ป้ายหาเสียงพรรคประชาธิปัตย์โผล่ที่เว็บประชาไท

ป้ายหาเสียงประชาธิปัตย์บนเว็บประชาไท

เว็บประชาไทถือว่าเป็นเว็บที่โดนไล่ปิดตลอดช่วงที่มีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน(ตอนนี้ยังบล็อกอยู่) จะเรียกได้ว่าเป็นสื่อคนละฝั่งกับรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์คงไม่ผิดมากนัก ที่เว็บประชาไทจะมีบทความหลากหลายแง่มุมของบ้านเมืองให้ได้อ่านจึงแวะเวียนไปบ่อยๆ วันนี้เข้าไปเจอป้ายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์โผล่ที่เว็บประชาไท ทำให้อมยิ้มได้เลย ภาพนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายนัก อารมณ์เดียวกับเสื้อแดงนั่งโต๊ะเจรจากับรัฐบาลเลยนะ เลยขอจับภาพประวัติศาสตร์นี้ไว้หน่อยแล้ว! ความจริงแล้วมันเป็นเพียงโฆษณาจาก Google Adsens ที่เป็นแบบซุ่มจะแสดงเนื้อตามเว็บไซต์ที่มีเนื่อหาที่สอดคล้องกับเนื้อหาของโฆษณาที่พรรคประชาธิปัตย์ซื้อโฆษณาออนไลน์กับทาง Google ไว้ แต่เท่าที่เปิดดูเว็บต่างๆยังไม่เจอโฆษณาของพรรคอื่นนะ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทีมที่ใช้สื่อออนไลน์ในการหาเสียงเข้มแข็งกว่าพรรคอื่นๆ เว็บไซต์ก็ทำออกมาได้ดูดีสุดแล้ว

สรุปคือพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่รู้หรอกว่าเนื้อหาโฆษณาที่ตัวเองทำจะไปโผล่ที่ไหนบ้าง ส่วนประชาไทก็ไม่รู้หรอกว่าโฆษณาอันไหนจะมาโผล่ที่เว็บไซต์ตัวเอง แต่แล้วทั้งสองก็มาบรรจบกันได้ด้วย Google! ใครอยากเห็นภาพป้ายหาเสียงพรรคประชาธิปัตย์โผล่ที่เว็บประชาไทบ้าง ก็เข้าไปที่เว็บประชาไทแล้วกดรีโหลดบ่อยๆเดียวเจอเอง

ปล. ผมเขียนถึงการเลือกตั้ง แถมมีคำว่าพรรคประชาธิปัตย์ โฆษณานั้นน่าจะมาโผล่ที่บล็อกนี้ด้วยเหมือนกันนะ

ถามถึงความรับผิดชอบ

เลือดจากหู

ตอนที่เขียนบล็อกนี้อยู่ในอารมณ์ขุ่นนิดหน่อย หลังจากไปหาหมอที่ร้อยเอ็ด เขาเอาสำลีทายาแล้วยัดเข้าไปอุดค้างไว้ เลือดจึงหยุดไหล (ค่ารักษาแค่ 100 บาทเอง) อาการดีขึ้น อารมณ์เลยดีขึ้นตาม ตอนนี้ไม่ติดใจอะไรแล้ว แต่ไหนๆก็เขียนแล้วเลยเอาลงไว้หน่อย อย่างน้อยก็เตือนใจเราได้ส่วนหนึ่ง ให้คิดอะไรให้รอบด้าน และ อย่าให้ใครมาเอาอะไรมาแหย่หูเราได้ง่ายๆ ถ้าเขาไม่ใช่หมอเฉพาะทาง

ถามถึงความรับผิดชอบ

บล็อกนี้แปลกกว่าทุกครั้งเพราะต้องเขียนบน MS Word เพราะขณะที่เขียนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เรื่องที่อยากเขียนเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสบายใจมากนักกับสภาพของหูนะตอนนี้ เวลาที่อ้างถึงในเรื่องนี้อาจจะไม่ตรงแปะซะทีเดียวเพราะตอนนี้เกิดเรื่องใครจะไปดูเวลาตลอดกัน แต่เรามี Log ส่วนหนึ่ง เนื่องจากตอนที่นอนไม่หลับหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนไว้ รู้สึกว่าเรามีความจำเรื่องลำดับเรื่องค่อนข้างดี เพราะใช้บ่อยกับงานอีเวนต์ต่างๆที่เคยเข้าร่วม เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน

วันอาทิตย์ ที่ 10 เมษายน 2554

เวลา 19.45 น. –อาบน้ำ เตรียมตัวออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาบน้ำเสร็จตัวยังเปลียกอยู่ ก็หยิบคัตตอนบัด มาปั่นหูเล่น ทำความสะอาดหูสักหน่อย เพราะว่างเว้นมานาน ก็เป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดาเหมือนทุกครั้ง แต่ที่หูข้างซ้ายตอนที่ปั่นอยู่นั้นก็เกิดอาการหูอื้อลักษณะเดียวกันเหมือนกับเอาสำลียัดหูไว้ หรือใช้หูฟังยัดแต่ไม่ได้เปิดเพลง คงเป็นเพราะขี้หูที่เยอะและเหนียวดันไปอุดรูหูซะนี้ ก็ลองปั่นต่อขี้หูก็ติดออกมาด้วยเล็กน้อย แต่ยังมีอาการหูอื้ออยู่ ไม่กล้าแยงเข้าไปลึกกลัวมันถูกดันเข้าไปลึกกว่าเดิม ไอ้เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นบ้าง ตอนนั้นให้เพื่อนช่วยแคะก็เรียบร้อยดี จึงทำให้ไม่รู้สึกตกใจอะไร

เวลา 20.20 น. –ลงจะห้องแบบไม่ได้มีความวิตกใดๆ แวะไปคืนการ์ตูนที่ร้านหนังสือเปิดใหม่ใต้ตึก และยืมกลับมาด้วย จากนั้นเดินไปที่ เพชรบุรี ซอย 5 หาอะไรมากิน ระหว่างนั้นได้คิดว่าจะแวะไปที่ร้านตัดผมดูไหมเพราะคิดว่าที่นั้นน่าจะมีที่แคะขี้หู แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะอะไรคิดว่าเดี๋ยวทำไม่ดีอาจเป็นอันตรายได้ จึงแวะไปที่คลีนิคแพทย์ที่ซอยนั้น หมอหญิงท่านนั้นแนะนำว่า ไปโรงพยาบาลดีกว่า ที่นั้นมีที่ดูดขี้หู ที่นี้ไม่มีอุปกรณ์ ทำไม่ได้ ก็เห็นควรด้วย เวลาประมาณ 20.45 น. –กลับมาที่ห้อง นั่งกินข้าว ข้าวเหนียว ส้มตำ กับแกงฟัก

เวลา 20.55 น. -ออกเดินทางไปโรงพยาบาล เอกชนแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ที่พัก เหตุที่ไปโรงพยาบาลแห่งนั้นเพราะว่า เรามีบัตร SCB Debit Plus ที่คุ้มครองอุบัติเหตุ คิดว่าอาจจะใช้ได้ และโรงพยาบาลแห่งนั้นเป็นโรงพยาบาลชื่อดัง น่าจะมีอุปกรณ์ที่ครบพร้อม ดังที่แพทย์หญิงท่านนั้นแนะนำ แบบอารมณ์ชิวๆ หยิบการ์ตูนไปอ่านเล่นด้วย อาจจะได้อ่านช่วงนั่งรอ

เวลา 21.00 น. – ถึงโรงพยาบาล จ่ายตังค์ค่าแท๊กซี่ 37 บาท เข้าไปที่จุดลงทะเบียนที่พนักงานซักประวัติว่าเคยเข้าทำการรักษาที่นี้หรือไม่ คำตอบคือไม่ ส่วนใหญ่เจ็บป่วยเคยเข้ารับการรักษาที่อนามัยของจุฬาฯ แต่นับครั้งได้เพราะไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไร พนักงานซักถึงอาการที่จะเข้ารับการรักษา ก็ตอบดังที่เขียนไว้ด้านบนว่า “ใช้คัทตอนบัดปั่นหูแล้วขี้หูมันอุดทางท่อรูหู” พนักงงานหญิงท่านหนึ่งแนะนำ ตอนนี้มีแต่หมอฉุกเฉิน หมอเฉพาะทางต้องรอพรุ่งนี้นะ เขาดูได้แค่เบื้องต้นเท่านั้น ตอนนั้นเราคิดว่าให้เขาดูหน่อยไม่น่าจะเป็นไร แคะนิดเดียวก็น่าจะกลับได้แล้ว จากนั้นเราถามพนักงงานต่อว่าจะใช้บัตรเดบิต เจ็บไม่อั้นได้ไหม เขาหันไปพูดกันซุบซิบ ประมาณว่าไม่แน่ใจว่าถือเป็นอุบัติเหตุหรือปล่าว? พนักงานผู้ชายคนนั้นจึงแนะนำว่า เขียนว่า “ปั่นหูอยู่แล้วเพื่อนเดินชนแล้วกัน” ไม่รู้ใช้อะไรตัดสินว่า ทำตัวเองไม่เป็นอุบัติเหตุ ต้องคนอื่นกระทำจึงจะเป็นอุบัติเหตุ (งั้นถ้าตัดเล็บแล้วโดนเนื้อตัวเองก็น่าจะไม่เป็นอุบัติเหตุ ซึ่งผมว่ามันไม่น่าใช่) แต่เราก็โอเค เพราะคิดว่าจะได้ไม่ต้องจ่ายตังค์

