หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ฉบับภาพประกอบ

หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มีเขียนภาพประกอบโดย Jim Key

Harry Potter and the Philosopher’s Stone: Illustrated Edition

ภาพประกอบโดย Jim Kay

เป็นหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มีเขียนภาพประกอบโดยจินตนาการตามตัวอักษรในหนังสือ หลายอันอาจจะไม่ได้เหมือนฉบับภาพยนตร์ที่เราคุ้นเคย (ซึ่งจริงๆหนังก็ตีความได้ดีมากเหมือนกัน)

ฉบับภาพประกอบของ Jim Kay ทำออกมาได้สวยมากๆ น่ามีเก็บไว้บนตู้หนังสือมาก ๆ ที่เห็นอยู่ในภาพเป็นฉบับ ebook ใน kindle ภาพมีแอนนิเมชั่นนิดๆ ขยับตัวได้ด้วย

สรุปว่าดูภาพประกอบตัวอย่างบางส่วนเอาแล้วกันสวยแค่ไหนตอนนี้ทำออกมายังไม่ครบทั้ง 7 เล่มนะ เล่ม 5 จะออกราวๆ กลางปีนี้ เล่มต่อไปคงจะทยอยตามเรื่อย ๆ ฉบับ hardcover ราคาประมาณ 25€

บันทึกไป Interlaken สุดสัปดาห์ 3 วัน

บันทึกไป Interlaken สุดสัปดาห์แบบด่วน วางแผนหลวม ๆ แล้วไปเลย ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ นั่งรถไฟจากดอร์ทมุนด์ตอนช่วงดึกไปสวิตเซอร์แลนด์จุดหมายคือเมือง Interlaken ใช้เวลาราวๆ 10 ชั่วโมง ถึงช่วงเช้าเอาของบางส่วนฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ แล้วเที่ยวต่อทันทีเลย

วันที่ 1: เริ่มจาก Interlaken Ost ไปที่ Gschwandtenmaad จากนั้นเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ราวๆ 5 กิโลเมตร จนถึง Schwarzwaldalp นั่งรถบัสกลับ Interlaken Ost จบทริปวันแรกวันที่

2: เริ่มจาก Interlaken Ost ไป Laubrennen ถ่ายรูปเล่นในรอบๆเมือง นั่งรถไฟไปที่เมือง Wengen แล้วเดินลงเขาลงมาที่เมือง Laubrennen เหมือนเดิมแต่เดินแบบอ้อมๆ ระยะทางราวๆ 9 กิโลเมตร นั่งรถไฟกลับ Interlaken Ost จบทริปวันที่สอง

วันที่ 3: เริ่มจาก Interlaken Ost ไป Grindelwald เดินไปขึ้นกระเช้าไปที่ ยอดเขา First เดินต่อไปที่ทะเลสาบ Bachalpsee ระยะทาง 3 กิโลเมตร นั่งเล่น ถ่ายรูป แล้วเดินจาก ทะเลสาบลงมาที่ Grindelwald ระยะทางราวๆ 10 กิโลเมตร นั่งรถไฟกลับมาที่ Interlaken Ost ขึ้นรถไฟรอบค่ำกลับดอร์ทมุนด์ เป็นอันจบทริป

ส่วนเสริม บันทึกไว้เกี่ยวกับ Interlaken

-ต้องจ่ายภาษีของเมืองที่โรงแรม แล้วเขาจะให้บัตรแขกบ้านแขกเมืองซึ่งใช้นั่งรถบัสภายในเมืองได้

-แอพ SSB mobile เหมือน DB ของเยอรมัน ใช้ดูตางรางเวลารถ สถานี และใช้ซื้อตั๋วได้ด้วย

-แทบจะทุกร้านค้า รถบัส ตู้ขายตั๋ว ใช้บัตรซื้อได้หมด ไม่ต้องพกเงินสดยังได้ ยกเว้นตู้ยอดล็อกเกอร์

-ห้องน้ำสาธารณะฟรี ความสะอาดค่อนข้างโอเค (อย่าเทียบกับเยอรมัน)

-ช่วงนี้ยังมีปัญหาโควิด นักท่องเที่ยวน้อย ร้านค้าเปิดแค่บางร้าน ร้านที่เปิดให้นั่งข้างในต้องแสดงวัคซีนพาสพอร์ตว่าได้รับวัคซีนครบแล้ว

