MR.ROBOT ซีรี่ย์สนุกที่ขอแนะนำครับ

Mr. Robot (TV series)

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่งดูซีรี่ย์เรื่อง MR.ROBOT อีกครั้ง หลังจากเคยดูมาแล้ว 2 ตอนเมื่อนานมาแล้ว แต่หยุดไปด้วยที่ยุ่งมาก เลยต้องกลับมาดูใหม่ตั้งแต่ต้น

เนื้อเรื่องโดยย่อ “เกี่ยวกับวิศกรหนุ่ม ที่กลางวันทำงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ส่วนกลางคืนเป็นแฮคเกอร์ ด้วยความสามารถในการแฮคที่เก่งมากๆ ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับกลุ่มแฮคเกอร์ที่มีอิทธิพล โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบการเงินของโลก ด้วยการโจมตีศูนย์ข้อมูลของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ดูแลข้อมูลทางด้านการเงินของคนเกือบทั้งโลก”

การเดินเรื่องใช้ตัวเอกบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เหมือนเราได้ยินความคิดของเขา (นึกถึงหนังไทยเรื่อง ฟรีแลนซ์ ก็ได้) บางเรื่องมันเสียดสีสังคมได้ดีมาก เช่น การใช้ชีวิตอยู่กับโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ค ใครที่ไม่เล่นพวก FB, Instagram กลายเป็นคนประหลาด แต่ที่ประหลาดกว่า คือ นั้นเป็นช่องทางที่คุณเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณเองให้กับใครที่คุณก็ไม่รู้(แฮคเกอร์)โดยสมัครใจ

ที่น่าแปลกอีกอย่าง คือ ตัวพระเอกของเราเป็น โรคเกลียดการเข้าสังคม ไปไหนมาไหนต้องใส่ฮูดตลอด พูดน้อย ไม่ยอมแม้จะให้ใครแตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ ถึงขั้นต้องกินยาและรับการบำบัด แต่เขากลับรู้จักตัวตนของทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาอย่างดีผ่านการแฮคข้อมูลของคนๆนั้น (ใช่แล้ว พระเอกมันแฮคทุกคน) ตอนที่พระเอกสารภาพว่าทำไมเขาต้องแฮค มันทำให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีอำนาจมากๆในมือเป็นคนที่น่าสงสารมากๆในเวลาเดียวกัน

ช่วงตอนกลางๆของเรื่อง รู้สึกว่าหลายๆเรื่อง ตัวละครมันทำอะไรดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย ทำให้รู้สึกเนื่อยๆ แต่…..พอเรื่องต่างๆเปิดเผยออกมาตอนช่วงท้ายๆ ทำให้เรื่องที่เคยคิดว่าไร้เหตุมันลงตัวมากๆ ซะงั้น…..

สรุปแนะนำให้ดูครับ สนุกมาก

ชอบ Quote นี้มากๆ ของก๊อบมาวางเลยนะ

What I’m about to tell you is top secret. A conspiracy bigger than all of us. There’s a powerful group of people out there that are secretly running the world. I’m talking about the guys no one knows about, the ones that are invisible. The top 1% of the top 1%, the guys that play God without permission. And now I think they’re following me.

Season 2 กำลังจะมาในเร็วๆนี้

https://www.youtube.com/watch?v=YibylhkLwGo

หนังสือ หัวกลวงในหลุมดำ อ่านแล้วครับ

หนังสือ หัวกลวงในหลุมดำ

ชื่อหนังสือ หัวกลวงในหลุมดำ
เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ
288 หน้า พิมพ์ครั้งที่ 1 : 2554
สำนักพิมพ์ 113
ราคา 195 บาท

หนังสือ หัวกลวงในหลุมดำ มีความคล้ายกับ ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล อยู่พอสมควร มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างเจ็บแสบ และค่อนข้างโดน! เป็นหนังสือที่น่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยมีเสื้อเหลือง-เสื้อแดงอยู่เต็มถนน คำว่า “หัวกลวงในหลุมดำ” หมายถึง คนโง่หรือแกล้งโง่ ไปอยู่ใกล้หลุมดำแต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ใกล้ จะถูกดูดลงหลุมอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว (ลงไปแล้วขึ้นไม่ได้นะ แม้แต่แสงยังออกมาไม่ได้เลย ตายลูกเดียว!)

การวิจารณ์ของคุณวินทร์ ที่พยายามมองในแบบสังคมอุดมคติ หรือเรียกว่าพวกโลกสวย อยากเห็นสังคมไปแนวนั้น(เป็นเรื่องดีนะ) มีทั้งชี้ทางและชี้จุดผิด แต่ไม่ได้บอกทางแก้ทั้งหมด หรืออาจจะยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ยังไง ในสังคมสองมาตรฐานของเรา/ไม่ใช่แค่สังคมเราแต่หมายถึงทั่วทั้งโลกนั้น มีแนวคิดสองมาตรฐานอยูู่แล้ว เราควรทำอะไรได้บ้างกับสังคมแบบนี้?