ประมาณ 21.20 น. –เข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน ก็เล่าอาการให้ฟัง หมอซักตามสมควร ไม่มีเลือดออก ไม่เจ็บ แค่หุอื้อ และคิดว่าขี้หูอุด หมอใช้อุปกรณ์ส่องหูแล้ว แล้วก็บอกว่าเห็นแล้ว และบอกให้พยาบาลให้เอาครีบกรรไกรมาให้ พยาบาลฉีกอันใหม่ในซองออกมา และให้หมอเริ่มคีบ หมอบอกว่าไฟที่หัวเตียงห่วยมาก ไฟส่องไม่ชัด ให้เอาไฟฉายมา พยาบาลก็เอาไฟฉาย และช่วยดึงใบหูประมาณจะช่วยถ่างให้รูเปิดมาที่สุด หมอคีบข้หูอัดแรกออกมาตอนนั้นรู้สึกโล่งแล้ว คิดว่าหมอคงเห็นว่ายังมีเหลือจึงเริ่มคีบอันอื่นๆออกมา และก็มีก้อนขี้หูออกมาด้วย 2-3 ก้อน หมอบอกว่ามี Clots blood ด้วย เรามองดูแล้วมันไม่ใช่หรอก ก็ขี้หูดีๆนี้เอง เวลาแค่ชั่วโมงมันจะแข็งตัวจนดำแบบนั้นไม่ได้หรอก และซึ่งแต่มีครั้งหนึ่งรู้สึกเจ็บแป๊บ จนหลุดปากร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่หมอก็ยังทำต่ออีกสองสามครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายเจ็บสุด น้ำตาไหลเปื้อนหมอนเลยทีเดียว ในความรู้สึกในหูเหมือนหมอพยายามจะคีบอะไรบางอย่างออกมา แต่ทำไม่สำเร็จ และหมอก็บอกว่าหยุดดีกว่า ตอนนั้นก็โล่งใจ และหูก็โล่งดี(ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้อนแรกออกมาแล้ว) แต่มีอาการเจ็บและปวดเพิ่มเข้ามาด้วย ใช้เวลาตลอดการรักษาประมาณ 15-20 นาที

หมอบอกว่าสั่งยาให้ 3 ตัว มี Tylenol, Ibuprofen, Amoxycillin ยังงงว่าแคะขี้หูเนี้ย ต้องเอายาไปทำไม? คิดว่าคงเป็นธรรมเนียมที่หลังรักษาก็ต้องมีการสั่งยา คุณพยาบาลทำใบนัดหมอเฉพาะทางให้ตอน 10 โมงของวันรุ่งขึ้น(11 เมษายน 2554) หมอบอกอีกว่า เยื่อแก้วหูอาจขาด แต่ไม่เป็นไรหรอกมันรักษาได้ ตอนนั้นเอ๋อไปเลย แค่แคะขี้หูเนี้ยแก้วหูขาด ตอนนั้นคิดในใจว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้หูเรายังได้ยินปกติดีนิ ระหว่างช่วงนั่งรอเรื่องทำประกัน รู้สึกมีเจ็บภายในหูแต่ไม่ได้มากมายเท่าตอนที่คีบขี้หู หลังจากนั้นก็ออกมานั่งรอรับยา ระหว่างรอได้นั่งฟังกวางร้องเพลงอำลาเวทีเดอะสตาร์ด้วย แล้วบิลก็ออกราคา 711.50 บาท (ใช้สิทธิบัตรประกันเดบิตได้) ออกเวลา 22.30 น.

เวลา 22.45 น. –กลับถึงห้องได้ซักพัก นั่งพิมพ์งาน และเล่นเน็ตได้สักพักรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรไหลออกจากหู เลยเอามีแตะมาดู “ฉิบหาย เลือด!!!” แต่เราก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก คิดว่าเดี๋ยวคงหยุด แต่แม่เจ้า “มันไหลทั้งคืน” ไม่ได้ออกมาเยอะแต่ไหลออกมาเรื่อยๆ สรุปว่าทั้งคืนไม่ได้นอน นั่งเช็ดเลือดตัวเอง อนาจตัวเองฉิบหาย!

วันที่ 11 เมษายน 2554

เวลา 7.00 น.– โทรเข้าเบอร์สายด่วนของโรงพยาบาล ถามเรื่องการนัดหมอ ในใบนัดที่พยาบาลทำให้เมื่อคืนคือ 10 โมง แต่เจ้าหน้าที่ในสายแนะนำว่า หมอจะเข้ามาประมาณ 8.30 น. แต่ถ้าเลือดออกก็ให้มาก่อนก็ได้ จะได้ให้หมอฉุกเฉินดูให้ก่อน ตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำเลือดเป็นก้อน แล้วอุดรูหูทำให้ด้านซ้ายไม่ได้ยินแล้ว แล้วเลือดก็ยังไหลออกมาข้างนอกเป็นระยะๆ (อึดอัดมาก)

เวลา 7.10 น. –ถึงโรงพยาบาล พนักงานบอกว่าหมอจะมาราว 9 โมงจะรอไหม? ตอนนั้นหูซ้ายไม่ได้ยินแล้ว จนพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างซ้ายต้องตะโกนเสียงดัง มีวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก เวลาประมาณ 7.15 น. –มานั่งรอที่ห้องฉุกเฉิน แต่ไม่มีใครมาดูหูให้ เลือดไหลออกมา ต้องเดินไปขอสำลีเอง แต่โชคดีที่เจอคุณนางพยาบาลคนเดิม ที่เป็นคนช่วยหมอเมื่อคืน ดูเขามีอาการเป็นห่วงเราอย่างชัดเจน และมากยิ่งขึ้น เมื่อเราบอกไปว่าตอนนี้ด้านซ้ายไม่ได้ยินแล้ว เขาพยายามติดต่อกับแผนกหู คอ จมูก ให้ ได้ความว่าจะเดินทางมาถึงอีกประมาณ 40 นาที รู้สึกว่าเป็นนาฬิกาตอนนั้นเดินช้ามาก

เวลา 8.00 น. –พยาบาลท่านนั้นเดินไปส่งที่แผนก หู คอ จมูก อยู่ชั้น 3 ของตึกข้างๆ ระหว่างทางพยาบาลคุยกับเราว่า เล่าให้อาจารย์(น่าจะหมายถึงคุณหมอ)ฟังนะว่าเป็นยังไง เดี๋ยวหมอบอกว่าโดนคองมีคมหรือโดนอะไรนะ เขายื่นเอกสารให้เคาร์เตอร์ ให้เรานั่งรอบนเก้าอี้นุ่มรอ ก่อนไปก็บอกเดี๋ยวจะตามมาดูว่าสรุปแล้วเป็นยังไง