-แอพนำทางและแนะนำเส้นทาง hiking ชื่อ Kamoot ปกติก็ใช้อยู่แล้ว แต่พอมาที่สวิตเซอร์แลนด์คิดว่าต้องเดินบนเขา กลัวว่าสัญญาณโทรศัพท์จะขาดหาย เลยซื้อแผนที่เดินป่าแบบออฟไลน์ไว้ด้วย ซึ่งก็ทำงานได้ดีที่เดียว แต่สัญญาณ 5G มีครอบคลุมทุกที่เดินไปเลย (อย่าเทียบกับเยอรมันออกเมืองไปนิดน้อย สัญญาณเริ่มเบาแล้ว)

-ค่าเดินทางพวกรถไฟ รถบัส กระเช้า กลุ่มที่ขึ้นเขาแพงอย่างโหด แต่ถ้าได้นั่งและเห็นเส้นทางที่รถวิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมมันต้องแพง ทั้งสูง และอันตรายมาก ๆ ส่วนค่าเดินทางระหว่างเมืองด้านล่างก็ไม่แพงมาก แต่ก็ยังถือว่าแพงตามมาตรฐานสวิสต์อยู่ดี ซื้อตั๋วเหมาอาจจะเหมาะมากกว่า ตั๋ว Region กับ SwissPass ราคาพอกัน ส่วนตั๋ว Jungfrau ถูกกว่าแต่ได้พื้นท่องเที่ยวน้อยกว่า ต้องดูว่าจะเที่ยวตรงไหนบ้าง แต่ถ้าคนชอบเดิน hiking ไปแค่ขาเดียวซื้อเป็นเที่ยวๆก็ประหยัดกว่า

Google Photos จะไม่ฟรีแล้ว ทำยังไงดี?

จากกรณีที่ Google Photo จะเลิกให้ backup ภาพฟรีแล้ว ตามนโยบายใหม่ ที่จะเริ่มใช้งานในกลางปีหน้า https://blog.google/products/photos/storage-changes/

ความจริงแล้วรูปที่จะอัพโหลดขึ้น Google Photos ได้ฟรีนั้นจะต้องเป็นภาพที่ขนาดไม่เกิน 16 MP ถ้าเกินกว่านั้นก็จะนับรวมกับ Google Storage ที่เรามี ถึงจะอัพโหลดภาพที่ใหญ่กว่านั้นขึ้นไป ก็ยังมี tool ที่สามารถย่อให้กลับให้มาอยู่ในขนาดที่กำหนดได้ แต่หลังจาก 1 มิถุนายน 2021 ปีหน้า บริการที่ว่านี้จะหมดลง ทำให้รูปที่อัพโหลดขึ้นไปหลังจากนั้นจะถูกคิดพื้นที่ทั้งหมด และจะให้พื้นที่ฟรีเริ่มต้น 15 GB

Google Photos จะไม่สามารถ backup ภาพได้ฟรีแล้ว


ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองโดยตรงคือ Google Photos ที่ใช้อยู่ปัจจุบันถูกใช้เป็นคลังเก็บรูปทั้งหมด แม้ว่ารูปที่อยู่ในคลัง ณ ตอนนี้จะยังอยู่ อันนี้ถือว่าโอเคมากๆ แต่ต้องมาคิดว่าในอนาคตจะทำยังไงต่อไป

จำนวนภาพที่เก็บไว้ใน Google Photos

ต้องคำนวณดูก่อนว่าที่ผ่านมาตลอด 5 ปีใช้พื้นที่ในการเก็บรูปไปประมาณเท่าไหร่ จะได้คำนวณพื้นที่เก็บในอนาคต ได้ถูกต้อง ณ ปัจจุบันคำนวณโดยคร่าวๆ จากปริมาณรูปและขนาด พบว่าใช้พื้นที่เก็บรูปไปประมาณ 380 GB โดยเฉลี่ยภาพ 3 ปีหลังจะต้องใช้พื้นที่ในการเก็บเพิ่มขึ้นประมาณ 100 GB ต่อปี

พอได้ความต้องการโดยคร่าวๆแล้วมาดูว่าจะจัดการกับภาพในอนาคตอย่างไรดี

ตัวเลือกที่ 1 ซื้อพื้นที่เพิ่มจาก google ซึ่งจะใช้รวมกับ Gmail, Drive, Photos ราคาดังนี้
-100 GB ราคา 70 บาทต่อเดือน (700 บาทต่อปี)
-200 GB ราคา 99 บาทต่อเดือน (990 บาทต่อปี)
-2 TB ราคา 350 บาทต่อเดือน (3500 บาทต่อปี)
ถ้าจะซื้อเป็นรายปีก็จ่ายในราคา 10 เดือน
ถ้าเลือกตัวเลือกนี้ ตัวเลือก 100 GB น่าจะพอในปีแรก แล้วค่อยอัพเกรดในปีต่อๆไป

