แจกแอพ WBC Counter for Android ฟรีครับ (แอพเขียนเอง)

แอพพลิเคชั่น WBCCounter

WBCCounter เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือ Android ครับ ไอเดียง่ายๆครับ นักเทคนิคการแพทย์จะเป็นคนแยกชนิดของเม็ดเลือดขาวจากเลือดตัวอย่างหลังจากย้อมสีแล้วโดยใช้กล้องจุลทรรศน์มองด้วยตาเปล่า อาศัยความเชี่ยวชาญ และทักษะในการคัดแยกชนิด โดยจะรายงานแยกเป็นเปอร์เซนต์ ในโรงพยาบาลทั่วไปในปัจจุบันมือเครื่องอัตโนมัติวิเคราะห์ให้อยู่แล้ว แต่วิธีมาตรฐานที่ต้องย้อมสีและดูโดยผู้เชียวชาญนั้นยังต้องทำควบคู่กันไป

เวลานับแยกชนิดของเม็ดเลือดขวาเราจะเลื่อนสไลด์ไปเรื่อยๆเมื่อเจอเม็ดเลือดขาวเราจะจำแนกชนิด และเลื่อนเพื่อหาตัวถัดไป ทำไปเรื่อยๆจนครบหนึ่งร้อยตัว จึงจะสรุปออกมาว่าในหนึ่งร้อยตัวมีเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ ปัญหาคือ อยู่ในแลปจะมีเครื่องกดเหมือนเครื่องคิดเลขให้ครับ ครบร้อยมันก็จะร้องเตือน แต่ที่ทำงานไม่มีครับ จะเอามือขีดนับทีละตัวก็กะไรอยู่ มือถือก็มี แอพก็ไม่น่าจะยาก สรุปเลยเขียนมาเป็นแอพไว้ใช้เองเลยดีกว่า แต่เขียนแล้วก็อยากจะแชร์ด้วย

ขั้นตอนการเขียน

เนื่องจากเป็นแอพไม่ยากนัก ใช้ https://appinventor.mit.edu ช่วยเขียนก็เอาอยู่ เขียนไปเขียนมาเริ่มสนุก เลยเพิ่มฟีเจอร์เล็กๆน้อยๆเข้าไป เพื่อความสนุก เช่น กดแล้วมีเสียง ก็ใช้ iPod Touch อัดเสียงเพื่อนๆที่ทำงานมาใส่ ต้องขอบคุณ พี่ๆน้องๆทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เป็นเสียงดีดนิ้ว ผิวปาก อะไรทำนองนี้ ต้องลองเดาดูว่าเป็นเสียงอะไร เพิ่มกดแล้วสั่น ตอนรายงานผล บอกด้วยว่าค่าที่ได้ปกติหรือผิดปกติหรือไม่ ใช้เวลาเขียนจริงๆไม่นานประมาณ 2-3 ชั่วโมง

วิธีใช้

มันเป็นแอพสำหรับนักเทคนิคการแพทย์ คิดว่าแค่เห็นก็น่าจะใช้เป็นอยู่แล้ว แต่ก็ได้ทำลำดับบังคับอยู่นิดๆว่าต้องทำยังไงก่อน ถ้าไม่กดปุ่มนี้ก่อนก็ทำงานต่อไม่ได้ อะไรประมาณนี้

  1. โหลดโปรแกรมมาติดตั้งก่อน WBCCounter.apk ดาวน์โหลด รับรองความปลอดภัยครับ ไม่มีไวรัส ไม่มีโฆษณา
  2. ติดตั้ง แล้วเปิดแอพขึ้นมา
    แอพพลิเคชั่น WBCCounter

    ใส่ชื่อ subject, reporter อันนี้ไม่ได้บังคับใส่

  3. กด Start ต้องกดก่อน ไม่งั้นปุ่มกดนับจะไม่สามารถกดได้ แล้วเราก็พร้อมนับแล้ว

    WBCCounter เริ่มกดนับได้แล้ว

  4. เมื่อเราดูสไลด์และนับจำแนกไปเรื่อยๆจนครบ 100 ตัว โปรแกรมจะเตือนว่า “ครบแล้วครับ” และไม่สามารถกดปุ่มชนิดของเม็ดเลือดขาวได้อีก จากนั้นกดปุ่ม Report ครับ

    ครบ 100 ตัวแล้ว

  5. หน้าตาของการรายงานผลเป็นแบบนี้ครับ
    รายงานผล

    มีบอกช่วงปกติ ถ้าแสดงสีตัวอักษรเป็นสีแดง แสดงว่ามีค่าที่ผิดปกติไป

  6. กด back กลับไปหน้าที่แล้ว ถ้าจะเริ่มนับใหม่ก็กดปุ่ม Reset และกด Start เพื่อเริ่มนับใหม่อีกครั้ง