เวลา 8.30 น.-คุณหมอก็มาถึง เราเล่าอาการให้ฟังเล็กน้อยว่า น่าจะโดนคีมของคุณหมอฉุกเฉินทำให้เกิดแผลภายในช่องหู คุณหมอเข้ามาดูที่หูขวาก่อน เราสามารถมองที่จอมอนิเตอร์ผ่านกล่องร่วมกับคุณหมอได้ หมอใช้กรวยนำทางเข้าไปในช่องหู แล้วใช้คีบเหล็กอันเดียวกับที่หมอฉุกเฉินใช้นั้นแหละ แต่ความชำนาญต่างกันหลิบลับ คุณหมอคีบขี้หูออกมาอย่างง่ายดายและไม่มีอาการเจ็บแม้แต่น้อยนิด แล้วตามดูสายดูขี้หูออกมาชนิดแบบเกลี่ยเกลา นึกในใจทำไมกูไม่รอพบหมอท่านนี้ เรื่องเล็กๆอย่างขี้หูอุดหูกลายมาเป็นรูหูเป็นแผลเลือดไหลไม่หยุดแบบนี้ เมื่อย้ายมาอีกข้าง หูซ้ายตัวเกิดเรื่อง ดูผ่านกล้องมอนิเตอร์เลือดเต็มเลย หมอก็ทำเหมือนเดิม มือนิ่มมาก ค่อยๆดูดเลือดออก อีกอย่างที่เราสังเกตูเห็นพบว่า รูหูด้านซ้ายมันคดเคี้ยวมากกว่าด้านขวามาก มิน่าว่าทำไมขี้หูมันอุดช่องรูหูได้ง่ายนัก หมอค่อยดูดเลือดออก ร่วมกับขี้หูออกมาออกจนเกือยหมด ตอนนี้รู้สึกว่าหูโลงมาก เหมือนเอาอะไรท่อุดรูหูอยู่ออก มันสบายและโล่งมาก ระหว่างที่ทำการรักษานั้น หมอบอกตลอดว่าถ้ารู้สึกเจ็บให้บอก และถามตลอดว่าเจ็บไหมตลอดการรักษา มีอยู่สองครั้งเอง ที่เรารู้สึกเจ็บ ซึ่งหมอบอกว่าเป็นบริเวณที่เป็นแผล หลังจากดูดเลือดและขี้หูออกเกือบจะหมด แล้วหมอก็ใส่สารละลายลงไป แล้วล้างดูดออก บอกว่าเลือดหยุดไหลไปแล้ว และใช้ครีมทาเคลือบไว้ให้ ลงจากเตียงมานั่งคุยกัน หมอบอกว่า ตัวที่ใช้ส่องของหมอฉุกเฉินมันมองเห็นแค่แนวระนาบ มองไม่เห็นภาพเป็นมิติเหมือนกล้องที่หมอใช้เมื่อสักครู่นี้ โอกาสทำพลาดมีสูง หมอบอกว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง (โล่งใจขึ้นเยอะ) แนะนำให้ระวังเรื่องน้ำอย่าให้โดนน้ำ เดินทางไกลก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็สบายใจเพราะตอนเย็นจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ตอนนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ บิลค่ารักษาพยาบาล 2,015.43 บาท

เวลา 9.00 น. –ซื้อข้าวมากิน นั่งพิมพ์งานสบายกลับมาที่ห้อง แล้วเผลอนอนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะอดนอนมาทั้งคืน เวลา 17.00 น. -ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ต้องตกตะลึงกับสภาพหมอนที่เปื้อนไปด้วยเลือด แต่ที่หูมีคราบเลือดที่แห้งแล้ว จึงนั่งรอดูอาการสักพักว่า เลือดที่ไหลลงที่หมอนเป็นเลือดเก่าที่ไหลเมื่อเช้า แต่หยุดไหลไปแล้ว หรือยังมีเลือดใหม่ไหลออกมาอีก พอสักพักที่ปลายหูเลือดก็ไหลออกมา

เวลา 17.45 น. เดินทางเข้าไปพบหมออีกครั้งที่ดรงพยาบาล แต่หมอเจ้าของไข้ได้ออกเวรไปแล้ว เป็นหมออีกท่านหนึ่ง ได้แค่ส่องดู เหมือนไม่กล้าลงมือทำ ให้สารละลายห้ามเลือด แช่ไว้ราว 5 นาที แล้วเอาสำลีอุดไว้ บอกให้เอาออกได้ตอนจะนอน คิดในใจจะกลับบ้านแล้ว จะเรียกตอนไหนว่าตอนนอน ผ่านมาสักสำลีก็หลุดออก แต่ยังรู้สึกว่ามีน้ำค้างอยู่ข้างใน (เหมือนน้ำเข้าหูเวลาเล่นน้ำ กัดฟันเบาก็รู้ว่ามีน้ำอยุ่ข้างใน) บิลค่ารักษาพยาบาล 1,100 น.

เวลา 19.00 น. –ถึงห้องอาบน้ำ แต่งตัวเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางเลือดยังคงไหนไม่หยุด

วันที่ 12 เมษายน 2554

ถึงบ้านพร้อมกับเลือดแข็งตัวอุดช่องหู ทางด้านซ้ายไม่ได้ยินเสียงแล้ว กำลังรอไปหาหมอที่เมืองร้อยเอ็ด

สรุปสิ่งที่เขียนมายืดยาว

ภาพในหัววิเคราะห์ ฉับๆ เกิดอะไรขึ้นกับหูของฉัน ความรู้สึกเจ็บแป๊บ จนร้องตอนนั้น ไอ้เหล็กคีบอันนั้น น้ำตาหยดนั้น หมอฉุกเฉินคนนั้น ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนั้น หมอฉุกเฉินคนนนั้นจะรู้ไหมว่าเขาทำอะไรกับหูของผม ถ้ารู้แล้วเขาจะยอมรับในการกระทำของตัวเองหรือไม่ และผมจะถามหาความรับผิดชอบของอาการบาดเจ็บครั้งนี้กับใคร?

เขียนเมื่อ 12 เมษายน 2554 ณ บ้าน ที่จังหวัดร้อยเอ็ด

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เมื่อชีวิตเหลือเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ได้อ่าน แม้จะมีการพิมพ์มานานแล้ว และเคยทำเป็นภาพยนต์มาแล้ว เมื่อปี 2008 โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนมากนัก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ชอบ และซื้อเก็บไว้ คิดว่าเรื่อง อิคิงามิ จะเป็นอีกเรื่องที่จะต้องซื้อเก็บไว้ ความจริงได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว พอดีว่าที่ใต้ตึกที่พักมีร้านเช่าหนังสือมาเปิดใหม่ เลยลองหยิบมาอ่านดู ตอนที่อ่าน อิคิงามิ มี 7 เล่ม ล่าสุดเล่มที่ 8 จะวางขายในวันที่ 11 เมษายน 2011 ที่จะถึงนี้

เรื่องย่อ

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นผลงานของ โมโตโร่ มาเสะ เล่าเรื่องของประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” โดยประชาชนทุกคนจะถูกฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่เด็ก ในวัคซีนบางอันจะมีนาโนเคปซูลที่สามารถกำหนดวันเวลาที่ต้องตายไว้ ในช่วงที่มีอายุ 18-24 ปี ซึ่งโอกาสที่จะโดนแจ๊คพอร์ตนี้ มีเพียงแค่ 1 ใน 1,000 คน เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนนั้นตั้งใจใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและตระหนักต่อ “คุณค่าของชีวิต” มากยิ่งขึ้น หรือจะพูดง่ายๆคือ วันนี้ต้องทำให้เต็มที่เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะตายหรือไม่ ทำให้ประเทศลดทั้งอาญากรรม และพัฒนารุ่งเรือง

ฟูจิโมโตะ ตัวเอกของเรื่องคือคนส่ง “อิคิงามิ” หรือ “สาส์นสั่งตาย” ให้ผู้ที่ได้รับเกียรติต้องตายเพื่อผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ ก่อนถึงเวลาตาย 24 ชั่วโมง คนที่ได้รับอิคิงามิ จะสามารถใช้บัตรนี้แสดงเพื่อขอรับบริการต่างๆจาก ห้างร้าน บริการต่างๆได้ตลอดก่อนถึงเวลาตาย และจะได้รับการสรรเสริญจากคนในสังคมอย่างที่สุด และเมื่อเสียชีวิตครอบครัวจะได้รับเงินตอบแทนจากรัฐบาล แต่ถ้าผู้ที่ได้รับอิคิงามิ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ก่ออาชญากรรม ครอบครัวจะไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังถูกประนาฌว่าเป็นครอบครัวที่มีความคิดด้อยพัฒนา สุดท้ายต้องย้ายจะที่อยู่ออกไปจากเมืองนั้น และใครที่คิดต่อต้านกฎหมายนี้ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเช่นกัน

แต่ใช่ว่าทุกคนในประเทศจะเห็นด้วยกับกฎหมายนี้ มีการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน และพยายามล่มล้างกฎหมายนี้ หรือแม้แต่ ฟูจิโมโตะ ที่เป็นคนของรัฐบาลทำหน้าที่ส่งสาส์นยังมีความลังเลในใจถึงกฎหมายนี้ ว่ามันดีจริงหรือ

จุดเด่นที่ชอบ

เป็นการ์ตูนที่ดราม่า และสะเทือนอารมณ์สุดๆ ในแต่ละตอนจะเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ของผู้ที่ได้รับอิคิงามิ ซึ่งแต่ละตอนคนที่ได้รับ อิคิงามิ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีบทบาทในสังคมแตกต่างกัน เช่น นักเรียน นักดนตรี หัวขโมย คนไร้บ้าน นักวาดรูป นักถ่ายภาพ นักเต้น ฯลฯ เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวของคนที่รับอิคิงามิด้วย จะได้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนตายของแต่ละคนจะเป็นยังไง บางคนเลือกที่จะตามแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ซึ่งคนที่ทำร้ายเขาบางครั้งก็เป็นคนในครอบครัวเอง บางคนเลือกที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทุกคนที่ได้รับอิคิงามิก็จบลงด้วยก ความตาย และความเศร้า ทั้งนั้น

อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่เก็บรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวได้ยอดเยี่ยมมาก และสามารถดึงจุดสำคัญของคนในอาชีพนั้นๆออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อชีวิตถูกบีบให้เหลือเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง เขาจะทำอะไรที่เป็นตัวเขามากที่สุด หรือเรียกว่า “ไม่ให้เสียชาติเกิด”

ซาโตริ (ตื่นรู้ในทันที) จะได้เห็นตลอดในการ์ตูนเรื่องนี้ มาจากทั้งคนที่ต้องตาย และคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่อคนที่ตาย

คำถามกับผู้อ่าน

บางครั้งเราคนอ่านก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ถ้าเป็นตัวเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นตัวคุณเองที่ได้รับ อิคิงามิ คุณจะทำยังไง? จะทำอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร? เมื่อลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมาถึง อยากไปอยู่ที่ไหน? หรือที่พระท่านบอกว่า สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในชีวิตคือ “ความตาย” ถูกแสดงให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น

คำถามที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้คือ วันนี้ใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย คิดว่าตัวเองจะ “ตายตาหลับหรือไม่”

กฎหมายไทย บริจาคหนังสือเสรี มีดีมากกว่าเสีย

ภาพประกอบ โดย libraryman

ได้อ่าน “บริจาคหนังสือเสรี” ประเทศชาติจะฉิบหายจริงหรือ จากประชาไท กล่าวถึงกฎหมายใหม่ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และถูกประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว เป็นกฎหมายส่งเสริมให้คนบริจาคหนังสือให้สถานศึกษา ผ่านทางการขอยกเว้นภาษีจากมูลค่าของหนังสือที่บริจาคได้ถึง 200%

มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างเช่น มกุฎ อรดี ที่ออกมาให้ความเห็นว่า การบริจาคหนังสือเสรีจะนำมาสู่ความเสียหายของชาติอย่างใหญ่หลวง โดยเน้นไปที่ เป็นช่องทางในการคอรัปชั่น ประโยชน์จากการหักภาษี หนังสือบริจาคที่ด้อยคุณภาพ การครอบงำ-โฆษณาตัวเองของนักการเมืองผ่านหนังสือ มีข้อโต้งแย้งของความเห็นนี้ จากหลายส่วนดูจะฟังขึ้น และเห็นว่ากฎหมายนี้มีดีมากกว่าเสีย ยกตัวอย่าง

“คุณมกุฎบอกว่าการบริจาคหนังสือเป็นช่องทางหนึ่งของการคอรัปชั่น เช่น ไปซื้อหนังสือราคาถูกๆ แล้วเอามาหักภาษีเต็มๆ กับราคาปกหนังสือ มันก็เป็นธรรมดาของประเทศไทยอยู่แล้วที่จะมีการคอรัปชั่น”

-ธนาพล อิ๋วสกุล กองบรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน (3)

อันนี้ฟังขี้นมาก ใช้แย้งกรณีคอรัปชั่น คนไม่ดี ยังไงก็หาช่องให้ตัวเองได้เสมอ อีกทั้งยังมองแง่ร้ายแต่ทางเดียว

“ปัญหาคือเราเอาอะไรไปวัดว่า ‘ข้อมูล’ หรือ ‘อุดมการณ์ใด’ เป็นอุดมการณ์ที่ ‘ดี’ ที่ ‘ถูก’ และอุดมการณ์หรือข้อมูลใด ‘ผิด’ หรือเป็น ‘อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ’ ? ถ้าเราใช้เหตุผลเช่นนั้นในการ ‘เฝ้าระวัง’ หนังสือ เท่ากับเราก็ยอมรับในแนวคิด ‘พี่ใหญ่’ หรือ ‘คุณพ่อรู้ดี’ เราก็จะไม่มีเหตุผลใดที่จะไปเรียกร้องต่อสู้เวลาที่เขาบล็อกเว็บหรือเซนเซอร์หนัง เพราะนั่นเขาก็อ้างว่าทำเพื่อ ‘ความมั่นคง’ ของชาติ (ประกอบศีลธรรมอันดีด้วย) เช่นกัน”

และอีกประโยค “เราเคยเชื่อหนังสือบางเล่มอย่างหัวปักหัวปำ แต่พออ่านหนังสืออีกเล่ม มันล้างความคิดของหนังสือเล่มก่อนหน้านั้นไปเลย ไม่มีหนังสือเล่มใดหรอกที่จะครอบงำเราได้ตลอดไป และมันมีหนังสือใหม่ๆ รอมาครอบงำเราตลบหลังได้เรื่อยๆ”

-นักเขียนหนุ่มผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม (4)

กรณีที่เกรงว่าหนังสือนี้ควรเฝ้าระวัง กลัวเด็กถูกครอบงำ อธิบายได้เห็นภาพ นอกจากนั้น เขายังเสนอการพิมพ์หนังสือออกมาสองเวอร์ชั่นคือราคาถูก กับราคาแพง โดยใช้คุณภาพของกระดาษที่ต่างกัน เพราะหนังสือยังไงมันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ มีคุณค่าที่ตัวหนังสือไม่ใช่กระดาษ นี้จะเป็นการเพิ่มเสรีให้ผู้อ่านมากขึ้น นักเขียนท่านนี้เขียนได้ถูกใจมาก อยากรู้จังว่าเป็นใคร

นี้เป็นความเห็นส่วนตัว เมื่อครั้งเราอยู่ชนบทห่างใกล้ ตอนเรียนประถมยังจำได้เลยว่า โรงเรียนเรามีหนังสือในห้องสมุดเพียงไม่กี่เล่ม ตอนมัธยมต้นหนังสือในห้องสมุดถือว่าน้อยมาก ใครยืมไปคนอื่นก็คงไม่ได้อ่าน จนจำกัดการยืมให้แค่ 3 วัน

หนังสือนอกตำราเรียนเรียกว่าน้อยมาก เคยอ่านหนังสือของ ชัยคุปต์ ชื่อเรื่อง มนุษย์และอวกาศ ตอนนั้นบอกได้เลยว่ามันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้มาก และเราตั้งคำถามว่าอยากอ่านชุดอื่นๆอีกทำไมไม่มี พอได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาในเมือง ที่มีหนังสือเยอะกว่ามากเรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด เราก็ตั้งคำถามอีกว่า ทำไมที่โรงเรียนเก่าเราไม่มีแบบนี้บ้าง นี้ต่างหากที่เรียกว่าเสรีในการอ่าน ไม่มีให้อ่านแล้วจะเรียกเสรีได้อย่างไร ถ้ากฎหมายนี้จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนได้บริจาคหนังสือมากขึ้น เราก็เห็นแสงสว่างเล็กๆที่จะเกิดขึ้น จะได้เห็นหนังสือในห้องสมุดนอกเมืองมากขึ้น การบริจาคหนังสือเสรี คือบริจาคเสรีในการอ่านด้วย

ส่วนเรื่องของหนังสือที่บริจาคจากคนทั่วไปเห็น ถ้าคนที่ตั้งใจจะบริจาคจริงๆ มันคงเยอะกว่าคนที่ตั้งใจหาผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นสังคมมันคงอยู่ไม่ได้มาถึงขนาดนี้หรอก คนเหล่านี้ย่อมต้องคัดเลือกหนังสือที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์ให้ห้องสมุด หรือแม้ว่าจะเป็นหนังสือมือสองถูกๆ แต่หนังสือเล่มนั้นก็เคยเป็นหนังสือมือหนึ่งมาก่อน มีคุณค่าที่ตัวหนังสืออยู่แล้วไม่ใช่กระดาษหรือปก

จึงขอสนับสนุนกฎหมายนี้ ป่วยการที่เราจะมัวคำนึงแต่ผลเสียที่จะเกิดจากคนไม่ดีในสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติม-voicetv.co.th

ภาพถ่ายจากดาวเทียม ก่อนและหลังแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิที่ญี่ปุ่น

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ฟุกุชิมา

ภาพถ่ายจากดาวเทียม เปรียบเทียบก่อนและหลังเกิดแผ่นดินไหว และเกิดคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น ภาพก่อนเกิดเหตุนั้นเป็นภาพถ่ายช่วงปี 2009 และ 2010 และหลังเกิดเหตุ ถ่ายช่วงวันที่ 12 มีนาคม 2011 พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นภาพของเมืองเซ็นได ที่คลื่นสึนามิสร้างความเสียงหายให้เมืองมากที่สุด

ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลัง เกิดแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิถล่ม ที่เซ็นได