ตัวเลือกที่ 2 ตอนนี้เป็นสมาชิก Amazon Prime ยังใช้งานได้
สามารถใช้พื้นที่ได้แบบไม่จำกัด โดยจ่ายค่าสมาชิกรายปี 69 Euro (2,500 บาท) ตอนนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่เก็บภาพไฟล์ RAW เป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะย้ายการเก็บภาพทั้งหมดมาไว้ที่นี้ แต่ความสะดวกก็จะลดลงนิดหน่อย เมื่อเทียบ Google photos
และอีกอย่างการเป็นสมาชิก Amazon Prime แต่ไม่ได้ใช้สิทธิการส่งของฟรี รู้สึกเหมือนว่าความคุ้มค่าจะลดลง ถึงจะยังได้ Free Video, E-book, Photos อยู่ก็ตาม

สรุป จ่าย 700 บาทต่อปีสำหรับ 100GB และยกเลิก Amazon Prime น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งๆที่เงินก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่พอต้องจ่ายในสิ่งที่ไม่เคยจ่ายดันรู้สึกแพงขึ้นมาซะงั้น แต่รอดูสถาการณ์เมื่อใกล้ถึงกำหนดอีกว่า จะเปลี่ยนใจหรือไม่

ปล. ใครมีบริการอื่นๆ อยากแนะนำ บอกกันมาได้นะครับ

ภาพยนตร์สารคดี Finding Vivian Maier

ช่างภาพชาวอเมริกัน John Maloof ได้พบผลงานของช่างภาพปริศนาคนหนึ่ง รู้เพียงว่าเธอชื่อ Vivian Maier เธอไม่เคยแสดงผลงานที่ไหนเลย มีฟิล์มเนกาทีฟที่ไม่เคยปรินต์ รวมๆกว่า 150,000 รูป เขานำผลงานบางส่วนมาแชร์ในอินเทอร์เน็ต แล้วมันกลายเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งผลงานของเธอนั้นสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้นิยมภาพแนวสตรีทอย่างมาก ทั้งมุมมอง จังหวะ แสง การจัดองค์ประกอบ ที่อัศจรรย์มาก ทุกคนต่างอยากรู้ว่าช่างภาพที่ชื่อ Vivian Maier คือใครกัน? เธอไปอยู่ไหนมา? ทำไมไม่เคยเผยแพร่ผลงานเลย?

ถ้าได้ชมผลงานภาพถ่ายของเธอก่อน จะอินกับหนังสารคดีเรื่องนี้ขึ้นมากๆ

“Finding Vivian Maier (2013)”

Finding Vivian Maier

 

ผลงานของ Vivian Maier นั้นสุดยอดเกินคำบรรยายจริงๆ คนที่จะถ่ายรูประดับแสนกว่ารูป ในหนึ่งช่วงอายุนั้น ถ้าในยุคดิจิตอลอย่างปัจจุบันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่ถ้าในยุคที่ใช้ฟิล์ม นั่นคงไม่ใช่ความชอบธรรมดาแต่คือความบ้าคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย

หนังสารคดีเรื่องนี้ เริ่มตั้งแต่ว่า John Maloof ไปเจอคลังภาพของเธอได้อย่างไร แล้วตามค้นหาหลักฐานต่างๆที่มีจากเอกสาร จดหมาย ภาพถ่าย ตามหาคนที่อยู่ในภาพถ่าย ทำความรู้จักเธอมากขึ้น ค้นหาว่าทำไมเธอมีผลงานที่สุดยอดขนาดนั้นแต่ทำไมเธอถึงไม่แม้แต่จะเผยแพร่ผลงานของตัวเองสู่สาธารณะเลยสักครั้ง

ชมผลงานรูปถ่ายของเธอบางส่วนได้ที่ https://www.vivianmaier.com

แกะกล่อง VF-X21 (Fujifilm X70 Optical Viewfinder)

หลังจากที่แต่งหล่อให้ Fuji X70 ด้วยฮูดและเคส สนใจตามไปดูที่โพส แต่งหล่อให้ Fujifilm X70 ด้วย Accessories [Case, Lens Hood] แต่ยังขาดอีกตัวคือ ตัว Optical Viewfinder ด้วยราคาและฟังก์ชั่นที่ได้ดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไหร่ ทำให้ต้องคิดเยอะ แต่สุดท้าย ยังไงก็ต้องเอาให้ครบครับ ไปที่เนื้อหาเลย

แกะกล่อง VF-X21 (Fujifilm X70 External Optical Viewfinder)

