย่างทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้น และพิมพ์ออกมาได้หลังจากสตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวติได้ไม่นานหนัก หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์โดยที่สตีฟ จ็อบส์ บอกว่าเขาจะไม่อ่านมันก่อน และเขาคิดว่าเนื้อหาข้างในมันต้องมีหลายอันที่จะทำให้เขาโกรธมากแน่ๆ เพราะเขาอยากให้มันเป็นมุมมองที่คนอื่นๆมองเขา

สตีฟ จ็อบส์ เป็นผู้ชายที่ลึกลับ มีอารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด เหี้ยม ดื้อรัน ดุดัน หยาบคาย สบถแรงๆแบบไม่ไว้หน้าใคร บางทีก็อ่อนไหว ร้องไห้ เป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ มินิมัลลิซั่ม เชื่อว่าอะไรยิ่งน้อยยิ่งดี ในหัวเขาข้างในเหมือนจะแบบไบนารี่คือมีแค่ 1 กับ 0 ทุกๆอย่างในโลกนี้ในสายตาเขามีอยู่แค่สองแบบคือ “ยอดเยี่ยมสุดๆ” กับ “ห่วยสุดๆ” ไม่ว่าอะไรก็ตามจะถูกแบ่งเป็นแค่สองอย่างเท่านั้น เช่น พนักงานก็มีแค่เกรดเอ กับห่วยแตก(มักจะโดนไล่ออก) ถ้าอะไรที่เกิดมีระหว่างกลางขึ้นมาเขาจะทำเป็นไม่สนใจไปเลยเหมือนพยายามจะตัดสิ่งนั้นออกจากชีวิตไปเลย

เกี่ยวกับสตีฟ จ๊อบส์ และคนอื่นๆที่ถูกกล่าวถึง

  • เขาเคยไปแสวงบุญที่อินเดียนานถึง 7 เดือน นับถือพระพุทธศาสนา นิกายเซน
  • เป็นมังสวิรัติผลไม้ ครั้งหนึ่งแม่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมการกินของเขา แต่สตีฟก็บ่นแม่กลับไปว่า “แม่ ผมเป็นนักมังสวิรัติผลไม้ กินแต่ใบไม้ที่สาวพรหมจรรย์เด็ดจากต้นกลางแสงจันทร์” (ติสต์แตกจริงๆ)
  • สตีฟ วอซเนียก เป็นวิศวกรที่ร่วมก่อตั้งบริษัทมาพร้อมกัน เป็นคนขี้อาย ใจดี สุภาพ เก่งมาก เป็นคนซื่อสัตย์ ที่น่านับถือมาก เป็นคนออกแบบ Apple I,II ที่ทำเงินให้บริษัทมากกว่า 75% ในช่วงเริ่มต้นบริษัทช่วงที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ต่างใช้เงินจากรายได้ของผลิตภัณฑ์ที่สตีฟ วอซเนียก คิดค้นขึ้นมา แต่กลับได้รับความสนใจน้อยมาก (แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่)
  • สตีฟ จ๊อบส์ มีลูกสาวชื่อ ลิซ่า และก็ทิ้งเธอไปตอนที่สตีฟอายุ 23 ปี ซึ่งเป็นอายุที่เท่ากับอายุของแม่ของเขาทิ้งเขาไปพอดี (ตอนหลังก็กลับไปรับผิดชอบ)
  • ดูเหมือนว่าเขาจะรักลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง และค่อนข้างจะฝากความหวังไว้กับลูกชายหลายอย่าง เช่น พาไปประชุมด้วย เคยบอกว่า อยากจะให้ดูแลบริษัท Apple ด้วย
  • หลายคนลงความเห็นว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนที่ทำงานด้วยได้ยากลำบากมาก ซึ่งเหมือนเขาจะรู้ตัวนะแต่ก็ยังทำพฤติกรรมเหมือนเดิม สตีฟบอกว่าเขามีหน้าที่บอกคนนั้นว่า “ห่วย” (ด่าแรงๆ) เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำ สุดท้ายก็จะได้ผลงานห่วยๆ แต่คนอื่นก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้
  • กรรมการบริษัทชุดที่เคยไล่เขาออก เมื่อเขากับมาอีกครั้ง ถูกเขากดดันให้ลาออกหมดทั้งชุดเลย แล้วก็สรรหาชุดใหม่เข้ามาแทน ซึ่งค่อนข้างสนับสนุนตัวเขาเป็นอย่างดี
  • คนที่อยู่ใกล้เขาจะเหมือนว่าถูกดูดเขาไปอยู่ใน “สนามความจริงที่ถูกบิดเบือน” (Reality distortion field) ว่ากันว่า จะรู้สึกคล้อยตาม เชื่อใจและมีพลัง ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ให้สำเร็จลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • ในการพรีเซนต์เปิดตัวสิ้นค้าแต่ละครั้งของเขา ที่เราเห็นเรียบง่าย ตื่นเต้นนั้น เบื้องหลังนั้นผ่านการซ้อมมาอย่างดี มีการแก้ไข ให้คนรอบรอบข้างช่วยดู สรุปว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดีมากๆ เหมือนซ้อมละครเวที ยังไงยังงั้นเลย
  • สตีฟ จ๊อบส์ หมดเงินไปกับ Pixar ประมาณ 50 ล้านเหรียญซึ่งเป็นเงินครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้มาจากการขายหุ้น Apple ทิ้งตอนที่ถูกไล่ออกจากบริษัท(เหลือไว้ 1 หุ้น) ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากของบริษัท Pixar ที่รอเงินสนับสนุนจากนายทุนและรอขายกิจการ
  • สตีฟ จ็อบส์ ปฎิเสธการรักษาตั้งแต่ตอนต้นที่ตรวจพบมะเร็งตับอ่อน คนในครอบครัว และเพื่อนๆคนสนิท ต่างขอร้องให้เขาเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำเป็นไม่สนใจ และปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปกว่า 9 เดือน จนมะเร็งลุกลาม ทำให้ยากต่อการรักษา บางทีถ้าไม่รั้นก็คงอาจจะยังมีชีวิตอยู่
  • ช่วงที่ป่วยหนักมีหลายคนเข้ามาพบเขา เช่น ลาร์รี่ เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลเคยเข้ามาขอคำแนะนำจากสตีฟ จ๊อบส์ เขาพูดถึงการจะยึดอำนาจกลับจากเอริก ชมิดต์ ส่วนสตีฟแนะนำให้เขาโฟกัสแค่บางผลิตภัณฑ์ไม่ใช่คุมเป็นร้อยๆตัว ซึ่งผมคิดว่าลาร์รี่ เพจ ก็เอาข้อแนะนำของสตีฟมาทำจริงๆจากที่เราได้เห็นช่วงหลังๆที่ผ่านมา เมื่อลาร์รี่ เพจ ขึ้นเป็นซีอีโอ กูเกิล ไล่ปิดบริการต่างๆเยอะมาก
  • บิล เกตส์ คู่แข่งทางธุรกิจตลอดกาล ก็เข้ามาพบสตีฟ จ๊อบส์ เหมือนกัน โดยเขายอมรับว่าระบบปิดของสตีฟที่คุมทุกอย่างทั้งฮาร์ตแวร์ ซอร์ฟแวร์ก็ได้ผลเหมือนกัน ส่วนระบบเปิด(Windows)ของเขานั้นก็ได้ผลเป็นที่ประจักอยู่แล้ว แต่เขาคิดว่าระบบปิดของสตีฟนั้นจะได้ผลดีก็เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น!

เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

  • ที่บริษัท Apple พนักงานด้านออกแบบดูเหมือนจะมีอำนาจมากกว่าพวกพนักงานวิศวกร โดยเฉพาะ โจนาธาน ไอฟฟ์ จะรับคำสั่งจากสตีฟ จ๊อบส์โดยตรง ถ้ามีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายวิศกรกับนักออกแบบ นักออกแบบมักจะชนะเพราะสตีฟถือหางข้างนี้อยู่
  • ที่บริษัท Apple มีรางวัลมอบให้แก่คนที่กล้าเถียงสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยนะ ซึ่งสตีฟ จ๊อบส์เองก็ดูเหมือนจะชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ใครที่จะเถียงต้องเตรียมตัวมาดีมากๆๆๆ ถ้าเถียงแล้วอาจรุ่งไปเลย หรืออาจจะดับไปเลยก็ได้
  • การสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆมักจะเริ่มต้นด้วยการ ระดมสมองกันว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มันห่วยแตกยังไง แล้วทุกคนก็จะรุมด่าว่าไม่ดียังไงบ้าง แล้วค่อยคิดหาวิธีแก้ไข ออกแบบใหม่ ส่วนใหญ่ระดมสมองกันในแคมป์ช่วงพักผ่อน
  • iPad เป็นโครงการที่เกิดมาก่อน iPhone แต่ถูกพักไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนมาทำ iPhone ก่อน สุดท้ายหลายๆอย่างที่ได้จาก iPhone ก็นำไปต่อยอดอีกทีกับ iPad
  • เริ่มต้นโครงการ iPhone มีการพัฒนาสองโครงการพร้อมกันคือ แบบที่พัฒนาต่อจาก iPod ที่มี click wheel (หน้าตาคงเท่น่าดู) ซึ่งทำให้ใช้งานยาก กับแบบที่เป็นจอทัชสกินที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
  • App Store ตอนแรกสตีฟ จ๊อบส์ ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เถียงกันหลายรอบมาก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเอาโปรแกรมมาใส่ในเครื่องของตัวเอง จนสุดท้ายก็ยอม แต่ยอมแบบมีเงือนไข ต้องให้อยู่ในมาตรฐานที่ Apple กำหนดขึ้น
  • สตีฟ จ็อบส์ อยากปฎิวัติวงการทีวี ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองคิดออกแล้ว(คิดว่าตอนนี้ Apple น่าจะเริ่มโครงการไปแล้ว)