เซ็นได สภาพก่อนเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิถล่ม

สภาพของเซ็นได ถ่ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2010 จะเห็นได้ว่ามีบ้านเรือนหลายหลังคาเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ

เซ็นได สภาพหลังเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิถล่ม

สภาพ เซ็นได หลังเกิดแผ่นไหว 9 ริกเตอร์ และคลื่นสึนามิยักษ์กวาดบ้านเรือนหายไปเกือบหมดเลยทีเดียว

ดูภาพถ่ายจากดาวเทียมทั้งหมด ได้ที่ https://www.nytimes.com

เมื่อเข้าไปตามลิงค์แล้ว จะเห็นภาพภาพก่อน และหลังเกิดเหตุจะซ้อนกันอยู่ ใช้เมาส์คลิกเลื่อนซ้าย-ขวา เพื่อดูภาพก่อน-หลัง ดังตัวอย่างด้านล่าง

เลือนปุ่มตรงกลางซ้าย-ขวา เพื่อดูภาพก่อนและหลังเกิดเหตุ

รวมภาพแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น

ภาพน้ำวนชายฝั่งใกล้เมืองโอเรอิ (REUTERS/Kyodo )

ภาพน้ำวนเกิดขึ้นที่ชายฝั่งบริเวณใกล้เมืองโออาราอิ จังหวัดอิบารากิ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ในวันที่ 11 มีนาคม 2554 ในช่วงเกิดแผ่นดินครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูงกว่า 10 เมตร พัดเข้าทำลายเรือ รถ อาคารบ้านเรือน สิ่งต่างๆ สร้างความเสียหายอย่างมาก

ภาพไฟไฟม้บ้านหลังโดนทั้งแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิ (REUTERS/KYODO)

ภาพบ้านที่ถูกไฟไหม้ จากเมืองนาโตริ จังหวัดมิยะงิ หลังจากโดนทั้งแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิขนาดใหญ่

คลื่นสึนามิขนาดยักษ์(REUTERS/KYODO)

ภาพคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ขณะพัดเข้าถล่มเมือง Iwanuma จังหวัดมิยะงิ

สนามบินเซ็นได โดนคลื่นสึนามิ (REUTERS/KYODO)

สภาพสนามบินเซ็นได โดนน้ำท่วมหนัก หลังโดนสึนามิพัดถล่มเข้าใส่

คลื่นสึนามิจากทะเลกำลังเคลื่อนตัวเข้าฝั่ง (Reuters)

ภาพคลื่นสึนามิขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงเข้าหาชายฝั่งที่เมืองนาโตริ จังหวัดมิยะงิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ญึ่ปุ่น วันที่ 11 มีนาคม 2554

คลื่นสึนามิขนาดใหญ่กำลังพัดเข้าชายฝั่ง ( Reuters)

ภาพนี้เป็นภาพคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่กำลังพัดขึ้นฝั่ง ภาพนี้ทำให้เห็นความน่ากลัว ขนาดของคลื่นที่ทรงพลังและสูงใหญ่เทียบกับต้นไม้ริมฝั่ง บ้านเรือน รถยนต์ ที่ยากจะต้านทานพลังอำนาจอันน่ากลัวนี้ได้ ที่ชายฝั่งเมืองนาโตริ จังหวัดมิยะงิ

ผู้คนออกจากอาคารสูงมาอยู่ในที่โล่ง (Reuters)

ภาพของผู้คนอพยพออกจากอาคารมาอยู่บริเวณถนนที่โล่ง ในช่วงเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริกเตอร์ ในเมืองเซ็นได จังหวัดมิยะงิ

เรือถูกคลื่นยักษ์พัด (Reuters)

ภาพเรือถูกแรงของคลื่นยักษ์สึนามิพัดขึ้นฝั่ง จากเมืองอะซาฮิคาวา

บ้านถูกไฟโหมลุกไหม้อย่างหนัก (Reuters)

ภาพบ้านถูกไฟไหม้อย่างหนัก หลังจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ที่จังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น

โรงกลั่นน้ำมันธรรมชาติถูกไฟไหม้ (Reuters)
ไฟไหม้โรงกลั่นน้ำมัน (Reuters)

ถังเก็บก๊าซธรรมชาติไฟไหม้หลังเกิดแผ่นดินไหว ที่โรงกลั่นคอสโม ในเมืองอิชิฮาระ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น

คลื่นยักษ์สึนามิ

คลื่นยักษ์สึนามิพัดขึ้นฝั่งที่เมือง Iwanuma จังหวัดมิยะงิ

สนามบินเซ็นได (Reuters)

สนามบินเซ็นได หลังถูกถล่มด้วยคลื่นยักสึนามิ สถาพถูกน้ำท้วมเสียงหายอย่างหนัก

บ้านเรือนจมน้ำ (Reuters)

บ้านเรือน และขยะมากมาย จมน้ำ และมีไฟลุกไหม้ ที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบินเซ็นได

บ้านไฟไหม้เป็นบริเวณกว้าง

บ้านเรือนถูกไฟลุกไหม้เป็นบริเวณกว้างหลังแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิถล่ม ที่เมืองนาโตริ จังหวัดมิยะงิ

สนามบินเซ็นได (Reuters)

ผู้คนอพยพขึ้นไปที่ดาดฟ้าสูงของตึก ขณะที่คลื่นสึนามิพัดเอาเครื่องบิน รถยนต์และอื่นๆมากมายไปกับคลื่นยักษ์ ที่สนามบินเซ็นได

ผู้คนบนทางรถไฟฟ้า (Reuters)

ผู้คนเดินทางไปตามทางรถไฟฟ้าหลังจากเกิดแผ่นดินไหว แล้วรถไฟฟ้าหยุดเดินรถทันที

ภาพต่างๆเหล่านี้เป็นภาพที่สลดใจ และแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของธรรมชาติที่มนุษย์ตัวเล็กๆจะต่อกรได้ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่เลิศล้ำปานใดก็ตาม ก็สามารถทำได้เพียงแค่บรรเทาความเสียหายได้เท่านั้น ยากที่จะหยุดยั้งหรือต่อสู้เอาชนะได้

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง

ส่วนภาพเคลื่อนไหวดูได้ที่ คลิปคลื่นสึนามิ หลังแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

ที่มา-https://boingboing.net

คลิปคลื่นสึนามิ หลังแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น

แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ทำให้เกิดสึนามิสูง 4-6 เมตร

ได้ดูคลิปสึนามิ หลังเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นในวันที่ 11 มีนาคม 2554 ทำเอาซ็อค ตาค้าง ขนลุก ไปเลย เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพการทำลายล้างของสึนามิ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ แบบชัดๆจากภาพในมุมสูง

ข้อมูลจากช่องเนชั่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบเตือนภัยที่ดีที่สุดในโลก โดยมีระบบสายเคเบิลและสถานีใต้น้ำ(ไทยใช้ทุ่นลอยน้ำ ล้าหลังกว่ามาก) สามารถเตือนภัยได้ภายใน 4-5 นาทีหลังเกิดเหตุ และเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และรถไฟฟ้า จะถูกปิดตัวอัตโนมัติ และภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่น และถูกจัดให้เป็นภัยร้ายแรงอันดับที่ 7 ของโลก

อันที่จริงประเทศญี่ปุ่นได้ประเมินและเตรียมการณ์ว่าแผ่นไหวมีแนวโน้มจะเกิดภายใน 20 ปีนี้ แน่นอนว่าไม่มีระบบใดจะสามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้ ซึ่งญี่ปุ่นคาดการณ์ไว้ที่ 7 ริกเตอร์ ต่ำกว่าความเป็นจริง 8.9 ริกเตอร์ มาก (แตกต่าง 1 ริกเตอร์ พลังงานต่างกัน 30 เท่า)

ใครมีเพื่อนๆหรือญาติติดต่อยังไม่ได้ ให้ติดต่อ ศูนย์ช่วยเหลือคนไทยในญี่ปุ่น 02-575-1046-9 และ 02-643-5000

ผลกระทบสำหรับประเทศไทยจากแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงนี้ กรมอุตุฯ ประเทศไทย บอกว่า คลื่นจะถึงประเทศไทยที่จังหวัดนราธิวาสประมาณตีห้าของพรุ่งนี้ คลื่นจะมีพลังน้อยมากสูงประมาณ 15 เซนติเมตร หรือเรียกได้ว่าแทบไม่รู้สึก แต่อย่างไรก็ตามก็ขอให้ติดตามประกาศจากศูนย์เตือนภัยอย่างต่อเนื่องต่อไปครับ

สามารถดูภาพนิ่งได้ที่ รวมภาพแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น

ดูคลิปสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น 1

ดูคลิปสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น 2

ดูคลิปสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น 3

ดูคลิปสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น 4

ที่มา-เนชั่นแชนแนล

รวมข่าว กรณีสภาวิชาชีพไม่รับรองหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