VF-X21 (Fujifilm X70 Optical Viewfinder)

กล่องของ Fujifilm External Optical Viewfinder VF-X21

แกะกล่องของ Fujifilm External Optical Viewfinder VF-X21

ของภายในมี ถุงผ้า, ตัว Optical viewfinder, คู่มือ

ด้านหลัง VF-X21 (Fujifilm X70 Optical Viewfinder)

ตัว VF-X21 จากด้านหลัง

ด้านข้าง VF-X21 (Fujifilm X70 Optical Viewfinder)

ส่วนด้านข้าง

ด้านหน้า VF-X21 (Fujifilm X70 Optical Viewfinder)

มองจากด้านหน้า

ประกอบ VF-X21 เข้ากับ Fuji X70

เมื่อติดเข้ากับตัวกล้อง ง่ายๆแค่เสียบเข้ากับช่องเสียบ Flash

ประกอบ VF-X21 เข้ากับ Fuji X70 มองจากด้านข้าง

มองจากด้านข้างใส่พอดีไม่มีส่วนยื่นออกมาด้านหลัง

ประกอบ VF-X21 เข้ากับ Fuji X70 มองจากด้านหน้า

พอประกอบครบทั้งเคส ฮูด และก็ VF ดูดีขึ้นเชียว

ประกอบ VF-X21 เข้ากับ Fuji X70 มองจากด้านหลัง

หวังว่าเปิดโหมดไม่แสดง Live view น่าจะประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น แต่ประโยชน์การใช้งานจริงๆ คือ เท่และใช้งานช่วงแสงจ้าที่หน้าจอมองไม่ชัดครับ

จบ.

แกะกล่อง Leica Sofort : Instant Film Camera

Leica Sofort (Sofort เป็นภาษาเยอรมัน ความหมาย คือ immediately, instantly)

Leica เปิดตัวกล้อง Leica Sofort กล้อง instant film camera ในงาน Photokina 2016 ประมาณเดือนสิงหาคม 2016 ในการเปิดตัวบอกว่ากล้องจะพร้อมขายในเดือนพฤศจิกายน แต่จากที่ติดตามข่าว มีกล้องซื้อได้ในร้านในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2016 แต่ก็มีของน้อยมาก มีแค่บางร้าน ในบ้างเมืองเท่านั้น ตัวที่ได้มาซื้อมาจากร้านกล้องที่ Köln และเป็นตัวสุดท้ายในร้านด้วย

Leica Sofort มีสามสีให้เลือก สีขาว สีมิ้นต์ สีส้ม ที่ได้มาคือ สีส้ม

วันนี้ก็เอา Leica Sofort มาแกะกล่องให้ดูว่าภายในมีอะไรบ้าง

กล่อง Leica Sofort

กล่องของกล้องตัวสีส้ม

กล่อง Leica Sofort ด้านหลัง

ด้านหลังมีรูปเหมือนกล้องจริง พร้อมแสดงฟังก์ชั่นต่างๆ

กล่อง Leica Sofort มีกล่องดำภายในอีกชั้น

เฉพาะกล้องข้างนอกที่ต่างกัน กล่องสีดำคงเหมือนกัน

แกะกล่อง Leica Sofort

ภายในกล่องมีของดังนี้ คู่มือ 5 เล่ม(หลายภาษา), ที่ชาร์ตแบต พร้อมตัวแปลงปลั๊กโซนยุโรปและเอเชีย, แบตเตอรี่, สายคล้องคอ, ตัวกล้อง

(ทุกชิ้นมีพลาสติกหุ้มอย่างดีนะ แต่แกะออกแล้ว)

กล้อง Leica Sofort ด้านหน้า

ด้านหน้ามีกระจกสะท้อน สามารถถ่ายเซลฟี่ได้ และตัวริงที่เลนส์สามารถหมุนปรับระยะโฟกัสได้ 2 ระยะ คือ 0.6-3 เมตร และ 3 เมตร-∞

กล้อง Leica Sofort ด้านหลัง (Designed by Leica Germany)

มีที่ใส่แบตเตอรี่ ช่องโหลดฟิล์ม ปุ่มเปิด ปุ่มเปลี่ยนโหมด ปุ่มควบคุมแฟลช ปุ่มตั้งเวลาถ่าย ปุ่มความสว่าง