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านแล้วสนุกมากในหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่เราได้เห็นข่าวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นของโลกไอที เราได้อ่านเบื้องหน้าของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านทางสื่อต่างๆ แต่หนังสือเล่มนี้เปิดเผยให้เห็นเบื้องหลังที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

สุดท้ายมานั่งคิดว่า เคยได้ฟังปาฐกถาของสตีฟ จ๊อบส์ ในงานรับปริญญาของแสตนฟอร์ดเมื่อนานมาแล้ว ในหนังสือมีเขียนถึงเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน โดยเผยให้เห็นว่าตอนแรกเขาพยายามจะให้นักเขียนบทมืออาชีพมาช่วยเขียน แต่สุดท้ายก็เขียนขึ้นเองแล้วก็ให้คนรอบข้างช่วยดูอีกที ผมมานั่งดูอีกครั้ง พบว่าสามเรื่องที่เขาพูดถึงในการปาฐกถาครั้งนั้นมันครอบคุมชีวิตของเขาได้อย่างดีอย่างไม่นาเชื่อ กลายเป็นว่าหนังสืออัตชีวประวัติเล่มนี้เป็นส่วนขยายการพูดครั้งนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือเรียกได้ว่า ถ้าจะสรุปหนังสือเล่มหนาขนาด 720 หน้าให้สั้นที่สุด และดีที่สุด ก็คือปาฐกถาอันนี้แหละ ใช่เลย!

สรุปส่งท้าย ถึงจะรวย เก่ง อัจฉริยะ มากแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นความตาย แต่สิ่งที่เหลือไว้ก็คือ ผลงาน และความสร้างสรรค์ ที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก และได้แรงบันดาลใจดีเยี่ยมครับ

หนังสือ “The Drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต” อ่านแล้วจ้า

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต
ผู้เขียน: Leonard Mlodinow
ผู้แปล: กฤตยา รามโกมุต, นพดล เวชสวัสดิื
จำนวน 288 หน้า ราคา 250 บาท
สำนักพิมพ์ โพสต์บุ๊กส์

ค้นพบอย่างหนึ่งว่าตอนอยู่บนรถตู้ที่ต้องนั่งไปทำงานทุกวัน คือช่วงเวลาที่เราใช้อ่านหนังสือ อ่านเปเปอร์ได้เยอะเลย แถมมีสมาธิในการอ่านมากกว่าอยู่ที่ห้องหรือที่ทำงานเสียอีก ซึ่งโดยปกติแล้วการอ่านหนังสือบนรถถือเป็นเรื่องปกติที่ติดนิสัยมาตั้งนานแล้ว เพราะตัวเองอยู่บ้านนอกต้องนั่งรถไกลๆไปเรียน ช่วงเวลานั้นก็เลยไม่รู้จะทำอะไรนอกจากหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่น แต่พอเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงการใช้ชีวิตแบบนั้นเลยหายไป แล้วมันก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อที่ทำงานกับที่นอนอยู่กันไกลมาก นอกเรื่องไปไกลแล้ว เข้าสู่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้กันดีกว่า

หนังสือ The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการทำนายดวง พรหมลิขิตอะไรทำนองนั้น(แม้จะพูดถึงบ้างในตอนท้ายๆ) คนเขียนคือ เลนเนิร์ด มลาห์ดินาว เป็นนักฟิสิกส์สอนหนังสือที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย เคยมีผลงานร่วมกับ สตีเฟน ฮอว์กิง ด้วยนะ(A Briefer History of Time) ในปกหลังจึงมีคำนิยมจากสตีเฟน ฮอว์กิง อยู่ด้วย แล้วยังมีผลงานเขียนบทซีรีโทรทัศน์,ภาพยนต์อีกด้วย(Star Trek: The Next Generation) ไม่แปลกที่จะเขียนหนังสือได้สนุกขนาดนี้

The drunkard’s walk ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต หนังสือเสนอแนวคิดพื้นฐานของการสุ่มเลือก ความน่าจะเป็น มุมมองผลกระทบของการสุ่มเลือกที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาของการมีชีวตอยู่ของเรา การเข้าใจและปรับตัวเพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ต่างๆ ผู้เขียนยกตัวอย่างเกี่ยวกับการสุ่มเลือกผ่านเหตุการณ์ต่างที่อยู่ใกล้ตัว ได้อย่างสนุกสนาน และเข้าใจได้ง่าย หนังสืออ้างอิงสถานการณ์ต่างๆ งานวิจัยต่างๆมากมาย ด้านหลังของเล่มเกือบ 20 หน้าจึงเป็นพื้นที่ให้แหล่งอ้างอิง ที่เราจะตามไปอ่านต้นฉบับจริงๆของเรื่อง หรืองานวิจัยนั้นๆได้

ในตอนแรกนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะชอบคณิตศาสตร์ที่เราเรียนมาตั้งแต่มัธยมอย่าง ความน่าจะเป็นของการโยนเหรียญ ความน่าจะเป็นในเกมโชว์ทางทีวี ผมว่าเลนเนิร์ด มลาห์ดินาว คงเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่หมกมุ่นกับเรื่องนี้อย่างมาก ไม่งั้นในสายตาของเขาคงจะไม่มองเห็นเรื่องต่างๆรอบตัวเป็นเรื่องความน่าจะเป็น และการสุ่มเลือกไปได้ บางทีเราคิดว่าควบคุมสิ่งต่างๆในชีวิตได้แต่ความจริงเลิกคิดเถอะ มันหาระเบียบแบบแผนไม่ได้เลย อย่างเช่นการเดินของขี้เมา(The drunkard’s walk) ไร้ทิศทาง ไร้แบบแผน

หนังสือเล่มนี้เปิดโลกแคบๆของผมให้กว้างออกไปได้อีกโขเลยทีเดียว ขอยกตัวอย่าง เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหนังสือมาให้ท่านได้อ่านกันครับ มันสร้างความประหลาดใจให้ผมได้มากเลย

เรื่องมีอยู่ว่า(ผมเขียนตามความเข้าใจของตัวเอง อาจไม่เหมือนในหนังสือนะครับ ในหนังสือสนุกกว่านี้มากเพราะมีเรื่องดราม่ายาว มีการถกเถียงกันในระดับประเทศ) ในเกมโชว์รายการหนึ่ง มีประตูอยู่สามบาน ด้านหลังประตูของหนึ่งในนั้นเป็นของรางวัลรถยนต์คันงาม อีกสองประตูที่เหลือเป็นเพียงความว่างเปล่า พิธีกรให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกหนึ่งประตู เมื่อผู้เข้าแข่งขันเลือกแล้ว พิธีกรเดินไปเปิดประตูอันหนึ่งที่ว่างเปล่าหนึ่งประตูออก แล้วหันกลับมาถามผู้เข้าแข่งขันว่า “ตอนนี้เหลือสองประตู ด้านหลังหนึ่งอันในนี้มีรถคันงามกับอีกอันที่ว่างเปล่า คุณจะเปลี่ยนใจเลือกใหม่หรือไม่?” มีคนเขียนจดหมายไปถามมาริลีนคอมลัมนิสต์ชื่อดังที่ได้ชื่อว่าเฉลียวฉลาดไอคิวสูงระดับโลก คำตอบของเธอคือ “ควรเปลี่ยน!”

การจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนคำตอบผลที่ได้ก็ไม่ควรจะต่างกันสิ คำตอบมันควรจะเป็น 50/50 อยู่แล้ว (สามัญสำนึกของผมก็คิดเช่นนั้น) คำตอบที่บอกว่าให้เปลี่ยนใจของเธอทำให้ดอกเตอร์คณิตศาสตร์หลายคนในประเทศเดือดจัด บางคนถึงกับบอกหมดศัทธาในตัวเธอแล้ว แต่เธอก็ยังคงยืนในคำตอบของเธอ บางคนถึงกับเขียนจดหมายด่า จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานเธอบอกจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว และแล้วก็มีนักคณิตศาสตร์เอาปัญหานี้ไปจำลองสถานการณ์และทดสอบผลซ้ำหลายรอบ ผลออกมาคือ มาริลีน เป็นฝ่ายถูก! เปลี่ยนใจมีโอกาสถูกมากกว่า 2 ต่อ 1 (ห่ะ!)

คำตอบของปัญหานี้แก้ได้ตั้งนานหลายร้อยปีแล้วโดย คาร์ดาโน นักพนันมืออาชีพ ว่าด้วย “แซมเปิลสเปซ” ลองมานั่งคิดแบบใจเย็นๆนะ

  • ประตูมี 3 บาน มีรางวัลอยู่หลังประตูหนึ่งอัน แสดงว่าโอกาสที่จะเลือกถูกคือ 1/3
  • และโอกาสที่จะเลือกผิดคือ 2/3
  • พิธีกรแทรกแซงการสุ่มเลือกโดยอิสระโดยเอาที่ผิดออกไปหนึ่งอัน แสดงว่าเขาเหลืออันที่ถูกไว้ให้เสมอ(อาจจะอยู่หลังประตูที่คุณเลือกหรือประตูอีกอันก็ได้)
  • แสดงว่าการเปลี่ยนใจ จะได้ผลแตกต่างจากเดิมแน่นอน นั้นคือ ผิด–>ถูก หรือ ถูก–>ผิด
  • ลองคิดเทียบกันดูว่า โอกาสที่คุณเลือกในครั้งแรกผิด(2/3) กับเลือกถูก(1/3) อันไหนมีโอกาสเกิดมากกว่า
  • คำตอบ คือ คุณมีโอกาสเลือกผิดสูงกว่าเลือกถูกตั้งแต่แรก 2:1 ทำให้การเลือกใหม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนจาก ผิด–>ถูก มากกว่า ถูก–>ผิด เป็น 2:1 เช่นกัน
  • ถ้าเริ่มแรกมีสองประตูให้เลือกคำตอบก็คงเป็น 50/50 แน่นอน มาริลีน คงไม่เถียง แต่นี้มีเหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกันมาก่อนแล้ว ความน่าจะเป็นจึงเปลี่ยนไป
  • ถ้าคุณยังงงอยู่ลองเพิ่มประตูเป็น 100 ประตู คุณเลือกหนึ่งอัน แล้วให้เพื่อนตัดอันที่ผิดออกเหลือไว้สองประตูจะพบว่าการเปลี่ยนใจมีโอกาสถูกกว่า 99/100 กลับกันถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองเลือกถูก(ฟ้าลิขิต)ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเปลี่ยนใจเพราะโอกาสที่จะถูกยังคงเป็น 1/100