เรื่องการให้การศึกษาของเด็กในประเทศไทยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริง ตัวผมเองก็เป็นอย่างที่คุณวินทร์ วิจารณ์ไว้ไม่น้อย อย่างเช่นการ กลัวครู ไม่กล้าเถียง คงเพราะเราถูกปลูกฝั่งว่าการเถียงครูเป็นเด็กไม่ดี และนี้อาจทำให้การศึกษาของเราไม่พัฒนาและเชื่อคนง่าย

และมีหลายเรื่องที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเรื่องของ อ.แสงอรุณ รัตนกสิกร อาจารย์คณะสถาปัต จุฬาฯ ผู้รักธรรมชาติ รักต้นไม้ เป็นอีกบุคคลที่น่านับถือ

เนื้อหาภายในเล่ม 

  • เรากรอกอะไรใส่หัวเด็กในห้องเรียยน ?
  • ใครเป็นผู้ตีกรอบสังคม ?
  • ศาสนากับความเชื่อจะพาเราไปไหน ?
  • มนุษย์มีความสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตหรือไม่ ?
  • เราสามารถก้าวพ้นสังคมหัวกลวงได้หรือไม่ ?
  • อะไรคือความหมายของชีวิต ?

หนังสืออ่านสนุกอีกแล้วครับ ขอแนะนำ

การเลือกตั้ง 54 เลือกใครดี?

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

การเลือกตั้ง 54 ค่อนข้างได้รับความสนใจสูง เพราะถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากผ่านวิกฤตทางการเมืองหลายเหตุการณ์ การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งแบบในเขตและนอกเขตในวันที่ 26 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา มีคนใช้สิทธิ์เพียงแค่ 55.65% ของคนทั้งหมดที่ลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ น่าแปลกไหมว่าทำไมคนที่สนใจต้องการใช้สิทธิ์เลือกตั้งของตัวเองจนสละเวลาไปเดินเรื่องขอลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ แต่กลับมีจำนวนที่ใช้สิทธิ์น้อยเพียงนั้น ตามที่ฟังจากข่าว ส่วนใหญ่ไปไม่ทัน 15.00 น. เวลาปิดหีบ ผมว่าอันนี้เป็นปัญหาที่ กกต. ต้องนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าอยากให้มีเปอร์เซ็นต์ของคนใช้สิทธิ์มากขึ้น

มีอีกเรื่องของกฏหมายที่ไม่ค่อยเข้าใจ คือ คนที่ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ล่วงหน้าในวันที่ 26 มิถุนายน 2554 แต่หากว่าไม่ไปลงคะแนน ยังสามารถไปลงคะแนนได้อีกครั้งในวันที่ 3 กรกฏาคม 2554 ได้อีกครั้งในกรณีที่ขอลงคะแนนล่วงหน้าในเขตของตัวเอง(ตามทะเบียนบ้าน) แต่ถ้าขอลงคะแนนนอกเขตไว้ถือว่าหมดสิทธิ์ลงคะแนนไปแล้ว ต้องไปทำหนังสือชี้แจ้งเองถ้าไม่ต้องการเสียสิทธิทางการเมืองจากการไม่ไปเลือกตั้ง แต่ถ้าเราคิดแบบบ้านๆคือในเมื่อคนที่ขอลงคะแนนล่วงหน้าในเขตยังเลือกได้อีกครั้งในวันเลือกตั้งจริง แต่คนที่ลงทะเบียนล่วงหน้านอกเขตถึงหมดสิทธิ์เลือกแล้ว! หรือจะให้ใช้สิทธิ์ในเขตที่ขอลงทะเบียนไว้ก็ยังดี อันนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมทำไม่ได้ ทั้งๆที่มันควรจะทำได้และควรจะอำนวยความสะดวกให้เต็มที! (ไม่ต้องยกข้ออ้างเรื่องการโอนชื่อนะ)

เอาล่ะ! มาถึงตัวผม ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าอะไรไว้ทั้งนั้น จะกลับบ้านไปเลือกตั้งที่บ้านเกิด คำถามต่อมาว่าจะเลือกใครดี? ผมมีแนวทางในการพิจารณาแยกเป็นสองกรณีตามสิทธิในการเลือกตั้งคือ การเลือกตัวบุคคล(เขต)กับการเลือกพรรค(บัญชีรายชื่อ)

ขอพูดถึงการเลือกตัวบุคคลก่อน การพิจารณาของผมง่ายมากคือ ยกประโยชน์ให้คนในพื้นที่ เหล่าญาติพี่น้องที่บ้าน เพราะตัวเราดันมาใช้ชีวิตอยู่ กทม.จะกลับที่ก็เฉพาะช่วงเทศการหยุดยาว (อกกตัญญูจริง!) การสอบถามข้อมูลจากคนที่บ้านคงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดแล้ว ครันจะไปเลือกตามใจตัวเองโดยไม่ดูคนที่เขาจะใช้ชีวิตตลอดที่บ้านคงไม่ใช่การดีเท่าไหร่นัก เพราะถือว่า ส.ส. เขต คือปากเสียงของคนในเขตนั้น แต่ความจริงคะแนนจากผมคนเดียวคงเปลี่ยนอะไรได้ไม่มากในพื้นที่แถวนั้น พรรคนั้นคงนอนมาอยู่แล้ว ประมาณเดียวกับ ฮีธ เลดเจอร์ เข้าชิงรางวัลออสการ์จากบทโจ๊กเกอร์ในแบตแมน ไร้คู่แข่ง

ส่วนการเลือกพรรค ถือว่าเป็นการเลือกในระดับประเทศ อันนี้จึงจะเป็นวิจารญาณของตัวผมเองทั้งหมด นโยบายของแต่ละพรรคเข้าขั้นโม้เป็นส่วนใหญ่ แต่การเลือก Vote NO อย่างที่พันธมิตรพยายามเชิญชวน อันนี้ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย สมมตินะสมมติว่า Vote NO ออกมาเยอะจนมีผลทางกฏหมาย แล้วจะทำอะไรต่อไป? จุดสุดท้ายคืออะไร? ซึ่งเหตุการณ์ Vote NO จะมหาศาลอันนี้เป็นไปได้น้อย ดังนั้น ผมไม่ Vote NO แน่นอน

รู้สึกไหมว่าเราเปลื้องตัวเกินไปกับการบอกว่าชอบใครไม่ชอบใคร โดยเฉพาะในสังคมที่บังคับให้เลือกข้าง เราคอยระวังตัวว่าคนรอบข้างอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั้งกันโดยไม่จำเป็นจากความเห็นต่างแบบสุดขั่ว ที่เขียนแบบนี้เพราะบางคนที่อยู่คนละฝ่ายคุยกันได้นะ บางกลุ่มเท่านั้นที่คุยด้วยไม่ได้ เป็นสังคมที่ดูอึดอัดไหมล่ะ!