Leica Sofort ด้านบน

ปุ่มกดวัตเตอร์ ทางด้านขวา

Leica Sofort ด้านข้างที่ฟิล์มออกมา

ช่องปรินต์ฟิล์มและหูใส่สายคล้อง

Leica Sofort ด้านข้าง

อีกด้านมีแค่หูใส่ที่คล้องสาย

Leica Sofort ด้านล่าง มีที่ติดกับข้างตั้งกล้อง

ด้านล่างมีช่องสกรูมาตรฐานให้ติดกับขาตั้งกล้องได้

กล้อง Leica Sofort และฟิล์ม

ฟิล์มในกล่องหนึ่งมี 10 ภาพ มีให้เลือกแบบสี และแบบขาวดำ

กล้อง Leica Sofort ใส่สายคล้องคอ

พอใส่สายแล้วก็ดูดี Leica มีสายที่สีเข้ากับตัวกล้องขายแยกต่างหากด้วย แต่ของยังไม่มี

Leica Sofort ด้านบน ตอนเปิดกล้องถ่าย

ตัวเลนส์จะยื่นออกมายาวพอสมควร

กล้อง Leica Sofort

หลังจากถ่ายใช้เวลาประมาณ 30-40 วินาที ภาพถึงจะชัด แต่เท่าที่ลองใช้งานพบว่าที่อากาศเย็นมากๆ ภาพปรากฏช้ากว่าเดิมมาก

ในโพสนี้ขอจบการแกะกล่องเพียงเท่านี้ครับ ส่วนการใช้งานจะมาเล่าในครั้งต่อไปครับ

Wallpapers โดย Google เปลี่ยนพื้นหลังใหม่ให้มือถือในทุกๆวัน

เมื่อสัปดาห์ก่อน Google เปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ Wallpapers สำหรับ Android ซึ่งเป็นแอพที่จะเปลี่ยนพื้นหลังของมือถือให้เราอัตโนมัติในทุกๆวัน

Daily wallpapers by Google

ผมได้ลองติดตั้งและลองใช้งานดูเกือบจะครบสัปดาห์แล้ว ชอบมากเลยมาเขียนเก็บไว้ ในตอนเช้าที่ตื่นมา มีแอบลุ้นนิดๆว่าภาพพื้นหลังวันนี้จะเป็นยังไง ในแอพ Wallpapers นั้นมีหมวดหมู่ต่างๆให้เลือกหลายอัน เช่น Earth, Landscapes, Cityscapes, Life, etc. แล้วแต่ชอบใจ

Daily wallpapers by Google

หมวดหมู่ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ Landscapes เพราะภาพแต่อันที่ถูกคัดมานั้น สวยงามมากๆ

มีอยู่หลายครั้งเปิดไปดูภาพในแอพ แล้วอยากรู้ว่ารายละเอียดของภาพนั้น ว่าเป็นผลงานของใคร เมื่อคลิก Explore เข้าไป เราจะเห็นรายละเอียดของคนถ่ายภาพนั้น รวมทั้งผลงานอื่นๆของเขาอีกด้วย เรียกได้ว่าเพลินดีเลยทีเดียว

Daily wallpapers by Google

อยากลองเล่นบ้างเข้าไปโหลดได้ที่ Google Play

แต่งหล่อให้ Fujifilm X70 ด้วย Accessories [Case, Lens Hood]

Fujifilm X70 เป็นกล้องที่พกติดตัวไปไหนมาไหนแทบจะตลอดเวลา ด้วยเพราะมันขนาดเล็ก เบา พกง่าย เลยมักจะใส่ถุงผ้าแล้วเก็บไว้ในช่องใดช่องหนึ่งของกระเป๋าก่อนออกจากบ้านเสมอ แล้วภาพที่ได้นั้นก็ถือว่าคุณภาพดีทีเดียว

เนื่องจากมันกลายเป็นกล้องติดตัวไปแล้ว ก็เลยอยากจะแต่งหล่อให้มันบ้าง เลยเพิ่ม accessories ให้สองอย่าง คือ เคสหนัง (Half leather case BLC-X70) กับ เลนส์ฮูด (Lens Hood LH-X70) เป็น Official product จาก Fujifilm โดยตรง

ตัวแรกที่จะเอามาให้ชม คือ Lens Hood LH-X70

Lens Hood LH-X70

มีให้เลือกสีเงินกับสีดำ ที่สั่งมาเป็นสีดำครับ ในกล่องประกอบไปด้วย ตัวฮูด(Hood porch), แหวนอะแดบเตอร์(Adapter ring), ถุงผ้า, และใบประกัน

มาดูขั้นตอนการใส่ Hood LH-X70 ให้เจ้า X70 กันครับ

  1. ให้หมุนตัวแหวนตัวที่ติดอยู่กับตัวเลนส์ของ X70 ออกก่อน (ดูที่ลูกศร)