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่นๆที่มีคำอธิบายไว้อย่างสนุก เช่น การหาว่าทำไมแต้มของลูกเต๋าสามลูกรวมกันได้ 9 จึงเกิดได้น้อยกว่าแต้มที่รวมกันได้ 10 ปัญหานี้กาลิเลโอถูกหัวหน้าใช้ให้ไปหาคำตอบ  รวมถึงการนำความน่าจะเป็นมากล่าวอ้างใช้ชั้นศาล เช่น DNA  โอกาสที่คนสองคนที่ไม่ใช่แฝดจะเหมือนกันนั้นแถบจะเป็นไปไม่ได้(1/20,000,000) แต่กลับไม่คิดว่าโอกาสที่คนทำการวิเคราะห์จะทำผิดพลาดเสียเองมีเท่าไหร่ อาจจะเหลืออแค่ 1/100 หรือ 1/1000 เท่านั้น, มีคนร้ายกล่าวอ้าง ภรรยาที่โดนสามีหรือแฟนตบตีแล้วจะพัฒนาไปถึงการฆาตกรรมมีเพียง 1/2500 เท่านั้น แต่กลับไม่คิดว่าหญิงที่ถูกฆาตกรรมโดยสามีเคยถูกสามีตบตีมาก่อนสูงถึง 95% และเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องที่น่าคิดตามอีกมาก อยากให้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูครับ สำหรับผมแล้วชอบหนังสือเล่มนี้มากครับ

หนังสือ REWORK ยกเครื่องความคิด อ่านแล้วจ้า

หนังสือ ยกเครื่องความคิด Rework

หนังสือ ยกเครื่องความคิด Rework
ผู้เขียน:  Jason Fried, David Heinemeier Hansson
ผู้แปล: อาสยา ฐกัดกุล
จำนวน 288 หน้า ราคา 180 บาท 
สำนักพิมพ์ วีเลิร์น 

หนังสือ REWORK ผมได้ยินชื่อครั้งแรกจาก @imenn แล้วยังใจดี เขียนไว้ให้เราอ่านตั้งหลายตอนในบล็อกของบริษัทสามย่าน ในหัวข้อ “หนังสือ Rework, คำภีร์ของบริษัทสมัยใหม่” ลองตามไปอ่านตามลิงค์ดูได้ครับ เมื่อหลายวันก่อนเจอทวีตอันหนึ่งของ @arjin บอกว่า Rework ฉบับภาษาไทยออกแล้ว ด้วยความที่ไม่สะดวกเดินไปดูตามร้านหนังสือเท่าไหร่นัก จึงลองสั่งแบบออนไลน์ครั้งแรกจากเว็บไซต์ของ Se-ed ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ครั้งแรกของเราด้วย ราคาที่ปก 180 บาท สั่งออนไลน์ราคา 171 บาท + 30 บาท(ค่าจัดส่ง) รวมเป็น 201 บาท รอประมาณ 5 วัน ก็ได้หนังสือห่ออย่างดี ถือว่าค่อนข้างโอเคกับประสบการณ์สั่งหนังสือออนไลน์ครั้งแรก

หนังสือ Rework เป็นการเล่าประสบการณ์ในการทำงานของบริษัท 37 Singals บริษัทผลิตซอร์ฟแวร์ขนาดเล็กมีพนักงานไม่กี่คน และยังอยู่กันคนละเมือง บางคนอยู่กันคนละทวีปด้วย(ทำงานกันได้ยังไง?) เป็นบริษัทที่คุมขนาดของบริษัทไม่ให้ใหญ่มาก แต่ก็ทำกำไรมาตลอดทุกปี แม้ในช่วงที่เกิดวิกฤตด้านการเงินที่สำคัญๆของโลก บริษัทก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี

เนื้อหาของหนังสือจะมีลักษณะคล้ายกับเรากำลังนั่งอ่านบล็อกของใครซักคน ที่กำลังเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในบริษัทของตัวเอง แบบสั้นๆเข้าใจง่าย เนื่องจากเขาเล่าจากประสบการณ์จริง เหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ พออ่านถึงบางบทเราจะสะดุ้งเฮือก! เฮ้ย! ไอ้แบบนี้ที่ทำงานของเราก็เป็นว่ะ แล้วไอ้อาการสะดุ้งแบบนี้ก็เกิดขึ้นตลอดการอ่านหนังสือเล่มนี้

สิ่งที่น่าประทับใจมากของหนังสือ Rework คือ เขารู้ว่าสิ่งนี้คือปัญหาของบริษัท เขาด่าสิ่งนี้ห่วย การกระทำแบบนี้แย่ แล้วก็ตบท้ายด้วยวิธีแก้ไขในแบบฉบับของพวกเขา แล้วก็บอกผลลัพท์ที่ได้ด้วยว่าเป็นอย่างไร