พอลองเล่นไปสักพัก ต้องมีเขียนเพิ่มอีกนิดคือ ให้มันมีปุ่มปิดเสียง กับปุ่ม undo ไว้ใช้ตอนกดผิดปุ่ม และชนิดของเม็ดเลือดขาวทั้ง 5  ชนิด จะพบได้ในคนปกติทั่วไป ซึ่งยังมีเม็ดเลือดขาวและเซล์ชนิดอื่นๆที่อาจพบได้ แต่ไม่ได้เอาเข้ามาด้วย ในอนาคตอาจทำปุ่มแยกต่างหากเข้ามาด้วย

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจนะครับ

QRCode WBCCounter

รูปถ่ายจากกล้องของ Nokia Lumia 920

ได้ Nokia Lumia 920 มาเล่นอยู่สองสามวัน จากกิจกรรม Test Drive เป็นการลองเล่น Windows Phone 8 ครั้งแรก แม้จะไม่กี่วันก็อยากจะบันทึกประสบการณ์ไว้เหมือนกัน จริงๆแล้วเล่นไปนานแล้ว เขียนเป็น draft ไว้นานมาก กว่าจะเสร็จและเอามาโชว์ให้คนอื่นได้เห็นในตอนนี้

ส่วนใหญ่คงเน้นที่ถ่ายรูป เพราะเขาก็ใช้จุดนี้เป็นจุดขายว่ามันยอดเยี่ยมกว่าสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่น ก่อนอื่นมาดูรูปลักษณะทั่วไป สเปคของเครื่องคิดว่าหาอ่านได้ทั่วไป Nokia Lumia 920

Nokia Lumia 920 สีแดง
ด้านหลัง มีกล้องกับแฟลช
ด้านข้างมีปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเปิด-ปิด และปุ่มกดถ่ายภาพ
ด้านข้างอีกด้านไม่มีปุ่ม
ด้านล่างมีช่องเสียบ usb สำหรับชาร์ตและเชื่อมต่อกับคอมพิวเอตร์ แล้วก็ลำโพง
ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง กับถาดใส่ซิม ใช้ micro Sim
หน้าตาตอนเปิดเครื่อง
แอพพลิเคชั่น

สิ่งที่อยากบันทึกไว้

  • ภาพถ่ายไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเยี่ยมยอดแบบทิ้งห่างตัวอื่นๆมากนัก
  • แอพพลิเคชั่นที่เราใช้ประจำส่วนใหญ่มีครบเกือบหมดแล้ว มีบางตัวจริงๆที่ยังไม่มี เช่น Instagram, Food
  • ชอบคีย์บอร์ดของ Windows Phone 8 นะครับ รู้สึกว่าพิมพ์ง่ายกว่าของ iOS และ Android
  • ทำงานร่วมกับ Cloud Service ของ Microsoft ได้ดี Sync ข้อมูลกับ SkyDrive ได้ง่าย ถือว่าโอเคเลย
  • แอพพลิเคชั่น Nokia City Lens พอมีประโยชน์อยู่บ้างนะ ตอนไม่รู้จะหาข้าวกินที่ไหนดี ส่วนแอพถ่ายภาพหลายช็อตแล้วมาเลือกหน้าที่ดีที่สุดที่หลัง อันนี้เฉยๆ โอกาสที่จะใช้มีน้อย

สุดท้าย รวมรูปถ่ายจากกล้องของ Nokia Lumia 920 เป็นภาพที่ Sync เข้า SkyDrive มาอีกที ตอนแรกคิดว่าเป็นไฟล์เต็ม แต่พอมาเปิดดู พบว่ามันถูกย่อลงมาแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ พอดูได้ (มีภาพถ่ายแบบพาโนรามาปนอยู่ด้วยนะ)

แกะกล่อง i-mobile IQ6 จอใหญ่ กล้องชัด ราคา 8,490 บาท

ได้มือถือใหม่มาครับ เป็นพวกขี้อวด ก็เลยเอามาแกะกล่องให้ดู มือถือไม่ใช่แบรนด์อินเตอร์อย่างพวก Apple, Samsung, LG, Sony แต่ขอบอกว่าของเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ มือถือที่ว่าคือ i-mobile IQ6 สเปคเด่นๆ ก็จอ 5 นิ้ว ระดับ 720p กล้อง 12 ล้าน ราคา 8,490 บาท เป็นต้น

ตัวเองใช้มาได้สัปดาห์กว่าๆแล้ว เรื่องการใช้งานค่อยว่ากันภายหลัง มาดูแกะกล่องก่อนว่าข้างในมีอะไรบ้าง

กล่องของ i-mobile-IQ6

มีแถม SD card ความจุ 16 GB มาให้พร้อม

SD card ความจุ 16 GB ที่แถมมา
ด้านหลังเป็นสเปคของเครื่อง เรียกว่าราคาคุ้มค่าตัว
ด้านข้าง

ด้านข้างของกล่องจะดึงจุดเด่นของเครื่องออกมาโชว์ คือ มาพร้อม Android 4.1, รองรับ 3G, กล้องหลัง 12 ล้าน กล้องหน้า 2 ล้าน, CPU 1 GHz dual Core, ใช้งาน VDO Call ได้, รองรับ 2 ซิม และ จอ 5 นิ้ว