    หมุนตัวแหวนที่มากับกล้อง X70 ออก

    แหวนที่หมุนออกแล้วเก็บให้ดีเดี๋ยวหาย

  2. หมุนตัวแหวนอะแดบเตอร์(Adapter ring)ของตัวฮูดใส่เข้าไปแทน (ตามลูกศร)

    หมุนตัว Adapter ring เข้าไปแทน

  3. จากนั้นหมุนตัวฮูดให้ติดกับ Adapter ring ก็เรียบร้อย (ดูลูกศร)

    หมุนตัวฮูดติดกับ Adapter ring อีกที

หลังจากจากใส่ฮูดไปแล้ว ฝาปิดเลนส์ที่มากับกล้องจะปิดไม่ได้นะ

X70 ใส่ฮูดแล้ว

นอกจากอยากจะแต่งเท่ให้ X70 แล้ว ตอนที่เดินถ่ายรูปโดยไม่ได้ปิดฝาอยู่ ให้ความรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เพราะตัวเลนส์มันอยู่ด้านนอกและไม่มีอะไรช่วยป้องกันเลย เมื่อมีฮูดโอกาสที่จะโดนชนอะไรสักอย่าง แล้วไปโดนกับตัวเลนส์ก็น่าจะเกิดยากขึ้น เพราะฮูดจะช่วยกันได้ในระดับหนึ่ง ให้ความรู้สึกอุ่นใจขึ้น

ตัวแต่งหล่อตัวที่สอง Half leather case BLC-X70

เป็นเคสหนังสีน้ำตาลเข้ม ในกล่องมี ตัวเคส, สายตัดตัวกล้องแบบคล้องแขน, ซองผ้าหุ้มตัวกล้อง, ใบประกัน

Half leather case BLC-X70

ในกล่องใส่ซองพลาสติกอย่างดีนะ แต่แกะออกหมดแล้ว วิธีใส่ไม่ยุ่งมากเหมือนใส่ฮูด แค่หมุนในสกรูตัดกับเกลียวด้านล่างของตัวกล้อง

หมุนสกรูเข้ากับเกลียวใต้ตัวกล้อง

ส่วนสายรัดข้อมือ ก็ใส่ติดเข้ากับหูตัวเครื่อง เสร็จแล้วก็จะออกมาเป็นดังนี้

Fujifilm X70 หลังใส่เคส Half leather case BLC-X70

ตัวเคสถึงจะหุ้มตัวกล้องด้านล่าง แต่ก็เปิดเอาการ์ดหรือแบตเตอรี่ออกได้

ส่วนตัวถุงหุ้มตัวกล้องใส่แล้วมัดได้

ถุงใส่ตัวกล้อง

หุ้มแล้วใช้สายรัดกับตัวฮูด

ผลของการแต่งหล่อก็ออกมาตามภาพดังนี้

Fuji X70 หลังใส่เคสและฮูด

หลังจากการแต่งหล่อให้กับ Fuji X70 ตัวโปรดด้วยเคสกับฮูดแล้ว ก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจพอสมควร แต่ความจริงแล้วมันควรจะมี Optical Viewfinder VF-X21 อีกตัวถึงจะครบเซ็ต หากแต่ยังทำใจกับราคาและฟังก์ชั่นที่ได้ไม่ได้ รู้สึกว่าแพงไปหน่อย รอไปก่อนแล้วกัน

หลังจากใช้งานไปอีกสักพักก่อนค่อยมาเล่าอีกทีนะ ว่าใช้แล้วดีไม่ดีอย่างไร

ทดสอบระบบจำลองภาพถ่ายจากฟิล์มของ Fujifilm X70 (ขาวดำ)

ผมเข้าใจความสำคัญของการถ่ายภาพขาวดำมากขึ้นตอนได้ถ่ายภาพ Portrait ของเพื่อนชาวต่างชาติ ที่ไม่ได้มีสีผิว สีผม สีตา เหมือนเราชาวเอเชีย การเลือกถ่ายภาพขาวดำแบบมาตรฐานได้ภาพออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้ครับ เช่น เพื่อนคนที่มีผมสีส้มอ่อน ตอนถ่ายเป็นขาวดำออกมาทั้งหัวและคิ้วขาวโพนดูไม่มีคอนทราสเลย สีตาด้วยเช่นกัน ทำให้ภาพดูแปลกๆครับ การเลือกแบบมีฟิวเตอร์ด้วยทำให้ได้ภาพที่ดีขึ้นเยอะเลยครับ