ในความคิดของผมหนังสือเล่มนี้เหมาะกับบริษัทเล็กๆไม่ใหญ่มาก หรือบริษัทที่เพิ่งก่อตั้ง(Startup) แต่คนทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนก็อ่านได้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในที่ทำงานของตัวเองได้แน่นอน อยากได้เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเหมือนกันนะ เพราะบทท้ายๆมีพูดถึงการใช้คำต่างๆในการสนทนา การโต้ตอบกับลูกค้า พอแปลเป็นภาษาไทยแล้วยังสื่อได้ไม่ค่อยดีนัก อยากรู้ว่าฝรั่งเขาสื่อสารกันยังไงด้วย

สรุปสั้นๆได้ว่า หนังสือ Rework เล่มนี้ ชอบมาก เป็นหนังสือที่จุดไฟในตัวเราได้ เหมาะสำหรับคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แต่ยังไม่เริ่มทำ ให้ได้ฉุกคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว อ่านง่าย สนุก มีแนวคิดใหม่ๆในการทำงานเพียบ อ่านทบทวนหลายรอบได้

ฟรีอีบุ๊ค Best of Smashing Magazine ฉลองอายุ 5 ปี ePub(iPad), PDF, Mobi(Kindle)

free “Best of Smashing Magazine” Anniversary eBook.

Smashing Magazine เป็นบล็อกที่เขียนเกี่ยวกับการออกแบบ งานด้านกราฟิก เว็บไซต์ ฟอนต์ และอื่นๆอีกมากมาย เริ่มออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2006 เนื้อหาแน่น มีคุณภาพมาก เขียนในแบบมืออาชีพ แต่ละโพสเข้าขั้นรวมเล่มทำเป็นหนังสือได้เลย หลายๆครั้งที่คิดอะไรไม่ออก หรือหา reference ไอคอน ธีมเว็บไซต์สวยๆ ที่แรกที่คิดถึงคือที่นี้  เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา(8 Sep 2011) เป็นวันครบรอบ 5 ปี ของเว็บไซต์ ทีมงานได้ฉลองวันครบรอบด้วย แจกอีบุ๊คฟรี!

“Best of Smashing Magazine” To Five Smashing Years: An Anniversary eBook เป็นอีบุ๊คแจกฟรี โดยเนื้อหาภายในเป็นโพสที่ได้รับความนิยม น่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจได้ดีที่สุด ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คู่ควรเก็บไว้ในเครื่องอย่างยิ่ง ไฟล์อีบุ๊คมีหลายเวอร์ชั่น รองรับ e-book reader ตัวหลักๆหมด ได้แก่ ePub(iPad), PDF, Mobi(Kindle)

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรีได้ที่
Free download on iTunes
Free download on Smashing Magazine (.zip, 55 Mb) 409 หน้า

เนื้อหา 

  • “Thirty Usability Issues to Be Aware Of”  —  Vitaly Friedman
  • “Ten Principles of Effective Web Design”  —  Vitaly Friedman
  • “Clever JPEG Optimization Techniques”  —  Sergey Chikuyonok
  • “Typographic Design Patterns and Best Practices”  —  Smashing Editorial team
  • “Ten Useful Usability Findings and Guidelines”  —  Dmitry Fadeyev
  • “Setting Up Photoshop for Web and iPhone Development”  —  Marc Edwards
  • “The Ails of Typographic Anti-Aliasing”  —  Tom Giannattasio
  • “Mastering Photoshop: Noise, Textures and Gradients”  —  Marc Edwards
  • “Better User Experience With Storytelling”  —  Francisco Inchauste
  • “The Beauty of Typography, Writing Systems and Calligraphy”  —  Jessica Bordeau
  • “Web Designers, Don’t Do It Alone”  —  Paul Boag
  • “Making Your Mark on the Web Is Easier Than You Think”  —  Christian Heilmann
  • “Responsive Web Design: What It Is and How to Use It”  —  Kayla Knight
  • “I Want to Be a Web Designer When I Grow Up”  —  Michael Aleo
  • “Persuasion Triggers in Web Design”  —  David Travis
  • “What Font Should I Use?”  —  Dan Mayer
  • “The Design Matrix: A Powerful Tool for Guiding Client Input”  —  Bridget Fahrland
  • “Why User Experience Cannot Be Designed”  —  Helge Fredheim
  • “Dear Web Design Community, Where Have You Gone?”  —  Vitaly Friedman
  • “Make Your Content Make a Difference”  —  Colleen Jones
  • “Two Cats in a Sack: Designer-Developer Discord”  —  Cassie McDaniel
  • “Print Loves Web”  —  Mark Cossey