เปิดดูข้างในดีกว่า

ตัวเครื่อง i-mobile IQ6

เปิดกล่องออกมา เจอเครื่องห่อพลาสติกมาอย่างดี แต่ดูไม่ค่อยเท่เท่าไหร่

ลองจับดูตัวเครื่อง i-mobile IQ6

ลองจับดูเครื่องก็ใหญ่พอสมควรสำหรับคนมือเล็กอย่างเรา มีน้ำหนักนิดหน่อย

สาย USB เชื่อต่อกับคอมพิวเตอร์และเป็นสายชาร์ตในตัว
หูฟังพร้อมกับไมค์ ใช้คุยโทรศัพท์ได้
แบตเตอรี่ 2100 mAh ใช้งานเต็มวันสบายๆ
แถมเคสมาให้ด้วยในกล่อง
เต้าเสียบไฟฟ้าบ้านไว้ต่อชาร์ตแบตเตอรี่
คู่มือการใช้งาน
แถมผ้าเช็ดจอกับฟิล์มกันรอยมาให้ด้วย
แกะออกจากถุง แล้ววางให้ดูว่ามีอะไรในกล่องบ้าง
เอาสติกเกอร์แปะหน้าออก ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ
ลองว่างเทียบกับน้อง iPod Touch 4Gen กลายเป็นพี่ตัวใหญ่ไปเลย
ดูข้างหลังกล้อง 12 ล้านพิกเซล มีฟิล์มติดอยู่ จะถ่ายก็เอาออกด้วยนะ
ถือไว้ในมือ ใหญ่ดีนะ
ใส่แบตเตอรีแล้วลองเปิดดูเลย
โลโก้ i-mobile
หน้า lock screen ดูดีเลยทีเดียว
unlock ออกมาเป็นหน้า home มีโปรแกรมติดตั้งมาแล้วบางส่วน

ตอนแรกกะจะลองโทรดู แต่ดันลืมใส่ซิมซะงั้น เลยต้องมาแกะฝาหลังใหม่อีกที พอดีว่ามีซิมอยู่แล้วสองตัวเป็นเบอร์ที่ใช้ประจำอยู่แล้ว กับซิมของแอร์การ์ดสำหรับเล่นเน็ตสะดวกเลยล่ะคราวนี้ จับยัดเข้าไปทั้งสองอันเลย แต่เครื่องสามารถใช้ 3G ได้ทีละซิมนะครับ ผมตั้งให้ซิม true เป็นโทรเข้า-ออก ส่วนซิม dtac ตั้งให้เป็น 3G ไว้เล่นเน็ต

ฝาหลังไม่ถือว่าแกะยากนะ

ก็ประมาณนี้นะครับ ส่วนเรื่องการใช้งานชอบตรงไหนไม่ชอบตรงไหน เดี๋ยวจะมาอัพเดตอีกทีนะครับ

ดูสเปคเครื่อง

  • หน้าจอ : 5 นิ้ว HD(IPS Screen) 720 x 1280 พิกเซล กันรอยขีดข่วนด้วยกระจก Dragon trail
  • หน่วยประมวลผล : 1.0 GHz Dual Core
  • 3G : แยกออกเป็น 2 รุ่น IQ6 จะรองรับ 3G 850/2100 MHz (Dtac และ True)<<เครื่องผมเป็นรุ่นนี้ กับ IQ6A จะรองรับ 3G 900/2100 MHz(AIS)
  • หน่วยความจำเครื่อง : ROM 4 GB/RAM 1 GB
  • หน่วยความจำภายนอก : เพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 32 GB (เขาแถมมาให้ 16 GB)
  • กล้อง : กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล (BSI) กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล (BSI)
  • แบตเตอรี่ : 2100 mAh Li-Polymer
  • ระบบปฎิบัติการ : Android 4.1 Jelly Bean

โฆษณาที่เห็นในทีวีคือตัวนี้ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=8d-AbYgzKg0

 

เปรียบเทียบสเปคและราคา iPhone 5, iPhone 4S, iPhone 4

พอดีว่าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสเปคและราคาของ  iPhone 5, iPhone 4S และ iPhone 4 ก็ไปเจอตารางที่ Apple ทำไว้อย่างดี เลยก๊อปมาทั้งดุ้น เผื่อมีคนสนใจ แม้แต่ iPhone 4 ที่เอาไว้ขายในราคาประหยัดเมื่อเทียบกับรุ่นใหม่ ยังราคาตั้ง 14,500 บาท ให้มีตังค์เหลือใช้เยอะๆค่อยว่ากันอีกที

A6 chip

A5 chip

A4 chip

สี

Black and Slate,   White and Silver
Black,   White
Black,  White

ขนาดและน้ำหนัก

  • Height: 123.8 mm (4.87 inches)
  • Width: 58.6 mm (2.31 inches)
  • Depth: 7.6 mm (0.30 inches)
  • Weight: 112 grams (3.95 ounces)
  • Height: 115.2 mm (4.5 inches)
  • Width: 58.6 mm (2.31 inches)
  • Depth: 9.3 mm (0.37 inches)
  • Weight: 140 grams (4.9 ounces)
  • Height: 115.2 mm (4.5 inches)
  • Width: 58.6 mm (2.31 inches)
  • Depth: 9.3 mm (0.37 inches)
  • Weight: 137 grams (4.8 ounces)