ถ้าให้คาด พรรคนั้นคงนอนมาตามโพล ตอนนี้ก็คงมาคิดแล้วว่าจะเลือกพรรคไหนมาเป็นฝ่ายค้านดี…หวังว่าเราจะไม่ได้รัฐบาลจากพรรคอันดับสองแม้มันจะเป็น ครม.ที่ดูดีกว่าพรรคอันดับหนึ่งเยอะก็ตาม แต่มันช่างไม่สง่างามเอาซะเลย ให้เขาจัดตั้งไปเถอะ ยังไงประเทสไทยก็ไม่ล่มลงง่ายๆหรอก!

สุดท้ายไปเลือกตั้งกันเถอะครับ อย่างน้อยตอนวิพากวิจารณ์(ด่า)จะได้พูดได้เต็มปาก

รายการตอบโจทย์ คุยกับนายอานันท์ ปันยารชุน

รายการตอบโจทย์ สถานี Thai PBS

คุยกับนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ย้อนอดีตตั้งแต่เมื่อเข้ามารับหน้าที่ มองเหตุการณ์เทียบกับปัจจุบัน รวมทั้งแนวคิดการปฏิรูปประเทศไทย ใน “อานันท์ : ลึกไม่ลับครั้งเป็นนายกฯ” จากรายการตอบโจทย์เลือกตั้ง 54 ช่วงตอบโจทย์ ทางสถานี Thai PBS

ผมว่าเราควรดูการสัมภาษณ์ในรายการตอบโจทย์ของคุณอนันท์ ปันยารชุน นะครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่กลุ่มไหนก็ตาม มีหลายอย่างที่ทำให้เราเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาในสังคมไทยมากขึ้น ผมไล่ดูจนจบ ได้อะไรหลายอย่างมากครับ ไม่ใช่เกี่ยวกับบ้านเมืองของเราเองอย่างเดียว รวมถึงวิธีการใช้ชีวิตที่แทรกอยู่ตลอดการสัมภาษณ์ ที่เรานำมาประยุกต์ใช้ได้จริงและน่าจะดีด้วย

ในรายการตอบโจทย์ ผมชอบการตั้งคำถามและการดำเนินรายการของ คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา มากครับ(ดูจากหลายๆตอน) จะเห็นได้ว่าพิธีกรเข้าใจสถานการณ์ และตั้งคำถามได้ตรงประเด็น ตรงใจที่เราอยากรู้ และควรจะต้องรู้ ได้อย่างชัดเจน

อีกอย่างที่น่าประทับใจคือสถานี Thai PBS มีรายการดีๆมากกว่าสถานีอื่นมาก ทั้งสาระและบันเทิง “ดี” ในที่นี้หมายถึง ดีต่อคนดู ไม่มีการโฆษณาสินค้าแอบแฝงให้เรางง? ยกตัวอย่างรายการที่สนุกที่ผมชอบทางสถานี Thai PBS ก็มี ครอบครัวเดียวกัน, ท่าประชา, ภัตตาคารบ้านทุ่ง, นายก(มือใหม่)หัวใจประชาชน (CHANGE), เป็น อยู่ คือ ฯลฯ ความจริงก็ไม่ได้ดูทุกตอน แต่ก็ได้ดูเมื่อมีโอกาส โดยรวมคือเรานึกออกว่ารายการดีๆในสถานีนี้มีอะไรบ้าง สามารถแนะนำเพื่อนๆหรือคนรู้จักได้ว่ารายการต่างๆนี้ดีจริง ผมว่าช่องฟรีทีวีอื่นๆน่าจะยึดแนวทางของ Thai PBS บ้างนะ

นอกเรื่องไปซะยาว กลับมาดูเทปของรายการตอบโจทย์กันครับ

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เมื่อชีวิตเหลือเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ได้อ่าน แม้จะมีการพิมพ์มานานแล้ว และเคยทำเป็นภาพยนต์มาแล้ว เมื่อปี 2008 โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนมากนัก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ชอบ และซื้อเก็บไว้ คิดว่าเรื่อง อิคิงามิ จะเป็นอีกเรื่องที่จะต้องซื้อเก็บไว้ ความจริงได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว พอดีว่าที่ใต้ตึกที่พักมีร้านเช่าหนังสือมาเปิดใหม่ เลยลองหยิบมาอ่านดู ตอนที่อ่าน อิคิงามิ มี 7 เล่ม ล่าสุดเล่มที่ 8 จะวางขายในวันที่ 11 เมษายน 2011 ที่จะถึงนี้