ในกล้อง Fujifilm X70 มีระบบจำลองภาพถ่ายจากฟิล์มมาให้ด้วย ที่ผมสนใจคือ ภาพถ่ายขาวดำ ซึ่งมีมาให้เลือกตั้ง 4 แบบ คือ

  • Monochrome : ภาพขาวดำแบบมาตรฐาน
  • Monochrome+Y filter : ภาพขาวดำแบบเพิ่ม contrast เล็กน้อย และลดโทนสว่างของท้องฟ้าเล็กน้อย
  • Monochrome+G filter : ภาพขาวดำแบบเพิ่ม contrast และลดโทนสว่างของท้องฟ้า
  • Monochrome+ R filter : ภาพขาวดำที่ทำให้โทนสีผิวดูนุ่มนวลมากขึ้น

อ่านรายละเอียดแล้วก็งงนิดหน่อย เลยจับมาถ่าย RGB บนหน้าจอคอมดูเลย ซึ่งก็ทำให้เข้าใจโทนขาวดำจากแต่ละโหมดได้มากขึ้นครับ

Fujifilm black and white film simulation

ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพขาวดำครับ

(รีวิว) ชอบ ไม่ชอบ Fujifilm X70 ตามใจคนใช้งาน

จุดที่ชอบ ไม่ชอบ ในกล้อง Fujifilm X70

หลังจากใช้ Fujifilm X70 มาได้ราวๆสัปดาห์หนึ่ง มาอัพเดตว่าจุดไหนที่ชอบและจุดไหนที่ไม่ชอบ แต่โดยรวมชอบมากๆ มีจุดขัดใจนิดหน่อยที่คิดว่ามันน่าจะดีกว่านี้ได้อีกอยู่บ้าง กล้องนี้เป็นกล้องใหม่หลังจากใช้ Canon มานาน น่าจะ 4-5 ปีได้แล้ว การคอนโทรลกล้องแรกๆก็งง ต้องเอาคู่มือมาเปิดอ่าน ต้องทำความเข้าใจกับวิธีการตั้งค่าต่างๆที่ไม่มีในกล้องเดิม เช่น Dynamic range, Highlight tone, Shadow tone, Auto ISO และอื่นๆ ความจริงก็พอรู้ความหมายของมันอยู่บ้าง แต่การตั้งค่าและการใช้งานในกล้องยังไม่เคยใช้มาก่อน จะถ่ายเป็น RAW ไว้เลยก็ได้นะ แต่พอมันเป็น Compact camera ก็อยากจะจบหลังกล้องไปเลย ถ่ายเสร็จแชร์เลยไม่ต้อง Process อีกแล้ว อันไหนพิเศษก็ค่อยเปลี่ยนเป็น RAW ตามโอกาสแล้วกัน ไม่อยากเปลืองพื้นที่เก็บไฟล์ในคอมพิวเตอร์มากนัก (เพราะถ่ายเยอะอยู่แล้ว) อันที่สรุปข้างล่างนี้ คือว่าพอใช้ไปเจออะไรก็จดบันทึกมาเรื่อยๆ เอามารวมกันได้ราวๆนี้ ถ้าเจออีกจะเอามารวมไว้ที่บล็อกนี้แล้วกัน

จุดที่ชอบ

  • ไฟล์คุณภาพเยี่ยม ภาพเก็บรายละเอียดได้ดี คม จัดการ Noise ได้ดีมาก ไม่เคยคิดในชีวิตจะถ่ายภาพ ISO เกิน 400 ได้
  • ขนาดภาพ 16MP พอดี อัพโหลดฟรีใน Google Photo (ที่เป็นตัวหลักของผมในการเก็บภาพ) แบบไม่ต้องกินพื้นที่และไม่ต้องย่อ คืออัพได้เลย แมทกับชีวิตประจำวัน
  • ขนาดเล็กเบา ห้อยคอได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อย
  • เร็วทั้งการปิดและเปิดแล้วพร้อมถ่าย โฟกัสก็เร็ว เทียบกับกล้องตัวเก่าที่ใช้อยู่ ถ้าถ่ายแบบ live view เร็วคนละเรื่องเลย
  • ระบบการวัดแสง และการทำงานอัตโนมัติฉลาด ทำให้ภาพที่ถ่ายไม่เสีย ส่วนหนึ่งเพราะมันตั้งความเร็วชัตเตอร์อัตโนมัติต่ำสุดได้, ISO Auto ไม่เกินที่กำหนดได้ เลยทำให้ภาพออกมาดีที่สุดในสภาพแสงนั้นได้
  • เสียงชัตเตอร์เงียบ ไม่รบกวนแบบ ถ่ายในห้องสมุดได้เลย
  • เอารูปโหลดเข้ามือถือได้ง่าย พร้อมอัพขึ้นโซเซียลในทันที
  • การควบคุมการใช้งานง่ายดีปุ่ม Q สะดวกสุดๆ และมีปุ่มลัดเยอะดี (Fn) เข้าถึงการ setting ต่างๆได้ง่าย
  • ชอบ film simulation มาก เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ Film อีกครั้ง
  • มี Digital Tele-converter to 35, 50 mm หรือเรียกอีกอย่างว่าซูมดิจิตอลก็คงได้ แต่ไฟล์ออกมาดีกว่าซูมดิจิตอลทั่วไปนะ