จอภาพ

  • 4-inch (diagonal) Retina display
  • 1136×640 resolution
  • 326 ppi
  • 3.5-inch (diagonal) Retina display
  • 960×640 resolution
  • 326 ppi
  • 3.5-inch (diagonal) Retina display
  • 960×640 resolution
  • 326 ppi

3G และ Wireless

  • GSM model: GSM/EDGE
  • UMTS/HSPA+
  • DC-HSDPA
  • CDMA model: CDMA EV-DO Rev. A and Rev. B
  • LTE3
  • Wi-Fi (802.11a/b/g/n; 802.11n on
    2.4GHz and 5GHz)
  • Bluetooth 4.0
  • GPS and GLONASS
  • GSM/EDGE
  • UMTS/HSPA
  • CDMA EV-DO Rev. A2
  • Wi-Fi (802.11b/g/n; 802.11n on
    2.4GHz)
  • Bluetooth 4.0
  • GPS and GLONASS
  • GSM model: GSM/EDGE
  • UMTS/HSDPA
  • CDMA model: CDMA EV-DO Rev. A
  • Wi-Fi 802.11b/g/n (802.11n on
    2.4GHz)
  • Bluetooth 2.1 + EDR
  • GPS

ซิมการ์ด

Nano-SIM
iPhone 5 is not compatible with existing micro-SIM cards.
Micro-SIM Micro-SIM

กล้องหลัง

8 megapixel

  • Autofocus
  • Tap to focus
  • LED flash
  • Backside illumination sensor
  • Five-element lens
  • Face detection
  • Hybrid IR filter
  • ƒ/2.4 aperture
  • Panorama

8 megapixel

  • Autofocus
  • Tap to focus
  • LED flash
  • Backside illumination sensor
  • Five-element lens
  • Face detection
  • Hybrid IR filter
  • ƒ/2.4 aperture
  • Panorama

5 megapixel

  • Autofocus
  • Tap to focus
  • LED flash
  • Backside illumination sensor
  • Four-element lens
  • ƒ/2.8 aperture

กล้องหน้า

1.2MP photos
720p HD video
Backside illumination sensor
VGA-resolution photos
VGA-resolution video
VGA-resolution photos
VGA-resolution video

วีดีโอคอล

FaceTime

  • iPhone 5 to any FaceTime-enabled device over Wi-Fi or 3G
  • Initiate video calls over a mobile network

FaceTime

  • iPhone 4S to any FaceTime-enabled device over Wi-Fi
  • Initiate video calls over a mobile network

FaceTime

  • iPhone 4 to any FaceTime-enabled device over Wi-Fi

บันทึกวีดีโอ

1080p HD video recording

  • 30 fps
  • Tap to focus while recording
  • LED light
  • Improved video stabilisation
  • Take still photos while recording video
  • Face detection

1080p HD video recording

  • 30 fps
  • Tap to focus while recording
  • LED light
  • Video stabilisation

720p HD video recording

  • 30 fps
  • Tap to focus while recording
  • LED light

หูฟัง

Apple EarPods with Remote and MicStorage and travel case Apple Earphones with Remote and Mic Apple Earphones with Remote and Mic

เชื่อมต่อ

Lightning

30-pin

30-pin

แบตเตอรี่

Talk time:
Up to 8 hours on 3GBrowsing time:Up to 8 hours on 3G
Up to 10 hours on Wi-FiStandby time:
Up to 225 hours
Talk time:
Up to 7 hours on 3GBrowsing time:

Up to 6 hours on 3G
Up to 9 hours on Wi-FiStandby time:
Up to 200 hours
Talk time:
Up to 7 hours on 3GBrowsing time:

Up to 6 hours on 3G
Up to 10 hours on Wi-FiStandby time:
Up to 300 hours

ความจุและราคา

16GB ฿ 22,450
32GB ฿ 26,350
64GB ฿ 30,250
16GB ฿ 19,500.00 8GB ฿ 14,500.00

BEST OF APPS แนะนำโปรแกรมที่สุดยอดของทุกแพลตฟอร์ม

BEST OF APPS

ในเว็บไซต์ makeuseof จะมีอยู่หัวข้อหนึ่งชื่อ BEST OF APPS เป็นหน้ารวมโปรแกรมที่ยอดเยี่ยมในหมวดต่างๆของแต่ละแพลตฟอร์มที่ใช้ๆกันอยู่ปัจจุบัน รู้สึกว่าทำได้ดีจังเลย เขาจัดทำมานานแล้วล่ะ หลายโปรแกรม หลายเว็บไซต์เราก็เจอจากหัวข้อนี้ ลองดูว่าเขาจัด BEST OF APPS ของอะไรไว้บ้าง