เรื่องย่อ

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นผลงานของ โมโตโร่ มาเสะ เล่าเรื่องของประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” โดยประชาชนทุกคนจะถูกฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่เด็ก ในวัคซีนบางอันจะมีนาโนเคปซูลที่สามารถกำหนดวันเวลาที่ต้องตายไว้ ในช่วงที่มีอายุ 18-24 ปี ซึ่งโอกาสที่จะโดนแจ๊คพอร์ตนี้ มีเพียงแค่ 1 ใน 1,000 คน เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนนั้นตั้งใจใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตระหนักต่อ “คุณค่าของชีวิต” มากยิ่งขึ้น หรือจะพูดง่ายๆคือ วันนี้ต้องทำให้เต็มที่เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะตายหรือไม่ ทำให้ประเทศลดทั้งอาญากรรม และพัฒนารุ่งเรือง

ฟูจิโมโตะ ตัวเอกของเรื่องคือคนส่ง “อิคิงามิ” หรือ “สาส์นสั่งตาย” ให้ผู้ที่ได้รับเกียรติต้องตายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ ก่อนถึงเวลาตาย 24 ชั่วโมง คนที่ได้รับอิคิงามิ จะสามารถใช้บัตรนี้แสดงเพื่อขอรับบริการต่างๆจาก ห้างร้าน บริการต่างๆได้ตลอดก่อนถึงเวลาตาย และจะได้รับการสรรเสริญจากคนในสังคมอย่างที่สุด และเมื่อเสียชีวิตครอบครัวจะได้รับเงินตอบแทนจากรัฐบาล แต่ถ้าผู้ที่ได้รับอิคิงามิ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก่ออาชญากรรม ครอบครัวจะไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังถูกประนาฌว่าเป็นครอบครัวที่มีความคิดด้อยพัฒนา สุดท้ายต้องย้ายจะที่อยู่ออกไปจากเมืองนั้น และใครที่คิดต่อต้านกฎหมายนี้ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน

แต่ใช่ว่าทุกคนในประเทศจะเห็นด้วยกับกฎหมายนี้ มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน และพยายามล่มล้างกฎหมายนี้ หรือแม้แต่ ฟูจิโมโตะ ที่เป็นคนของรัฐบาลทำหน้าที่ส่งสาส์นยังมีความลังเลในใจถึงกฎหมายนี้ ว่ามันดีจริงหรือ

จุดเด่นที่ชอบ

เป็นการ์ตูนที่ดราม่า และสะเทือนอารมณ์สุดๆ ในแต่ละตอนจะเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ของผู้ที่ได้รับอิคิงามิ ซึ่งแต่ละตอนคนที่ได้รับ อิคิงามิ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบทบาทในสังคมแตกต่างกัน เช่น นักเรียน นักดนตรี หัวขโมย คนไร้บ้าน นักวาดรูป นักถ่ายภาพ นักเต้น ฯลฯ เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวของคนที่รับอิคิงามิด้วย จะได้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนตายของแต่ละคนจะเป็นยังไง บางคนเลือกที่จะตามแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ซึ่งคนที่ทำร้ายเขาบางครั้งก็เป็นคนในครอบครัวเอง บางคนเลือกที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทุกคนที่ได้รับอิคิงามิก็จบลงด้วยก ความตาย และความเศร้า ทั้งนั้น

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่เก็บรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวได้ยอดเยี่ยมมาก และสามารถดึงจุดสำคัญของคนในอาชีพนั้นๆออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อชีวิตถูกบีบให้เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง เขาจะทำอะไรที่เป็นตัวเขามากที่สุด หรือเรียกว่า “ไม่ให้เสียชาติเกิด”

ซาโตริ (ตื่นรู้ในทันที) จะได้เห็นตลอดในการ์ตูนเรื่องนี้ มาจากทั้งคนที่ต้องตาย และคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่อคนที่ตาย

คำถามกับผู้อ่าน

บางครั้งเราคนอ่านก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ถ้าเป็นตัวเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นตัวคุณเองที่ได้รับ อิคิงามิ คุณจะทำยังไง? จะทำอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร? เมื่อลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมาถึง อยากไปอยู่ที่ไหน? หรือที่พระท่านบอกว่า สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในชีวิตคือ “ความตาย” ถูกแสดงให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น

คำถามที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้คือ วันนี้ใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย คิดว่าตัวเองจะ “ตายตาหลับหรือไม่”

กฎหมายไทย บริจาคหนังสือเสรี มีดีมากกว่าเสีย

ภาพประกอบ โดย libraryman

ได้อ่าน “บริจาคหนังสือเสรี” ประเทศชาติจะฉิบหายจริงหรือ จากประชาไท กล่าวถึงกฎหมายใหม่ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และถูกประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว เป็นกฎหมายส่งเสริมให้คนบริจาคหนังสือให้สถานศึกษา ผ่านทางการขอยกเว้นภาษีจากมูลค่าของหนังสือที่บริจาคได้ถึง 200%

มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างเช่น มกุฎ อรดี ที่ออกมาให้ความเห็นว่า การบริจาคหนังสือเสรีจะนำมาสู่ความเสียหายของชาติอย่างใหญ่หลวง โดยเน้นไปที่ เป็นช่องทางในการคอรัปชั่น ประโยชน์จากการหักภาษี หนังสือบริจาคที่ด้อยคุณภาพ การครอบงำ-โฆษณาตัวเองของนักการเมืองผ่านหนังสือ มีข้อโต้งแย้งของความเห็นนี้ จากหลายส่วนดูจะฟังขึ้น และเห็นว่ากฎหมายนี้มีดีมากกว่าเสีย ยกตัวอย่าง

“คุณมกุฎบอกว่าการบริจาคหนังสือเป็นช่องทางหนึ่งของการคอรัปชั่น เช่น ไปซื้อหนังสือราคาถูกๆ แล้วเอามาหักภาษีเต็มๆ กับราคาปกหนังสือ มันก็เป็นธรรมดาของประเทศไทยอยู่แล้วที่จะมีการคอรัปชั่น”