จุดที่ไม่ชอบ

ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการ setting ต่างๆในกล้องที่ยังไม่ชินนัก

  • ปิดเสียงอยู่ใช้ flash ไม่ได้ งงมากว่าทำไม (ให้เดาคงคิดแทนเราว่า ไม่ต้องการรบกวนคนอื่น แล้วจะเปิด flash ทำไม มั้ง) ทำได้แล้วครับ มันมีเมนูตั้งแค่เสียงแยกต่างหาก เพื่อนที่ X series club แนะนำมา
  • เปิด face detector ใช้ AE-L/-AF-L ไม่ได้นะ ล็อกโฟกัสไม่ได้เพราะกล้องต้องวิ่งหาหน้าของแบบ อันนี้พอเข้าใจได้ แต่ทำไมล็อคแสงไม่ได้
  • ปุ่ม video record กดยากมากกกก นิ้วใหญ่ หมดสิทธิ์มันชิดกับตัวปรับชดเชยแสงมากเกินไปและปุ่มมันเล็กและตื้นมาก
  • ปุ่มรอบวงกลม OK ฝั่งซ้ายกดยากเหมือนกัน ติดกับจอที่นูนออกมา ถ้านิ้วใหญ่หมดสิทธิ์ หรือต้องวางนิ้วแบบยื่นมาจากด้านข้างแทน
  • ปิดหน้าจอ LCD ไม่ได้ แต่ 2 นาทีมันถึงจะปิดเอง(sleep) แต่ไม่อยากเปิดปิดเครื่องบ่อยๆ ปกติแล้ว DSLR ไม่เคยปิดกล้องระหว่างทริปเลยนะ อยากได้แบบนั้น ชินกับ 600D ที่มีปุ่มกดปิดจอ LCD
  • ใช้ Digital Tele-converter to 35 and 50 mm ในโหมด P S T M ไม่ได้ ถ้าตั้งบันทึกภาพเป็น RAW อันนี้พอเข้าใจได้เพราะกล้องต้อง Process ภาพออกมาเป็น JPEG แต่ไม่บอกในคู่มือ หาสาเหตุนานมากว่าทำไมใช้ไม่ได้ กว่าจะหาเจอว่าเพราะเราตั้งเป็น RAW ไว้เสียเวลาเป็นชั่วโมงเลย
  • กลัวที่ปิดเลนส์หาย ความจริงมันก็ปิดแน่นดีนะแต่ก็กลัวหาย เพราะต้องเปิดปิดตลอด
  • กลัวเลนส์เป็นรอย กำลังหาฟิวเตอร์มาใส่ แต่มันต้องมีตัวแปลงใส่เพิ่มก่อน
  • มันไม่มี view finder ต้องซื้อเพิ่มเอง

โดยรวมแล้ว Fujifilm X70 ตัวใหม่ของเรา ทำให้ถ่ายรูปสนุกขึ้น ช่วยให้ชีวิตถ่ายภาพได้ง่ายและได้ภาพ(ที่ดี)ง่ายขึ้น กล้องตัวเก่าทำงานในโหมดอัตโนมัติต่างๆได้แย่มาก ทำให้เราชินกับโหมด M มากกว่า ไม่ใช่ไม่อยากใช้โหมดอื่นๆแต่มันทำงานได้ไม่ดี ทำให้ภาพเสียเยอะและไม่ได้ดังใจนึกเลยไม่อยากใช้ แต่ถึงจะใช้โหมด M จนชินและคล่องแค่ไหนยังไงก็เร็วเท่าโหมดอัตโนมัติ P S T ในกล้องไม่ได้ มันเก่งขึ้นมาก คิดว่าในกล้องรุ่นใหม่อื่นๆก็น่าจะดีขึ้นมากๆ เหมือนกัน ไอ้เรามันใช้กล้องรุ่นเก่ามันเลยตามเทคโนโลยีเขาไม่ทัน เลยทำเป็นตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งจะได้ใช้กับเขาเท่านั้นเอง

Exit mobile version