ที่มา: https://www.smashingmagazine.com

ฟรีหนังสือ E-book จากห้องสมุดคณะแพทย์ฯ จุฬาฯ

รายการหนังสือ E-book โดยห้องสมุดคณะแพทย์

เคยแนะนำแหล่งดาวน์โหลดหนังสือออนไลน์ (เฉพาะนิสิตจุฬาฯ)ฟรีหนังสือ E-book มากกว่า 7 พันรายการ ไว้แล้วลองเข้าไปดูและดาวน์โหลดเก็บไว้ได้ครับ อีกแหล่งหนึ่งที่ทางห้องสมุดคณะแพทย์ จุฬาฯ ทำไว้ให้เป็นรายการหนังสือที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี จากแหล่งต่างๆเช่น SpringerLink ebook, SciDirect ebook, NetLibrary, PubMedBookShelf เป็นต้น โดยเรียงตามตัวอักษรให้ง่ายต่อการค้นหา เพิ่มความสะดวกได้อย่างมาก

แต่หนังสือฟรีที่โหลดได้จากที่นี้ เนื่องจากเป็นรายการที่ห้องสมุดของคณะแพทย์เป็นผู้จัดทำขึ้น เนื้อหาจึงเป็นทางด้านการแพทย์ ชีววิทยา เป็นหลัก ต่างจาก CRCnetbase ที่จะมีทุกสาขา

การดาวน์โหลดหนังสือยังต้องอาศัยการใช้เน็ตในจุฬาฯ หรือใช้ VPN ครับ เป็นอีกช่องทางในการค้นหาหนังสือที่ตนสนใจแบบไม่ต้องเสียตังค์ ยิ่งถ้ามี E-book Reader ด้วยแล้วน่าจะถูกใจมากขึ้นแน่นอนครับ (ถ้าใครสนใจเล่มไหน จะฝากเพื่อนน้องๆโหลดให้ก็ได้นะ)

เข้าไปโหลดหนังสือ E-book จากห้องสมุดคณะแพทย์ฯ จุฬาฯได้ที่ https://library.md.chula.ac.th/e-book/ebook-list.html

หวังว่าจะเป็นโยชน์ครับ

Science Illustrated นิตยสารวิทยาศาสตร์ เล่ม 1

นิตยสาร Science Illustrated

เมื่อวานเดินไปแผงหนังสือ ไปเจอนิตยสารเล่มหนึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ชื่อ Science Illustrated ออกเป็นเล่มแรกด้วย เลยลองซื้อมาในราคา 110 บาท มีหน้าเนื้อหาอยู่ราว 80 หน้า บรรณาธิการกล่าวถึงว่าเป็นนิตยสารที่จะมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับ 4 ด้าน(เสาหลัก) คือ เทคโนโลยี การแพทย์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม บรรณาธิการเขียนถึงเนื้อหาของเล่มนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้แนะนำนิตยสารเล่มใหม่ให้คนอ่านได้รู้จักเลย(นี้มันเล่มแรกนะ!)

ส่วนตัวผมคิดว่าเล่มแรกควรจะแนะนำก่อนว่ามันมีที่มายังไง จะออกรายเดือนหรือรายสัปดาห์ แทนที่จะไปบอกว่าเล่มนี้มีเนื้อหาอะไร(บอกนิดเดียวพอ) ยกตัวอย่างจาก นิตยสารเล่มแรกของ Computer Art ที่เคยซื้อเล่มแรกเหมือนกัน แนะนำได้ดีกว่ามาก บอกเลยว่านำเข้ามาแล้วปรับปรุงส่วนไหนบ้างเพื่อให้เข้ากับคนไทยมากขึ้น แบบนั้นดูน่าดึงดูดมากกว่า ทำให้สนใจอยากติดตามอ่านในเล่มถัดไป

ลองค้นดูพบว่า Science Illustrated เป็นนิตยสารแนว popular science พิมพ์ขายครั้งแรกตั้งแต่ คศ.1984 ปัจจุบันมีการขายอยู่หลายสิบประเทศทั่วโลก จุดเด่นของมันคือการมีภาพประกอบเนื้อหา 4 ด้านหลัก ที่สวยงาม ถูกออกแบบมาอย่างดี ทั้งภาพถ่ายและภาพกราฟิก หลังจากเปิดดูแบบผ่านๆถือว่าสวย และทำให้เนื้อหาทางด้านวิทยาศาสตร์ดูน่าสนใจมากขึ้นอีกโข ถ้าอยากเห็นภาพให้ลองนึกถึงเปเปอร์ของเนเจอร์ที่ภาพประกอบถูกออกแบบมาอย่างดี แล้วมันก็ทำให้เราเข้าใจเนื้อหายากๆได้ง่ายมากขึ้น

น่าจะเป็นการดีที่เราจะมีนิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ให้ได้เลือกอ่านเพิ่มขึ้นอีกเล่ม

ส่วนเนื้อหาภายในโดยละอียดยังไม่ได้อ่านครับ (2-3 วันนี้คงไม่ได้อ่านแน่นอน)