  • BEST WEBSITE
  • BEST WINDOWS SOFTWARE
  • BEST LINUX SOFTWARE
  • BEST MAC APPS
  • BEST ANDROID APPS
  • BEST IPHONE APPS
  • BEST IPAD APPS
  • BEST CHROME EXTENSIONS
  • BEST FIREFOX ADDONS
  • BEST WORDPRESS PLUGINS
  • BEST PORTABLE APPS
  • BEST LINUX DISTROS

เรียกได้ครบทุกแพลตฟอร์มที่สามารถติดตั้งโปรแกรมหรือส่วนเสริมลงไปได้เลยทีเดียว เมื่อคลิกเข้าไปเราจะพบรายการของ Apps ที่แยกเป็นหมวด เช่น เกี่ยวกับ ภาพ เพลง หนัง เอกสาร ป้องกันไวรัส เป็นต้น ในแต่ละ Apps มีคำอธิบายสั้นๆไว้ให้พร้อมกับลิงค์ไปดูรีวิวแบบเต็มและลิงค์ดาวน์โหลดโปรแกรม ถ้าเพื่อน ได้คอมพิวเตอร์หรือมือถือเครื่องใหม่มา แล้วถามว่า “จะลงโปรแกรมอะไรบ้าง” สามารถแนะนำหน้านี้ให้ได้เลยครับ

ลิงค์ไปที่หน้า BEST OF APPS

วีดีโองาน WWDC 2012 เปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 มาแล้ว

วิดีโอเปิดตัว Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 มาแล้ว

วีดีโอ keynote ของงาน WWDC 2012 มีมาให้ชมแล้วครับ ตัวเด่นๆที่เปิดตัวไปก็คือ Retina MacBook Pro, New Macs, OS X Mountain Lion, iOS 6 เข้าไปรับชมได้แล้วที่ https://events.apple.com.edgesuite.net/126pihbedvcoihbefvbhjkbvsefbg/event/index.html

Macs & OS X Mountain Lion

  • เปิดตัว Next-Generation Retina MacBook Pro  ราคา $2199 ประมาณ 69,608 บาท
  • MacBook Air อัพเดตสเปคทั้งแบบจอ 11″ และ 13″
  • MacBook Pro 13″ และ MacBook Pro 15″ อัพเดตสเปค
  • เปิดตัว OS X Mountain Lion ราคา $19.99 ประมาณ 632 บาท
  • Mac Pro เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

iOS 6 

  • เปิดตัว iOS 6 มาประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง
  • เปิดตัวโปรแกรมแผ่นที่ใหม่
  • FaceTime ได้ด้วย 3G หรือ 4G
  • Siri เก่งขึ้น และใช้ได้ใน iPad 3

Convert Units แอฟฟรีแปลงหน่วยวัด

Convert Unit App

เจอปัญหาต้องแปลงหน่วยของปริมาตรสารเคมีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่น ลิตร(L) ลูกบาตรเซ็นติเมตร(cu cm) เป็น ลูกบาตรเมตร(cu m) หรือ ลูกบาตรนิ้ว(cu in) นั่งคิดนานมาก คงโง่โดยแหละ! กลัวคำนวณผิดด้วย เลยลองหาเครื่องมือช่วย ค้นไปเจอแอฟฟรีตัวหนึ่ง ชื่อ Convert Units for Free พบว่านอกจากจะมีตัวแปลงหน่วยปริมาตรที่เราต้องการแล้ว ยังมีหน่วยวัดอื่นๆด้วย เช่น มุม พื้นที่ พลังงาน อุณหภูมิ เวลา น้ำหนัก ความยาว เป็นต้น ถือว่าเป็นแอฟฟรีตัวเล็กๆที่มีประโยชน์มาก ตอบโจทย์ตามที่ต้องการเลยล่ะ เลยเอามาบันทึกและแชร์ให้คนที่สนใจโหลดติดเครื่องไว้ไม่เสียหลายขนาด 5.7 MB รองรับทั้ง iPhone, iPod, iPad iOS 4.0 ขึ้นไป

ดาวน์โหลด Convert Unit for Free (iOS)

วิธีติดตั้ง iCloud ในเครื่อง Mac และ Windows

iCloud เปิดให้ใช้งานวันนี้แล้ว 12 ต.ค. 2011 นิยามง่ายๆของมันคือ “เก็บทุกอย่างไว้บนเมฆ เรียกใช้งานได้ทุกที่” เช่น ถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วไปเปิดดูที่ iPad หรือ Mac ได้เลย มันอัพโหลดขึ้นเองอัตโนมัติ รวมทั้งปฎิทิน แอพพลิเคชั่น เพลง หนังสือ อีเมล เบอร์โทร Bookmark หน้าเว็บ จะเพิ่มลดข้อมูลที่ไหน ระบบจะทำให้ข้อมูลทุกที่ถูกอัพเดตให้เหมือนกัน การจะเริ่มใช้งานจะต้องตั้งค่านิดหน่อย ซึ่งรองรับอุปกรณ์หลัก 3 ตัว คือ กลุ่มของ iOS, OSX, Windows แบบฟรีมีพื้นที่ให้ 5 GB