-ธนาพล อิ๋วสกุล กองบรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน (3)

อันนี้ฟังขี้นมาก ใช้แย้งกรณีคอรัปชั่น คนไม่ดี ยังไงก็หาช่องให้ตัวเองได้เสมอ อีกทั้งยังมองแง่ร้ายแต่ทางเดียว

“ปัญหาคือเราเอาอะไรไปวัดว่า ‘ข้อมูล’ หรือ ‘อุดมการณ์ใด’ เป็นอุดมการณ์ที่ ‘ดี’ ที่ ‘ถูก’ และอุดมการณ์หรือข้อมูลใด ‘ผิด’ หรือเป็น ‘อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ’ ? ถ้าเราใช้เหตุผลเช่นนั้นในการ ‘เฝ้าระวัง’ หนังสือ เท่ากับเราก็ยอมรับในแนวคิด ‘พี่ใหญ่’ หรือ ‘คุณพ่อรู้ดี’ เราก็จะไม่มีเหตุผลใดที่จะไปเรียกร้องต่อสู้เวลาที่เขาบล็อกเว็บหรือเซนเซอร์หนัง เพราะนั่นเขาก็อ้างว่าทำเพื่อ ‘ความมั่นคง’ ของชาติ (ประกอบศีลธรรมอันดีด้วย) เช่นกัน”

และอีกประโยค “เราเคยเชื่อหนังสือบางเล่มอย่างหัวปักหัวปำ แต่พออ่านหนังสืออีกเล่ม มันล้างความคิดของหนังสือเล่มก่อนหน้านั้นไปเลย ไม่มีหนังสือเล่มใดหรอกที่จะครอบงำเราได้ตลอดไป และมันมีหนังสือใหม่ๆ รอมาครอบงำเราตลบหลังได้เรื่อยๆ”

-นักเขียนหนุ่มผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม (4)

กรณีที่เกรงว่าหนังสือนี้ควรเฝ้าระวัง กลัวเด็กถูกครอบงำ อธิบายได้เห็นภาพ นอกจากนั้น เขายังเสนอการพิมพ์หนังสือออกมาสองเวอร์ชั่นคือราคาถูก กับราคาแพง โดยใช้คุณภาพของกระดาษที่ต่างกัน เพราะหนังสือยังไงมันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ มีคุณค่าที่ตัวหนังสือไม่ใช่กระดาษ นี้จะเป็นการเพิ่มเสรีให้ผู้อ่านมากขึ้น นักเขียนท่านนี้เขียนได้ถูกใจมาก อยากรู้จังว่าเป็นใคร

นี้เป็นความเห็นส่วนตัว เมื่อครั้งเราอยู่ชนบทห่างใกล้ ตอนเรียนประถมยังจำได้เลยว่า โรงเรียนเรามีหนังสือในห้องสมุดเพียงไม่กี่เล่ม ตอนมัธยมต้นหนังสือในห้องสมุดถือว่าน้อยมาก ใครยืมไปคนอื่นก็คงไม่ได้อ่าน จนจำกัดการยืมให้แค่ 3 วัน

หนังสือนอกตำราเรียนเรียกว่าน้อยมาก เคยอ่านหนังสือของ ชัยคุปต์ ชื่อเรื่อง มนุษย์และอวกาศ ตอนนั้นบอกได้เลยว่ามันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้มาก และเราตั้งคำถามว่าอยากอ่านชุดอื่นๆอีกทำไมไม่มี พอได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาในเมือง ที่มีหนังสือเยอะกว่ามากเรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด เราก็ตั้งคำถามอีกว่า ทำไมที่โรงเรียนเก่าเราไม่มีแบบนี้บ้าง นี้ต่างหากที่เรียกว่าเสรีในการอ่าน ไม่มีให้อ่านแล้วจะเรียกเสรีได้อย่างไร ถ้ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนได้บริจาคหนังสือมากขึ้น เราก็เห็นแสงสว่างเล็กๆที่จะเกิดขึ้น จะได้เห็นหนังสือในห้องสมุดนอกเมืองมากขึ้น การบริจาคหนังสือเสรี คือบริจาคเสรีในการอ่านด้วย

ส่วนเรื่องของหนังสือที่บริจาคจากคนทั่วไปเห็น ถ้าคนที่ตั้งใจจะบริจาคจริงๆ มันคงเยอะกว่าคนที่ตั้งใจหาผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นสังคมมันคงอยู่ไม่ได้มาถึงขนาดนี้หรอก คนเหล่านี้ย่อมต้องคัดเลือกหนังสือที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์ให้ห้องสมุด หรือแม้ว่าจะเป็นหนังสือมือสองถูกๆ แต่หนังสือเล่มนั้นก็เคยเป็นหนังสือมือหนึ่งมาก่อน มีคุณค่าที่ตัวหนังสืออยู่แล้วไม่ใช่กระดาษหรือปก

จึงขอสนับสนุนกฎหมายนี้ ป่วยการที่เราจะมัวคำนึงแต่ผลเสียที่จะเกิดจากคนไม่ดีในสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติม-voicetv.co.th

ภัยของอารมณ์โกรธ ฉบับโหด

เลือดสาด

เว็บชื่อดังแห่งหนึ่งเอาดราม่าในพันทิพมาให้อ่าน เป็นเรื่อง ภัยของอารมณ์โกรธ คิดว่าหลายคนคงได้ผ่านตามาบ้างกับ FWD mail อันนี้ลองอ่านดู

ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขัดล้างรถอย่างขะมักเขม้น ลูกชายวัย 4 ขวบ ก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมา แล้วบรรจงขูดขีดไปบนด้านข้างของตัวรถ