สภาวิชาชีพไม่รับรองหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ข่าวหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ไม่ผ่านการรับรองจากสภาวิชาชีพฯ ส่งผลให้ไม่สามารถเปิดสอนต่อได้ จนต้องมีการฟ้องศาลคุ้มครอง เหตุการณ์นี้ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงเป็นนักศึกษาที่ยังไม่รู้ทางมหาลัยจะแก้ปัญหาออกไปทางไหน สำหรับใครที่ไม่ได้ติดตามข่าว ผมลองรวบรวม ข่าว เรียงตามลำดับจากต้นเรื่องไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ทั้งหมด แต่ถ้าอ่านเรียงลำดับลงไปจะเข้าใจลำดับเหตุการณ์

เหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้เคยเห็นมาแล้ว เมื่อครั้งหลักสูตรพยาบาล วิทยาลัยนครราชสีมาไม่ได้รับการรับรอง และจบลงโดย สกอ. ช่วยจัดให้นักศึกษากระจายไปเรียนตามสถาบันต่างๆ  ในเหตุการณ์นี้ยังไม่รู้จะจบยังไง(น่าจะเป็นเหมือนเหตุการณ์ด้านบน) แต่สิ่งที่ต้องคำนึงมากที่สุด คงต้องเป็นนักศึกษาที่เสียเวลาเรียนมาแล้วหลายปี ขอให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ด้วยดีและดีกับทุกฝ่าย

ข้อมูลเพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาเทคนิคการแพทย์ ต้องได้รับการรับรองหลักสูตรจากสภาเทคนิคการแพทย์ก่อน นักศึกษาที่จบมาจึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบใบประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ และสามารถทำงานเป็นนักเทคนิคการแพทย์ได้ รายชื่อมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนและรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองแล้ว และยังไม่ได้รับการรับรอง

คณะเทคนิคการแพทย์
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
คณะเทคนิคการแพทย์ วิทยาลัยนครราชสีมา

คณะสหเวชศาสตร์
คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร  ได้รับการรับรองแล้ว
คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา  ได้รับการรับรองแล้ว
สำนักวิชาสหเวชศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์  ได้รับการรับรองแล้ว

คณะวิทยาศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

อ้างอิงข้อมูล รายชื่อคณะเทคนิคการแพทย์ในประเทศไทย

งานสัปดาห์หนังสือ 2553 วันที่ 21-31 ต.ค. นี้ ที่ศูนย์สิริกิติ์

Book Expo 2010
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 15 (BOOKEXPO THAILAND 2010)
รวมทั้งสิ้น 11 วัน คือ ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 21 – วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2553 เวลา 10.00-21.00 น.
พิธีเปิด: วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2553 เวลา 9.30 น.
สถานที่จัดงาน: ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

https://thailandbookfair.com/bookexpo2010/

ความจริงแล้ว งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติจะจัดช่วงเดือนเมษายน งานมหกรรมหนังสือระดับชาติจะจัดช่วงเดือนตุลาคม แต่ยังไงเราก็เรียกทั้งสองงานว่า งานสัปดาห์หนังสือ อยู่ดี ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแยกหรอก เพราะงานมันเหมือนกัน มีหนังสือเยอะ คนเยอะด้วย เหมือนงานอุปกรณ์ไอทีที่มีหลายเจ้าจัด เราก็เรียกรวมว่า งาน Commart ทุกทีไป

ครั้งที่แล้วได้หนังสือมานิดเดียว เรื่องที่เคยตื่นเต้นกับการขอลายเซ็นต์นักเขียนที่ชื่นชอบ เริ่มจะเฉยๆแล้ว ถ้าเจอก็ขอ ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ไม่เหมือนครั้งแรกๆที่ต้องไปวันนี้เพื่อจะเจอให้ได้ อะไรประมาณนั้นเลย แต่จริงๆแล้วการขอลายเซ็นต์ มันก็ให้อารมณ์เหมือนเราได้ซื้อหนังสือจากเจ้าของผลงานจริงๆนะ

หนังสือใหม่ของ @finger น่าสนใจมิใช่น้อย

บันทึกงาน Ignite Thailand ครั้งที่ 2 ช่วงที่ 2

ตามไปอ่าน บันทึกงาน Ignite Thailand ครั้งที่ 2 ช่วงที่ 1 ก่อนนะครับ

เชื่อว่าทุกคนที่ได้เข้าร่วมงาน Igniter Thailand ++ ครั้งที่ 2 ต้องได้แรงบันดาลใจกลับบ้านมากมาย ผมมีความตั้งใจเขียนบันทึกนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนที่พลาดโอกาส หรืออยู่ต่างจังหวัด ให้คนเหล่านั้นได้มีโอกาสได้สัมผัสสิ่งที่ Igniter แต่ละท่านพยายามจุดประกายให้ และยังเป็นการทบทวนความทรงจำของผมด้วยก่อนที่จะเก็บเข้าห้องบันทึก และพร้อมที่จะดึงออกมาใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น

เริ่มเข้าสู่การบันทึก

หลังจากปล่อยให้พักครึ่งแรกราว 15 นาที ก็เริ่มช่วงที่สองต่อ ด้วยเสียงดนตรี

ดร. อาบทิพย์ ธีรวงศ์กิจ หัวข้อ : บทเพลง ความสุข และการแบ่งปัน

Igniter: ดร. อาบทิพย์ ธีรวงศ์กิจ หัวข้อ : บทเพลง ความสุข และการแบ่งปัน

ครูอ้อมคิดว่าคงจำเธอได้คนที่เล่นขิมเป็นเพลงเกาหลีและเพลงอื่นๆอีกมากมาย ดูที่ Youtube เธอใช้การบรรเลงขิมแทนการพูดบนเวที ร่วมกับสไลด์พรีเซ็นที่บอกเล่าถึง บทเพลง ความสุข และการแบ่งบัน มีถ้อยคำดังนี้ (ขออภัยถ้าตกหล่น)

บทเพลง ความสุข และการแบ่งปัน-อาบทิพย์ ธีรวงศ์กิจ
“ความสุขเล็กๆ เกิดขึ้นได้จริง จากการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
แล้วรู้จัก แบ่งปัน ความสุขนั้น ให้แก่คนรอบข้าง
อ้อมเชื่อว่า… ไม่ว่าใคร ก็สามารถเป็น ผู้จุดประกายความสุข ได้ทุกคนค่ะ

เคล็ดลับมีเพียง 3 ข้อคือ
1. ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขที่ได้ทำ
2.เติมความคิดสร้างสรรค์ ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ลงในงาน
3.แล้วแบ่งปันความสุขนั้นให้แก่คนรอบข้าง

อ้อมเชื่อว่าทุกคนมีแง่มุมดีๆ ของตัวเอง
หลายสิ่งที่คนอื่นมี เราอาจไม่มี แต่เราอาจมี ในสิ่งที่หลายคนไม่มี
ลองมองหาสิ่งนั้นแล้วแบ่งปันนะคะ
ลองถามตัวเอง… ว่าเราชอบทำอะไร สามารถทำอะไรได้ดี ทำอะไรแล้วมีความสุข

สำหรับ อ้อม
เมื่อรักที่จะทำอะไร เราจะสนุกกับการค้นหา ไอเดีย ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
กล้าที่จะคิดออกนอกกรอบ
เราอาจแปลกใจ กับการค้นพบศักยภาพใหม่ๆ
ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้
แบบนี้ (solo ขิม)

เพียงแค่ได้ทำสิ่งที่รัก ความสุขก็เกิดขึ้นแล้ว
แต่การได้ แบ่งปัน จะทำให้ความสุขนั้น เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ทวีคูณ
ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน ทำให้การแบ่งปัน ทำได้ง่ายดายในไม่กี่คลิก

click 1 โปรแกรมอัดเสียง&วีดีโอ
Click 2 Upload to Youtube
Click 3 Upload to Blog

และพร้อมถูกส่งต่อ กระจายสู่วงกว้าง ชนิดคาดไม่ถึง Blog follow ,Youtube subscription, Webboard

เครื่องมือเหล่านี้ เป็นทั้งเครื่องกระจายความสุขสู่วงกว้าง และเป็นกระจกสะท้อนความสุขกลับมาสู่เรา
และสิ่งที่เราแบ่งปันในวันนี้ อาจสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้แก่คนอื่น และส่งคืนเป็นรอยยิ้มและกำลังใจให้แก่เรา

ดีใจมากที่ได้มีโอกาสแสดง ศักยภาพของดนตรีไทยให้คนไทยได้เห็น
ดีใจที่มีโอกาสได้จุดประกายเล็กๆ ให้สังคมเกิดความสนใจในดนตรีไทยขึ้นใหม่อีกครั้ง แม้เพียงเล็กน้อย