วิธีติดตั้ง iCloud

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX Lion

  1. อัพเดต Mac OSX Lion ล่าสุดก่อน
  2. เข้าไปที่ System Preferences ในส่วนของ Internet & Wireless เลือก iCloud (ถ้ายังไม่อัพเดตจะไม่มีนะ)

    ติดตั้ง iCloud ใน Mac OSX

  3. ล็อกอินด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน Windows

  1. ดาวน์โหลด iCloud Control Panel for Windows มาติดตั้ง

    การติดตั้ง iCloud ใน Windows

  2. ล็อกอินใช้งานด้วย Apple ID

วิธีติดตั้ง iCloud ใน iPhone & iPad & iPod touch

  1. อัพเดตให้เป็น iOS 5
  2. เปิดเครื่องครั้งแรก เครื่องจะให้ตั้งค่า หรือถ้าเข้าไปตั้งที่ setting ใน Tab iCloud

    การติดตั้ง iCloud ใน iOS devices

เมื่อเราติดตั้งผ่านทางอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งแล้ว เราจะสามารถเข้าใช้งานผ่านทางหน้าเว็บได้ที่ www.iCloud.com

iCloud.com

ข้อมูลจาก: https://www.apple.com/icloud/setup/

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

ตอนที่แล้วเป็น 10 อย่างที่ iOS ชนะ Android มาคราวนี้ถึงเวลาที่ Android จะได้โต้กลับบ้าง ในรายละเอียดของ 10 อย่างต่อไปนี้เป็นฟีเจอร์ของ Android ที่ iOS สู้(ยัง)ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น jailbreak หรือไม่ jailbreak ก็ตาม ผมเขียนตามความเข้าใจ ส่วนใครอยากอ่านต้นฉบับตามไปดูได้ที่ลิงค์นี้ Top 10 Awesome Android Features that the iPhone Doesn’t Have

10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

  1. Alternate Keyboards
    Alternate Keyboards

    คีย์บอร์ดแบบแปลกๆที่ทำให้พิมพ์ได้เร็วขึ้น ให้เราได้เลือกใช้งานมากมาย เช่น แบบลากนิ้วอย่างเช่น Swype หรือวิธีการเดาคำศัพท์แบบแปลกๆอย่าง 8pen และยังง่ายต่อการติดตั้ง แม้ว่า iPhone ก็มีคีย์บอร์ดอื่นๆให้เลือกเหมือนกัน แต่จะมีเฉพาะในรูปแบบของ app แยกต่างหาก ไม่ได้เป็นคีย์บอร์ดโดยตรงอย่างเช่นใน Android

  2. Automation
    Automation

    มีอีกอย่างที่มีประสิทธิภาพมากของ Android คือโปรแกรมที่สามารถเข้าถึงการตั้งค่าต่างๆของเครื่องได้แทบทุกส่วน อย่างเช่นโปรแกรมชื่อ Tasker เวลาเปิดเครื่องใช้งานทุกจะอย่างจะทำงานอัตโนมัติทุกอย่างตามที่ตั้งค่าไว้ อย่างเช่น เมื่อไหร่จะเปิดหรือปิด GPS การตั้งเวลาปลุกแบบละเอียด ควบคุมเสียงโทรศัพท์เมื่อมีสายเข้าได้อย่างละเอียด เช่น ให้เสียงเงียบเมื่อคว่ำหน้าลง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หาไม่ได้ใน iOS

  3. Custom Home Launchers
    Custom Home Launchers

    ใน iOS ก็สามารถปรับแต่ง Home Launcher ได้เล็กน้อยในตัวที่ทำ jaibreak แต่คงปรับแต่งได้ไม่เท่ากับใน Android ทำได้แน่นอน มี launcher มากมายให้ได้ลองเลือกใช้ อย่างเช่น ปรับแต่งหน้าตาไอคอนของ app ใหม่ หรือปรับแต่งให้มือถือทำงานได้เร็วขึ้น  ตัวที่มีคนแนะนำเยอะก็เช่น LauncherPro, ADWLauncher เป็นต้น

  4. Widgets
    Widgets

    แม้ว่า widget จะกินเนื้อที่ไปบ้าง แต่มันทำให้ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น มีหลายๆอันที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ตัวรายงานสภาพอากาศ ตัวควบคุมการเล่นเพลง ตัวแจ้งเตือนสำหรับ twitter/facebook กลุ่มของปฎิทิน หรือ to-do list ใน iOS ทำได้เล็กน้อยในหน้า lock screen ซึ่งทำได้เฉพาะในตัวที่ jailbreak

  5. Removable Storage and Battery
    Removable Storage and Battery

    นี้อาจจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ OS ซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนดีที่มีใน Android devices คือการถอดแบตอเตอรี่เพื่อซ่อม เพื่ออัพเกรดให้ดีขึ้น หรือสำรองแบตเตอรี่อีกตัวยามที่ต้องการใช้งานยาวนานขึ้นในจุดที่ไม่ที่ชาร์ตไฟ และอีกความได้เปรียบคือการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลให้ Android phone ด้วย SD card ที่ใน iOS ไม่รองรับ