พักใหญ่ต่อมา…เมื่อพ่อได้ยินเสียงครูดของหิน ก็เกิดความฉุนเฉียว โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากระชากมือลูกมา ตีลงบนมือน้อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่ทันนึกว่าตนได้ถืออะไรอยู่ในมือ

ณ โรงพยาบาล.. นิ้วลูกชายถูกตัดออก เพราะกระดูกแตก จนหมอไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ขณะที่พ่อเข้ามาดูลูกในห้อง ลูกมองพ่อด้วยสายตาปวดร้าว แล้วถามพ่อว่า

“เมื่อไร นิ้วหนูจึงจะยาวเหมือนเดิม ? ”

คำถามนั้น…เหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจผู้เป็นพ่อ เขารู้สึกละอายใจ รู้สึกผิด และเสียใจในการกระทำตนอย่างไม่อาจให้อภัย
เขาจึงกลับไปที่รถ เตะมันสุดแรงเกิดโดยไม่ยั้งจนเหนื่อยหอบ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างรถอย่างเศร้าใจ สายตาพลันเหลือบไปเห็นรอยขูดขีด เขาเบิกตากว้าง ! จ้องมองคำว่า

….รักพ่อ….

น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อ แล้วไหลอาบแก้ม เขาเอามือปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับใจจะขาด รุ่งขึ้น… ชายคนนั้นได้ฆ่าตัวตาย อารมณ์โกรธ มีโทษมหันต์ ปัญหาของโลกในทุกวันนี้ คือ

คนบางคน..

“ รักรถ หวงรถ หรือสิ่งของอื่น ยิ่งกว่ารักและห่วงใยลูก หรือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ”

จำไว้เสมอว่า สิ่งของมีไว้ให้ใช้

และ

คนมีไว้ให้รัก

ประเด็นที่เอามาเขียน คือชอบใจ ความเห็นที่ 93 ของคุณ yatiko (yatiko) ที่แต่งเรื่องใหม่ อ่านแล้วมันส์ ขออนุญาติเอามาแปะไว้ในบล็อกหน่อย ให้อารมณ์ย้อนคิดไปถึง บอร์ดใต้ดินแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ที่บ้าดีเดือด วิจารณ์อะไรแบบหนักๆ  แบบไม่เกรงใจใคร โดน ICT ไล่ปิดไปหลายครั้งจนตอนนี้ไม่รู้เหล่าสมาชิกไปสิงสถิตอยู่ไหนบ้าง ลองอ่านดู เรื่อง ภัยของอารมณ์โกรธ ฉบับโหด ต้นฉบับมาจากเว็บพันทิพที่ลิงค์นี้ ผมเรียกงานแนวนี้ว่า หลุดโลกสไตล์

ความคิดเห็นที่ 93 โดย yatiko (yatiko)

(อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นครับ)

ตั้งแต่วันนั้นมา จิตใจของฉันก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น…

ฉันมองชายคนนั้น มองรถคันนั้น แล้วมองนิ้วตัวเอง…เจ็บปวดเหลือเกินกับสิ่งที่ฉันได้รับ…

“มันจะต้องเจ็บกว่าฉันเป็นสิบๆเท่า” ฉันพร่ำบอกตัวเองขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล แผนการต่างๆนาๆผุดขึ้นมาในหัว…ฉันพร่ำรอโอกาส รอวันสะสางบัญชีเลือดมาถึง

กระทั่งวันนั้น วันที่เขามารับฉันออกไปจากโรงพยาบาล เขาไม่กล้ามองหน้าฉัน ไม่กล้าสัมผัสตัวฉัน ได้แต่ใช้หางตาเหลือบมองนิ้วมือที่กุดด้วนของฉันด้วยใบหน้าเรียบเฉย…

ฉันนอนฝันร้ายแทบทุกคืน ภาพที่เขาเดินเข้ามาตีนิ้วมือของฉันจนแหลกละเอียดนั้นฉายไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ไม่มีที่สิ้นสุด

หากแต่วันหนึ่ง โอกาสของฉันก็มาถึง…

ชายคนที่ฉันเกลียดที่สุดในโลกนั่งอยู่ตรงนั้น…อยู่ข้างรถของมัน รถที่มันรักหนักหนา มันกำลังล้างรถของตัวเองอยู่เหมือนอย่างที่เคยทำ…

ฉันเริ่มดำเนินแผนการ…

ฉันตีสีหน้าให้ดูบริสุทธิ์ เคลื่อนกายเข้าไปที่รถช้าๆ ชายคนนั้นชะงัก หันมามองที่ฉันเขม็ง ในดวงตาเหมือนจะมีคำถามผสมปนเปกับความหวาดหวั่น…ฉันรู้สึกได้

“พ่อครับ ผมเจ็บเหลือเกิน” ร่างของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกสาป…ฉันมาถูกทางแล้วจริงๆ

“ผมทำผิดอะไรครับ ทำไมพ่อถึงทำกับผมแบบนี้” มันได้ผล…เขาเริ่มร้องไห้ ซุกใบหน้าลงบนผ่ามือทั้ง2ข้าง

ฉันเดินเข้าไปในระยะประชิด เขาหันหน้ามาสบตาฉันแบบคนสำนึกผิด ฉันยิ้มหวาน…ชูมือด้วนๆของตัวเองขึ้น แล้วพูดออกไปว่า…

“พ่อจ๋า เมื่อไหร่นิ้วหนูจะยาวเหมือนเดิม”