อยากฝากไว้ให้ทุกคน ได้ลองค้นหา ที่ตัวเองรักและคิดว่าเราทำได้ดี
และบวกรวมเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ และความอยากที่จะแบ่งปันให้กับสังคม

เลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ให้เป็นประโยชน์

ทุกๆคนก็มีโอกาสเป็นผู้จุดประกาย สิ่งดีๆ ให้กับสังคมได้ค่ะ 🙂 ”

คุณวรัตดา ภัทโรดม หัวข้อ : Freedom from Negativity

Igniter: คุณวรัตดา ภัทโรดม  หัวข้อ : Freedom from Negativity

เรามักมีพันธะ ข้อผูกมัดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เรายึดถือ เชื่อ ไม่ยอมปล่อยตัวออกจากสิ่งนั้น
คุณวรัตดายกคำพูดของอาจารย์เธอมา “สิ่งที่ควรทำมากกว่า การพยายามเปลี่ยนศาสนาของเขา คือ ควรเปลี่ยนแปลงตัวเขา จากความไม่มีความสุขให้มีความสุข เปลี่ยนจากมีพันธะให้เป็นอิสระ เปลี่ยนจากความโหตร้ายทารุณเป็นความเห็นใจ”

ปัจจุบัน สิ่งที่เป็นปัญหาคือ เราต่างก็พยายามจะเปลี่ยนจากแดงให้เป็นเหลือง หรือเปลี่ยนจากเหลืองให้เป็นแดง แต่สิ่งที่เราควรเปลี่ยนคือ ความโกรธ ความเกียดชัง ให้เป็นความรัก ความเห็นอกเห็นใจ เปลี่ยนจากการเผชิญหน้า เป็นการหันหน้าคุยกัน ใช้สันติวิธี

สันติจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าใจเราเองยังมีความโกรธ ความเกลียดอยู่ เราจะกำจัดความโกรธ เกลียดชังได้ยังไง?
คำตอบคือ เริ่มที่ตัวเราเอง ยิ้มให้ตัวเอง เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็ยิ้มให้ตัวเองก่อน เมื่อเจอคนอื่นก็ยิ้มให้ คิดบวก ไม่นินทา

ดร. วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ หัวข้อ : สี่พลังมหัศจรรย์ สร้างคนพิการ สร้างสังคมสันติสุข

Igniter: ดร.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ หัวข้อ: สี่พลังมหัศจรรย์ สร้างคนพิการ สร้างสังคมสันติสุข

ดร.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ คือผู้พิการตาบอดที่คว้าตำแหน่งที่ 1 ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุน ไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนต้องมีการแก้กฏหมายให้ผู้พิการสามารถรับราชการได้ ดร.วิริยะ สิ่งที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จเกิดจาก 4 พลังมหัสจรรย์ นั้นคือ

  • พลังแห่งความเชื่อและศรัทธา เป็นพลังที่ช่วยให้มนุษย์ปลดปล่อย ความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่
  • พลังแห่งปัญญา
  • พลังแห่งสมาธิ
  • พลังแห่งความรัก เป็นพลังแห่งความสุข เป็นพลังทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน อยู่ด้วยกันอย่างสงบและสันติ รักในเพื่อนมนุษย์

ส่วนนี้เป็นประโยคสั้นๆ ที่อยู่ในสไลด์ของ ดร.วิระยะ ผมคัดออกมาให้อ่านดังนี้

  • สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคน
  • ให้ความสำคัญผลของงาน มากกว่าตำแหน่ง หรืออำนาจ
  • สนับสนุนให้คนทำเรื่องที่ท้าทาย และสร้างนวัตกรรมใหม่
  • ทำงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ การแก้ปัญหาต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน
  • ไม่ใช่เริ่มต้นจากผู้อื่น ล้มแล้วต้องรู้จักลุก
  • ในความโชคร้ายมักมีโอกาสดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ
  • อย่าเก็บงานไว้ทำแต่เพียงผู้เดียว
คุณธนา เธียรอัจฉริยะ หัวข้อ : เกมส์คิดดี

Igniter: คุณธนา เธียรอัจฉริยะ หัวข้อ : เกมส์คิดดี

คุณธนา เจ้าของผลงานโฆษณา Disconnect to Connect -ใช้มือถือแต่พอดี ที่กำลังดังในตอนนี้ เรื่องที่คุณธนามาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของเด็กในบริษัท ที่เป็นคนออกพื้นที่ไปขายบัตรเติมเงิน ในพื้นที่กันดาร เดินทางลำบาก แต่มีแนวคิดในการใช้ชีวิตที่คิดเชิงบวกเสมอ เหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะตอนเย็นพวกเขาจะมานั่งเล่น เกมส์คิดดี กัน มันเป็นเกมส์ที่เมื่อเราเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ให้เราพยายามคิดด้านที่ดีของมัน เช่น

  • ฝนตก ดียังไง น้องๆพนักงานก็จะบอกว่า =>ดี คนอยู่ในบ้าน เมื่อไปขายของ ก็จะเจอชาวบ้านอยู่บ้านแน่นอน เพราะชาวบ้านออกไปไหนไม่ได้
  • ถ้ามีหมาดุ หมาเห่า ดียังไง =>ไม่ต้องตะโกนเรียกชาวบ้าน เขารู้แล้วมีคนมาเดี๋ยวก็ออกมาเอง

คุณธนานำเกมนี้มาเล่นกับลูกของเขาด้วย ถามลูกว่า รถติดดียังไง ลูกตอบว่า “พ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู” และเมื่อลูกได้เข้าโรงเรียนมาแตร์ ต้องตื่นแต่เช้ามากเพื่อไปส่งลูกไปโรงเรียน เขาจึงใช้เวลาช่วงที่ตื่นเช้าไปวิ่งที่สวนลุมทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ลดน้ำหนักได้ และเพื่อนนักวิ่งมาราธอนที่มาวิ่งด้วยกัน พบว่าลูกเขาก็เรียนที่โรงเรียนมาแตร์เช่นกัน

สรุปโดยรวม เรื่องไหนที่แย่ไม่ชอบ ก็เปลี่ยนแปลงมันซะ แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนความคิดของคุณ (คิดดี)

คุณบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ หัวข้อ : ลดโลกเย็นอย่างเป็นธรรม

Igniter: คุณบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ หัวข้อ : ลดโลกเย็นอย่างเป็นธรรม

ภาวะโลกร้อนเริ่มจะลงโทษมนุษย์โลกแล้ว ดูได้จากภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น มีผลกระทบกับเราทุกคน ทำไมเราต้องควบคุมอุณหภูมิของโลก เพราะถ้าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส น้ำแข็งที่อาร์คติคจะละลายหมดท่วมโลกแน่นอน

การควบคุมอุณหภูมิโลก 2 องศาเซลเซียส สิ่งที่ต้องทำภายในปี ค.ศ. 2020 คือ

  • ประเทศที่พัมนาแล้ว ต้องลดก๊าซ 25-40% จากระดับปล่อยปี 1990 =>ต้องลดการปล่อยในบ้านตัวเอง แก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิด
  • ประเทศกำลังพัฒนา ต้องลดก๊าซ 15-30% จากระดับที่ปล่อยอยู่ในปัจจุบัน =>ต้องร่วมแก้ไขปัญหาโดยเป็นพันธกิจแบบสมัครใจ ได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน และด้านเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว

ปัญหาความล่าช้าในการเจรจาความตกลงลดโลกร้อน เพราะแต่ละประเทศมัวแต่บอกให้ประเทศอื่นลดก่อน ตัวเองจึงจะทำตาม

ในระหว่างการเจรจายังไม่ยุติ เราทุกคนควรร่วมมือกัน ปรับประพฤติกรรมต่างๆ ที่สามารถช่วยลดโลกร้อนได้ ทุกคนต้องช่วยกัน

คุณทนงศักดิ์ ศุภการ หัวข้อ : ลบ ลบเป็นบวก

Igniter: คุณทนงศักดิ์ ศุภการ หัวข้อ : ลบ ลบเป็นบวก

คุณทนงศักดิ์ แนะนำเพื่อนของเขา 2 คนให้เรารู้จัก แล้วก็เปิดวีดีโอสองอันนี้ได้ชม

1. เป็นเรื่องของพ่อกับลูก พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันไตรกีฬา หรือที่เรารู้จักในชื่อ คนเหล็ก  ที่มีทั้งการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และจบด้วยวิ่งมาราธอน การเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันระหว่างพ่อกับลูกถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป ถ้าไม่เพราะลูกเขาเป็นคนพิการ

Worlds strongest dad (ผมหาคลิปที่คุณทนงศักดิ์นำมาให้ดูไม่ได้ แต่คลิปด้านล่างเป็นพ่อลูกคู่นั้น)