ปล. เล่มแรกมีแถมหนังสือภาพประกอบเล่มเล็กๆมาให้ด้วยอีกหนึ่งเล่ม

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เมื่อชีวิตเหลือเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ได้อ่าน แม้จะมีการพิมพ์มานานแล้ว และเคยทำเป็นภาพยนต์มาแล้ว เมื่อปี 2008 โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนมากนัก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ชอบ และซื้อเก็บไว้ คิดว่าเรื่อง อิคิงามิ จะเป็นอีกเรื่องที่จะต้องซื้อเก็บไว้ ความจริงได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว พอดีว่าที่ใต้ตึกที่พักมีร้านเช่าหนังสือมาเปิดใหม่ เลยลองหยิบมาอ่านดู ตอนที่อ่าน อิคิงามิ มี 7 เล่ม ล่าสุดเล่มที่ 8 จะวางขายในวันที่ 11 เมษายน 2011 ที่จะถึงนี้

เรื่องย่อ

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นผลงานของ โมโตโร่ มาเสะ เล่าเรื่องของประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” โดยประชาชนทุกคนจะถูกฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่เด็ก ในวัคซีนบางอันจะมีนาโนเคปซูลที่สามารถกำหนดวันเวลาที่ต้องตายไว้ ในช่วงที่มีอายุ 18-24 ปี ซึ่งโอกาสที่จะโดนแจ๊คพอร์ตนี้ มีเพียงแค่ 1 ใน 1,000 คน เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนนั้นตั้งใจใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตระหนักต่อ “คุณค่าของชีวิต” มากยิ่งขึ้น หรือจะพูดง่ายๆคือ วันนี้ต้องทำให้เต็มที่เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะตายหรือไม่ ทำให้ประเทศลดทั้งอาญากรรม และพัฒนารุ่งเรือง

ฟูจิโมโตะ ตัวเอกของเรื่องคือคนส่ง “อิคิงามิ” หรือ “สาส์นสั่งตาย” ให้ผู้ที่ได้รับเกียรติต้องตายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ ก่อนถึงเวลาตาย 24 ชั่วโมง คนที่ได้รับอิคิงามิ จะสามารถใช้บัตรนี้แสดงเพื่อขอรับบริการต่างๆจาก ห้างร้าน บริการต่างๆได้ตลอดก่อนถึงเวลาตาย และจะได้รับการสรรเสริญจากคนในสังคมอย่างที่สุด และเมื่อเสียชีวิตครอบครัวจะได้รับเงินตอบแทนจากรัฐบาล แต่ถ้าผู้ที่ได้รับอิคิงามิ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก่ออาชญากรรม ครอบครัวจะไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังถูกประนาฌว่าเป็นครอบครัวที่มีความคิดด้อยพัฒนา สุดท้ายต้องย้ายจะที่อยู่ออกไปจากเมืองนั้น และใครที่คิดต่อต้านกฎหมายนี้ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน

แต่ใช่ว่าทุกคนในประเทศจะเห็นด้วยกับกฎหมายนี้ มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน และพยายามล่มล้างกฎหมายนี้ หรือแม้แต่ ฟูจิโมโตะ ที่เป็นคนของรัฐบาลทำหน้าที่ส่งสาส์นยังมีความลังเลในใจถึงกฎหมายนี้ ว่ามันดีจริงหรือ

จุดเด่นที่ชอบ

เป็นการ์ตูนที่ดราม่า และสะเทือนอารมณ์สุดๆ ในแต่ละตอนจะเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ของผู้ที่ได้รับอิคิงามิ ซึ่งแต่ละตอนคนที่ได้รับ อิคิงามิ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบทบาทในสังคมแตกต่างกัน เช่น นักเรียน นักดนตรี หัวขโมย คนไร้บ้าน นักวาดรูป นักถ่ายภาพ นักเต้น ฯลฯ เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวของคนที่รับอิคิงามิด้วย จะได้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนตายของแต่ละคนจะเป็นยังไง บางคนเลือกที่จะตามแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ซึ่งคนที่ทำร้ายเขาบางครั้งก็เป็นคนในครอบครัวเอง บางคนเลือกที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทุกคนที่ได้รับอิคิงามิก็จบลงด้วยก ความตาย และความเศร้า ทั้งนั้น

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่เก็บรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวได้ยอดเยี่ยมมาก และสามารถดึงจุดสำคัญของคนในอาชีพนั้นๆออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อชีวิตถูกบีบให้เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง เขาจะทำอะไรที่เป็นตัวเขามากที่สุด หรือเรียกว่า “ไม่ให้เสียชาติเกิด”

ซาโตริ (ตื่นรู้ในทันที) จะได้เห็นตลอดในการ์ตูนเรื่องนี้ มาจากทั้งคนที่ต้องตาย และคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่อคนที่ตาย

คำถามกับผู้อ่าน

บางครั้งเราคนอ่านก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ถ้าเป็นตัวเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นตัวคุณเองที่ได้รับ อิคิงามิ คุณจะทำยังไง? จะทำอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร? เมื่อลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมาถึง อยากไปอยู่ที่ไหน? หรือที่พระท่านบอกว่า สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในชีวิตคือ “ความตาย” ถูกแสดงให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น

คำถามที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้คือ วันนี้ใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย คิดว่าตัวเองจะ “ตายตาหลับหรือไม่”

Exit mobile version