สิ่งสุดท้ายที่ฉันจำได้คือ ชายคนนั้นกรีดร้องเสียงดัง วิ่งเข้าไปในบ้านก่อนที่จะวิ่งกลับออกมาพร้อมกับปืนในมือ…

ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น ฉันสัมผัสได้ถึงเของเหลวอุ่นๆที่กระเด็นมาเปรอะเปื้อนร่างกาย ชายผู้ที่เคยเป็นพ่อของฉันนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า ตาของเขาเบิกโพลง ขมับด้านซ้ายของเขาเป็นรูโหว่ ฉันแยกไม่ออกว่าสิ่งที่ทะลักออกมาคือเลือดหรือเนื้อสมองกันแน่…

ฉันยืนกอดตัวเองอยู่ตรงนั้น.. อยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้เนิ่นนาน ความแค้นนี้ได้ถูกชำระแล้ว หยดเลือดสีแดงฉานที่เปรอะเปื้อนร่างกายทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน…
.
.
ฉันยกมือที่นิ้วขาดวิ่นของตัวเองขึ้นมาดู รู้สึกราวกับว่า…นิ้วมือของฉันกำลังงอกขึ้นมาใหม่อย่างช้าๆ…

กลับบ้านต่างจังหวัด

ตอนแรกกะจะลองเขียนบล็อกที่บ้าน โดยใช้ EDGE ของ Dtac เจ้าอื่น True แทบจะไม่มีสัญญาณ ส่วน AIS พอๆกับ Dtac สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะการอัพโหลดรูปขึ้นเว็บทำไม่ได้เลยช้ามาก ส่วนตัวอักษรยังพอจะทำได้ ถ้ามี 3G อาจจะได้เห็นผมบล็อกที่บ้านเกิดสักครั้ง บันทึกไว้ดีกว่าว่าการบล็อกครั้งนั้นจะเกิดขึ้นห่างจากตอนนี้นานเท่าไหร่ นับตั้งแต่ วันที่ 18 กันยายน 2553 ณ วันที่พยายามบล็อกที่บ้านเกิด

ครั้งก่อนถ่ายรูปรอบบ้านดูว่าแม่ปลูกผักอะไรไว้บ้าง ครั้งนี้เดินทั่วทั้งหมูบ้าน ถ่ายภาพธรรมชาติ ช่วงนี้ข้าวกำลังเขียว แต่ยังไม่งามมากนักเพราะฝนเพิ่งมา ข้าวเพิ่งปักดำ บรรยากาศที่บ้านมีฝนตกลงมาเป็นระยะ เป็นวันเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน มีทั้งเรื่องดี เรื่องร้ายเกิดขึ้นมากมาย แต่เราจะเลือกจำเฉพาะเรื่องที่น่าจดจำ อย่างน้อยก็รูปสวยๆเหล่านี้ จะอธิบายรายละเอียดเล็กน้อยให้ได้รู้ถึงบรรยากาศช่วงนั้น

กลับมาถึงบ้านตอนเช้า พระมาบิณฑบาตรพอดี ได้เก็บภาพไว้ดู

หลังฝนตก อากาศที่บ้านมันดีเหลือเกิน หายใจได้เต็มปอด

ดอกไม้ หลังโดนฝนมันเบ่งบาน สดชื่น
เจ้าจ๋อ รับจ้างขึ้นมะพร้าว

บริการรับจ้างขึ้นมะพร้าว โดยเจ้าจ๋อ ตระเวนรอบหมู่บ้าน ถ่ายเกือบไม่ทัน

ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร แต่สวยดี
ดอกโป๊ยเซียน
แมลงเต่าทอง
รถมอเตอร์ไซต์รุ่นเก่า

คันนี้เจ้าของเขาบอกว่าซื้อมาด้วยเงิน 8 พันกว่าบาท เครื่องยังวิ่งได้ดี ดูคลาสสิคดีเลยถ่ายเก็บไว้

หนองโฮง ชื่อเดียวกับชื่อหมู่บ้าน
แมงปอ อาศัยอยู่ข้างริมหนอง
พี่ชายคนนี้ชื่อ นาวิน แกยิ้มมีความสุขดีเลยขอเอามาลงไว้ดูหน่อย
เห็ดขม มันขมสมชื่อของมัน

เห็ดขม มันขมสมชื่อของมัน มีกรรมวิธีทำให้หายขมได้ แต่หลายคนก็เลือกที่จะกินแกงเห็ดขม แบบขมๆ

ตอนเย็นแวะไปเดินตลาดนัด คนคึกคักน่าดู

วันสุดท้ายก่อนเดินทางเข้า กทม. คือ วันเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน

บรรยากาศการเฝ้าดูการนับคะแนน

ลุ้นด้วยใจจดใจจ่อ ผลออกมาก็ต้องมีฝ่ายที่ดีใจ และฝ่ายที่เสียใจ แต่ต้องคิดว่าเราคือ หมู่บ้านเดียวกันต้องสามัคคีร่วมกันพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตน เลิกแบ่งข้าง หันหน้าเข้าหากัน และเดินหน้าพร้อมกัน

ปล. ไม่ได้บล็อกหลายวัน หงุดหงิดเหมือนกันแฮะ

เตือนภัยจาก SMS 4541441 แบบทดสอบ IQ

แบบทดสอบ IQ

ผมลองเล่นไอ้แบบทดสอบ IQ เล่นๆไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อทำครบ 10 ข้อแล้ว จะให้กรอกหมายเลขโทรศัพท์ และบอกว่าให้ส่ง SMS ไปที่ 4541441 เพื่อรับระดับ IQ ของคุณ ตอนนั้น นึกยังไงไม่รู้เลยลองส่งไปดู ได้คำตอบกลับมาเป็นคะแนนกับคำว่าคุณปกติดีนะ ก็โอเคไม่ได้คิดอะไรมาก ทำเล่นๆ