2. เป็นคลิปของ นิค วูจิซิค เขาเป็น ชาวออสเตรเลีย ที่ไม่มีทั้งแขนและขา แต่การใช้ชีวิตของเขาสร้างกำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้ได้มากมายนัก

ผมน้ำตาซึมเลยอ่ะ ตอนที่ได้ดูคลิปสองอันนี้ เชื่อว่าใครที่ได้ดูต้องมีกำลังใจสู้ชีวิตเพิ่มขึ้นแน่นอน

คุณทอดด์ ทองดี หัวข้อ : Thai World: ไท-โลก

Igniter: คุณทอดด์ ทองดี หัวข้อ: Thai World: ไท-โลก

คุณทอดด์ มาเล่าประสบการณ์ชีวิตของเขา  เขาเกิดที่อเมริกา ถูกเลี้ยงในบ้านที่มีเด็กกำพร้า มีน้องสาวเป็นเด็กพิการ เขาได้รับทุนมาทำวิจัยในประเทศไทย ถึง 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งเรื่องแพทย์พื้นบ้านร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครั้งที่สองเรื่องชาติพันธุ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เขาใช้ชีวิตอยู่กับดนตรีมาตลอด เคยร่วมวงกับ หงา คาราวาน, สืบ นาคะเสถียร ได้ออกอัลบั๊มเพลงมากกว่า 10 ชุด เขาเล่าว่าเคยไปเสนอเพลงของเขา ให้ค่ายเพลง เขาได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนเพลงเพราะคนไม่ฟังเพลงแนวนี้ แต่เขาบอว่า “เปลี่ยนค่ายเพลงง่ายกว่า” ตอนนี้เขาทำรายการคุณพระช่วย ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว และได้มีโอกาสทำเทศการดนตรีที่ชื่อ จังหวะแผ่นดิน เทศกาลโลก Rhythm of the Earth – World Musiq & World Bar-B-Q  ที่มีการแสดงดนตรีของประเทศต่างๆร่วมกัน จัดที่เซ็นทรัลเวิร์ด

ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ หัวข้อ : ความรัก

Igniter: ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ หัวข้อ: ความรัก

เรื่องที่ ดร.ประมวล เล่าให้ฟังติดอยู่ในความคิดผมมาตั้งแต่วันนั้น อยากให้ทุกคนได้ฟัง

ดร.ประมวล บอกว่าเรื่องที่จะเล่า ไม่ได้เกี่ยวกับสไลด์เลย เป็นเรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง ที่เดินทางมาเที่ยวที่เชียงใหม่ จึงอาสาเป็นคนช่วยเหลือ เพราะเพื่อนคนนี้ ไม่มี แขน และขา ดร.ประมวล พาเขาไปที่เที่ยวที่วัดสุเทพ ตอนนั้นได้ซื้อดอกไม้ ธูปเทียน มาให้เขากราบพระ โดยลืมไปว่าเขาไม่มีแขน แต่เพื่อนคนนั้นได้บอกให้เอา ดอกไม้ไว้ที่ตรงระหว่างคอและไหล่ แล้วเขาก็กราบพระได้

จากนั้น ดร.ประมวลได้ชวนเขา ให้เสี่ยงเซียมซี เช่นเดิมเขาให้เอาเซียมซีไว้ที่ตรงระหว่างคอและไหล่ เขาเขย่าอย่างยากลำบากกว่าที่เซียมซีอันหนึ่งจะหล่นลงมา ดร.ประมวล นำใบทำนายมาให้เขา และเขายิ้มและ บอกว่าเป็นเซียมซีที่ดีมาก ดร.ประมวล ถามเขาว่าอ่านให้ฟังหน่อย เขาตอบ คนได้หมายเลขนี้จะมีคู่

เมื่อลงจากดอยที่ตั้งของวัด ด้านล่าง มีเด็กมาขายกำไล เขาซื้อมาสองอันแม้ว่าจะไม่มีแขนให้ใส่ แต่เขาหยิบกำไลนั้นมา แล้วพยายามสวมเข้าไปในข้อเท้าที่มียื่นออกมาเพียงสั้นๆของเขา แล้วถาม ดร.ประมวล “สวยไหม”

ดร.ประมวล กล่าวชม สวยมาก มันสวยมาก (ตอนพูด ท่านพูดด้วยเสียงสั่นเครือ) สะท้อนให้เห็นว่า เราผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ ต่างไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี แม้เพื่อนเขาคนนั้นจะร่างกายบกพร่องขนาดนั้น ยังมองโลกได้สวยงามปานนั้น แล้วเรายังต้องการอะไรอีก

คุณสิริยากร พุกกะเวส (อุ้ม) หัวข้อ : จากบอด... เป็นบวก

Igniter: คุณสิริยากร พุกกะเวส (อุ้ม) หัวข้อ : จากบอด… เป็นบวก

รู้เลยว่าเธอเตรียมตัวมาดีมาก สไลด์สัมพันธ์กับเรื่องที่พูด ใช้เวลาพอดี ลงตัวอย่างเหมาะเจาะ

คุณอุ้มขึ้นเวทีขึ้นมาแล้วให้ทุกคนหลับตา แล้วลองใช้ประสาทสัมผผัสส่วนอื่นๆ ทั้งเสียง กลิ่น กายสัมผัส แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ ตอนที่เข้าร่วมในรายการเจาะใจ ได้โจทย์ให้เป็นคนตาบอดนาน 5 วัน ในช่วง 2 วันแรกเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ทั้ง กลัว เกลียด เบื่อ ทำอะไรที่เคยทำได้ไม่ได้ ทรมานมาก ร้องไห้ ด้วยความทรมาน จากนั้นเธอจึงเริ่มตั้งสติ เข้าใจ และเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดในช่วงที่ตาบอด

ตอนที่เรา ลืมตา เราไม่ได้ลืมแค่ตา แต่เรา ลืม หู จมูก กาย ลิ้นและใจ ไปด้วย

แต่เมื่อเรา หลับตา หูจมูกลิ้นกายใจจะตื่น ใจตื่นคือ เห็นใจคนอื่น เรียกว่า ตาสว่าง (ในขณะที่ตาบอด)

จึงอยากให้เรา หลับตาเสียบาง ใจจะได้สว่าง แล้ว บอด จะเปลี่ยนเป็น บวก

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

Igniter: ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา หัวข้อ: Ignite

ดร.อาจอง มาเล่าประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เข้าเรียนในแคมป์บริด มหาวิทยาลัยที่ไอเซ็ก นิวตันเลยเรียน แต่ก่อนเป็นคนเกเรมาก ต่อยชาวบ้านไปทั่ว สุดท้ายก็เปลี่ยนตัวเองตั้งใจเรียน นั่งสมาธิ และเป็นคนแรกในรุ่นที่จบปริญญาเอกก่อนเพื่อนร่วมรุ่น จากนั้นก็ได้สมัครเข้าทำงานกับนาซา มีโอกาสได้คิดวิธีลงจอดของยานอวกาศที่จะลงจอกบนดาวอังคาร ตอนที่คิดได้นั้น ได้ออกจากห้องแล็ปไปอยู่บนภูเขา นั่งสมาธิ จึงคิดออกมาได้

จากคำพูดของไอสไตน์  “การหยั่งรู้ไม่ได้มาจากความตั้งใจ หรือมาจากขั้นตอนของการศึกษา แต่มาจากใจโดยตรง”

ดร.อาจอง กล่าวว่า ทุกอย่างในชีวิตประสบความสำเร็จมาหมดแล้ว ทั้งทางการศึกษา วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ ตอนนี้จึงมุ่งมั่นกับการสร้างคน ด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไส ที่ จ.ลพบุรี
……………………

ในส่วน Ignite จบลงแล้ว ด้วย Igniter ทั้งหมด 21 คน ต่อไปเป็นการแสดงของคุณเพชร โอสถานุเคราห์ เริ่มด้วยการกล่าวบทกวี แล้วนำเข้าสู่เพลงสันติภาพ และต่อด้วยเพลง เราเป็นคนไทย

เพลง เราเป็นคนไทย

บนสไลด์ประกอบ มีคาราโอเกะให้ร้องตามได้ด้วย ชอบสาวคนข้างๆมากเลย ขยับโยกหัวตอนเล่นคีย์บอร์ด น่ารักมาก
เพลง เราเป็นคนไทย

และมีการถ่ายรูปร่วมกันของ เหล่า Igniter ทุกท่าน

Igniter

ขอขอบคุณ Igniter ทุกท่าน และทีมงานผู้จัดงาน เพื่อนๆผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน

ขอให้ทุกท่านมีพลังคิดบวก เพื่อสังคมไทยครับ

Exit mobile version