  6. Wireless App Installation
    Wireless App Installation

    การเปิดดู apps ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ทำให้ดูรายละเอียด และการจัดการได้ง่ายมากกว่าดูผ่านทางหน้าจอมือถือ ใน iOS สามารถติดตั้ง apps ผ่านทางการโหลดในมือถือกับโหลดผ่านทาง iTunes แล้ว Sync ผ่านทางสายเชื่อมเท่านั้น แต่ใน Android market หรือ Store ของค่ายอื่นๆ เช่น AppBrain เราสามารถค้นหา apps ที่เราสนใจ แล้วคลิกติดตั้งที่หน้าเว็บไซต์ แล้ว apps จะโหลดลงมือถือและติดตั้งให้เอง เมื่อมือถือต่ออินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องมีขั้นตอนอื่นๆให้ยุ่งยากอีกเลย

  7. Custom ROMs
    Custom ROMs

    เนื่องจาก Android เป็น open source จะมีนักพัฒนานำไปปรับแต่งได้อย่างอิสระ เช่นปรับแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้เร็วขึ้น ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย ตัว Custom ROMs พวกนี้มีให้เลือกใช้ฟรีมากมาย หรือถ้าคุณเป็น Geek อยากทำเวอร์ชั่นของตัวเองไว้ใช้เฉพาะของตัวเองก็ยังได้ ตัวที่ได้รับนิยมเช่น CyanogenMod, MIUI

  8. Controlling Your Phone From Your Computer
    Controlling Your Phone From Your Computer

    อีกหนึ่งคุณสมบัติของ Android คือสามารถควบคุมมือถือผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ เช่นส่งข้อความจากคอมพิวเตอร์ไปที่มือถือ ควบคุมกล้อง, ส่ง SMS, ตรวจหา location ของมือถือ, เข้าถึงไฟล์ในเครื่อง นอกจากนั้นยังสามารถส่ง notifications จากมือถือไปแสดงที่คอมพิวเตอร์ได้ ใน iOS ก็มีความสามารถนี้เช่นกันแต่ทำงานได้เฉพาะฟังชั่นพื้นฐานบางอันเท่านั้น

  9. Flash
    Flash for Android

    Flash ยังมีความสามารถมากกว่า HTML5 อยู่เยอะ ทำให้ในเว็บไซต์ต่างๆยังคงมี Flash เป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น วีดีโอ เกมส์ โปรแกรมออนไลน์ ซึ่งใน Android รองรับ Flash อย่างเต็มตัว ส่วนใน iOS แม้จะ app ที่ช่วยแปลง Flash แต่ก็ทำงานได้เพียงแค่แก้ขัดเท่านั้น!

  10. True App Integration
    True App Integration

    Google apps ต่างๆถูกออกแแบบมาให้ทำงานได้ดีใน Android แม้ว่าใน iOS ก็มีให้ใช้ แต่จะมาช้ากว่าและคงให้ประสบการร์ใช้งานได้ดีไม่เท่าใน Android เพราะมันถูก intergrate เข้าไปใน OS เลย ไม่ได้พัฒนาขึ้นในระดับบนอย่างใน iOS

10 อย่างที่ iOS ชนะ Android

ปัจจุบัน OS ของ smart device (smartphone, tablet, media player ) มีเยอะมาก แต่ละเจ้าก็อยากจะมี OS เป็นของตัวเอง แต่ถ้าจะบอกว่า 2 อันดับแรกเป็นอะไร? ปัจจุบันคงต้องบอกว่า iOS ของ Apple กับ Android ของ Google ที่สู้กันในระดับลมบนของตลาด มีบทความจาก lifehacker เขียนเปรียบเทียบกันของทั้งสอง OS ไว้ น่าจะเป็นสิ่งที่แฟนๆของแต่ละค่ายรู้ดีและเอามาโจมตีกันอยู่เรื่อย ผมสนใจเลยของแปลแบบบ้านๆเอาไว้อ่านเล่น โดยจะแบ่งเป็น 2 ตอน ให้เกียรติ iOS ก่อน Android เพราะเขาเกิดก่อน ใครอยากอ่านต้นฉบับไปอ่านที่ Top 10 Ways iOS Outdoes Android

10 อย่างที่ iOS ชนะ Android

ทั้ง iOS และ Andiod ในที่นี้ก็หมายความรวมทั้งอุปกรณ์พวก smart device ต่างๆ และสิ่งแวดล้อมโดยรวมของแต่ละ OS เลยนะ

  1. The iTunes Media Store
    The iTunes Media Store

    iTunes ที่เป็นศูนย์รวมสื่อบันเทิงต่างๆของ Apple ทั้งหมด ทั้ง application เพลง หนัง หนังสือ ฯลฯ เชื่อมต่อเข้ากับ smart device ของคุณได้ง่าย เข้าถึงได้ง่ายซื้อได้ในคลิกเดียว ในขณะที่ Andoid สื่อด้านบันเทิงแม้จะซื้อได้ใน Amazon แต่ความสะดวกสะบายยังห่างชั้นกันมาก