แต่หารู้ไหมว่าตอนนั้นเราตกหลุมพรางไปแล้ว ที่ไม่อ่านรายละเอียดด้านล่าง ที่ตัวเล็กเหลือเกิน ว่าถ้าคุณส่ง SMS ไปแสดงว่าคุณสมัครบริการรับข้อความลิงค์ดาวน์โหลดวอลเปเปอร์บ้าบออะไรก็ไม่รู้ มันจะส่งมาวันละ 1 ข้อความ  6 บาท/ข้อความ(กินแบบเนียนๆ) ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทุกวันโดนหักตังค์ไป วันละ 6 บาท แลกกับ ข้อความลิงค์อะไรสักอย่าง มันส่งมาทุกวันเราก็ไม่เอะใจ มือถือผมเป็นแบบเติมเงิน โทรศัพท์ไม่ค่อยได้โทรออกเท่าไหร่ และไม่ค่อยเช็คตังค์ในมือถือ หมดก็เติม วันนี้นึกยังไงไม่รู้เช็คตอนเช้า พอมันส่งข้อความมาตอนบ่าย เลยลองเช็คเงินอ้าว ยังไม่ได้โทรไปไหนตังค์หายไปไหนว่ะ จึงลองถามพี่กูเกิลดู พบว่ามีคนโดนเหมือนกัน ผ่านมา 13 วัน(ดูจากข้อความคะแนน IQ) นับจากวันที่ลองเล่น ซวยแล้วตรู

หาวิธีหยุดบริการแย่ๆนี้ หานานพอควร สุดท้ายก็มาเจอรายละเอียดที่น่าเดิมที่เราเคยเล่นนั้นแหละ

คือ ส่งคำว่า stop A6 ไปที่ 4541441 รอสักพักมันจะตอบกลับมาว่าขอบคุณที่ใช้บริการ (ไม่อยากใช้เลย)

งานนี้เลยเสียค่าโง่ไป 13×6 = 78 บาท สำหรับผมเยอะมากกับเรื่องที่ไม่ควรเสียเลย นึกในใจถ้าวันนี้ไม่เช็คตังค์มันคงเอาเงินเราไปเรื่อยๆ หากินง่ายจัง

ฝากเตือนทุกท่านระวังตัว โปรดอ่านรายละเอียดให้ดี ที่ดีไม่ต้องเล่นมันเลย และคิดว่าอะไรแบบนี้น่าจะมีอีกหลายรูปแบบต้องระวังให้ดี

ใครอยากรู้ว่ามันส่งลิงค์อะไรมาให้ผมลองทดสอบให้แล้วนะมันคือ ภาพวอลเปเปอร์สำหรับมือถือธรรมดาขนาด 240×320 px แต่ภาพละ 6 บาท ยังไม่รวมค่าโหลดอีก (ต้องบวกไปในค่าโง่อีกนะเนี้ย) เจ็บใจจริงๆ

“ขอ” ความเห็นใจของคนไทย

อ่านเรื่อง “ขอ” ของคุณ @lewcpe แล้วมันแทงใจ เฮ้ย..โดนเหมือนกันเลย!  จึงเอามาเล่าและขอเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาเรื่องแบบนี้ให้ถี่ถ้วนและเสนอทางออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ การให้ง่ายๆ ดังที่เป็นมา เรื่องมันมีอยู่ว่า

ผมเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดในช่วงสงกรานต์ ขากลับถึงกรุงเทพฯราวตี 3  รถที่มาส่งจอดหน้าปากซอย ระหว่างที่กำลังเดินเข้ามาในปากซอย ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ขอความช่วยเหลือ เขาอ้างว่า บ้านอยู่แถวรังสิต (ผมอยู่ราชเทวี ไกลกันมาก) เขาแวะมาหาเพื่อนแถวนี้ที่ไม่ได้เจอกันนานแต่เพื่อนเขาย้ายไปจากที่นี้แล้ว เขาจะกลับบ้าน แต่โดนล้วงกระเป๋า ขณะที่พูด เขาเอามือดึงกระเป๋ากางเกงปลิ้นออกมาให้ดูว่าไม่เหลืออะไรเลย ผมยังนิ่ง เขาตอกย้ำอีกครั้งด้วยคำพูด “นะครับ คนไทยด้วยกันช่วยเหลือกันนะครับ ผมไม่มีแม้เงินโทรกลับบ้าน”  สุดท้ายเราก็ควงเงินให้เขาไป เขายังยืนอยู่ตรงนั้น แล้วผมก็เดินจากมา ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรแล้ว ถือว่าได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ ให้เขาได้กลับบ้าน

ถัดจากวันนั้น ผมเจอเขาบ่อย ทั้งในซอย หน้าปากซอย พอสรุปได้ว่า เรื่องมาเยี่ยมเพื่อนโกหกทั้งเพ เหมือนโดนตบหน้าแรงๆ  ทุกครั้งที่เจอผู้ชายคนนั้น เขาเดินผ่านเราธรรมดา แต่ทำไมผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ

ต่อไป ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ จะเสนอทางออกใหม่ให้เขาดังเช่นที่คุณ @lewcpe ทำคือ “การสื่อสาร” หรือ ติดต่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือไปเลย

ไม่ได้แล้งน้ำใจ แต่ไม่อยากสนับสนุนคนไม่ดี

ขอบคุณ  คุณ@lewcpe สำหรับการ Ignite

Exit mobile version