  2. AirPlay
    AirPlay

    เป็นคุณสมบัติที่ทำงานร่วมกันของ smart device ที่รัน iOS การสตีมมิ่งสื่อบันเทิงถึงกันทำได้ดีอย่างน่าประทับใจ เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่หาไม่ได้ใน Android

  3. Find My iPhone
    Find my iPhone

    การติดตามมือถือ iPhone (iPad, iPod touch)ที่หายไปของคุณทำได้โดยง่าย และฟรีด้วย เราได้เห็นตัวอย่างการตามล่าหา iPhone ของตัวเองจากหลายๆคนที่เจอและจับมือขโมยได้ด้วย ในขณะที่ใน Android ก็มีเหมือนกันแต่ต้องเสียตังค์ในการใช้บริการ

  4. A Better Support System
    Genius Bar

    เมื่อเกิดปัญหากับ Android ของคุณ เมื่อถามคำถามไปที่โอเปอเรเตอร์ที่คุณซื้อเครื่องมาจะได้คำตอบอันน้อยนิด อีกทั้งยังแก้ปัญหาของเครื่องไม่ได้อีก ต่างจาก iDevices เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คุณนำเครื่องไปที่ Apple Store ปัญหาต่างๆจะได้รับบริการแก้ไขอย่างดีเยี่ยม

  5. Better Battery Life and Management
    Better Battery Life and Management

    ระบบจัดการแบตเตอรีที่ดีกว่า จะเห็นได้ว่า Apple จะให้ความสำคัญกับระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรีมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จาก iPad ที่มีระยะเวลาในการใช้งานที่นานขึ้น เราจะวางใจใช้อุปกรณ์ iOS ได้ตลอดวัน ในขณะที่เราจะไม่ค่อยวางใจได้กับ Andriod  (น่าจะหมายถึงพวก tablet เพราะมือถือ android หลายตัวอยู่ได้นานกว่า iPhone เยอะ)

  6. iTunes and Tethered Syncing
    iTunes and Tethered Syncing

    iTunes เป็นโปรแกรมจัดการกับข้อมูลใน iDevices ได้ดีมาก คุณจะสามารถ backup หรือ restore ข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ซึ่งใน Android แม้จะมีโปรแกรมจัดเหมือนกันแต่ทำได้ไม่ดีเท่าใน iOS
    note: แต่มีหลายๆคนที่ไม่ชอบ iTunes เหมือนกัน เพราะมีข้อจำกัดในการใช้งานหลายอย่างเช่น ข้อมูลทุกอย่างต้อง sync ผ่าน iTunes และไม่สามารถ sync แบบไร้สายได้

  7. No Crapware
    Crapware

    crapware หรือซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตแถมมากับเครื่อง พบว่าใน Android จากหลายๆโอเปอเรเตอร์แถม crapware มาด้วย อาจจะมีทั้งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์กับเรา แต่บางตัวไม่สามารถถอนการติดตั้งออกได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เจอใน iOS

  8. A Bigger and Better Variety of Apps
    A Bigger and Better Variety of Apps

    iOS มี App มากกว่าและมีจำนวนของ app คุณภาพมากกว่า Android แนวโน้มในปัจจุบันจะพบว่าเกมที่เคยอยู่ในเครื่อง console emulator จะเพิ่มมากขึ้นใน iOS เป็นอีกทางเลือกที่สำคัญที่ทำให้ iOS น่าสนใจมากกว่า อีกทั้ง App store ยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้นักพัฒนา ทำให้จำนวน app ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  9. A Well-Designed, Intuitive User Interface
    A Well-Designed, Intuitive User Interface

    การออกแบบที่ดี มี UI ที่สวยงามใช้งานง่าย ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีกว่า ความหมายนี้พูดรวมทั้ง iOS และ app ต่างๆด้วย เราจะพบว่า app ต่างๆบน iOS จะถูกออกแบบมาดีกว่าบน Android

  10. Consistency
    Fragmented android

    iOS จะไม่มีปัญหาเรื่อง fragmentation อย่างเช่น Android แน่นอน เมื่อ iOS มีการปรับปรุง อัพเดตเวอร์ชั่นใหม่ มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณจะได้รับการอัพเดตเช่นกัน ต่างจาก Android ที่มีความแตกต่างทั้งอาร์ดแวร์ และ OS ใช้ระยะเวลานานจนกว่าเครื่องของคุณจะได้รับการอัพเดตแม้ทาง Google จะออกอัพเดตมานานแล้วก็ตาม หรือบางทีเครื่องของคุณก็ไม่รับความสนใจจากผู้ผลิตที่จะการอัพเดตให้

ตอนต่อไป จะถึงคราวที่ Android อัด iOS กลับบ้าง โปรดติดตาม 10 อย่างที่ Android ชนะ iOS

Exit mobile version