รีวิวหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

หนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple

ผู้เขียน Leander Kahney (ลีนแอนเดอร์ เคนีย์)

ผู้แปล ณงลักษณ์ จารุวัฒน์

336 หน้า

สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์

ตีพิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2557

หนังสือเล่มนี้อ่านจบไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่พึ่งมีโอกาสมาเรียนรีวิวสรุปเนื้อหาและสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้เก็บไว้ก่อนที่จะลืมไปก่อน เขียนรีวิวหลังอ่านจบครั้งแรกไว้ใน Goodreads ไว้ดังนี้ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ถ้าใครเป็นแฟนผลิตภัณฑ์ของ Apple จะอ่านสนุกมากขึ้น ได้รู้ถึงวิวัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอุสาหกรรมของ Apple แนวความคิด ภาษาการออกแบบ ความใส่ใจถึงขั้นหมกมุ่นของทีมออกแบบ ขั้นตอนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคขั้นสูงของ Apple ที่น่าทึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

รายละเอียดอื่นๆที่เขียนไว้ตอน update status ตาม page ที่อ่านถึง

  • page 23: “จอนนี่เป็นเด็กจากอังกฤษและมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม เลือกเรียนการออกแบบตั้งแต่แรก โดยบุคคลที่สำคัญคอยสนับสนุนเขาตลอดมาคือพ่อของเขาซึ่งเป็นช่างเงินและครูสอนการออกแบบ ดูเหมือนว่าความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบของเขาไม่ได้ถูกบังคับให้รัก แต่ถูกซึบซับมาจากพ่อเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
  • page 41: “จอนนี่เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 พร้อมกับรางวัลจากงานประกวดใหญ่ๆของประเทศอังกฤษ จากรางวัลอันหนึ่งที่ได้รับ เขาได้ไปดูงานที่อเมริกาเขาชอบที่นั้นมาก และมีหลายบริษัทที่อยากจะได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปร่วมงานด้วย แต่เขาติดสัญญากับบริษัท RWG ที่เป็นคนให้ทุนเขาในการเรียนในระดับป.ตรี เขาจึงต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่นี้”
  • page 62: “ตอนนี้จอนนี่เข้ามาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Tangerine รับงานออกแบบและเป็นที่ปรึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์ใฟ้กับบริษัทตั้งแต่เล็กๆจนถึงบริษัทนานาชาติใหญ่ๆ ในงานที่ทำให้ Apple บรันเนอร์ประทับใจมากและชวนจอนนี่เป็นครั้งที่ 3 ให้มาทำงานที่ Apple และเขาก็ตกลง”
  • page 72: “Apple ใช้บริการออกแบบผลิตภัณฑ์จาก studio ข้างนอก บริษัท Frog Design แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำเองเหมือนกัน ผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกที่ทำ Design Studio ภายใน Apple เองคือ โรเบิร์ต บรันเนอร์ เขาคือผู้ที่ค้นหาและชวนนักออกแบบที่เก่งๆให้เข้ามาทำงานที่ Apple จอนนี่คือหนึ่งในนั้น”
  • page 82: “Newton MessagePad 110 คือ ผลงานแรกๆที่สร้างชื่อให้จอนนี่หลังจากเข้ามาทำงานกับ Apple ได้ไม่นาน ผลงานการออกแบบกดฝาปิดจอลงไปแล้วเด้งฝาเปิดออกมา และการกดปากที่ใช้เขียนจอแล้วเด้งออกมาจากที่เก็บ ปัจจุบันเราอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอะไรแบบนี้ ผลงานออกแบบชิ้นนี้ทำให้จอนนี่ได้รับรางวัลจากสถานบันออกแบบมากมาย แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยไปรับรางวัลเลยสักอัน”
  • page 108: “นักออกแบบที่สำคัญอย่างมากในการวางรากฐานแนวทางการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่ถือว่าเป็นหัวใจและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก แนวทางของเขาจะใช้ Design นำ Engineer แนวทางของนักออกแบบผู้นี้คือออกแบบผลิตภัณฑ์เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปคุยกับฝ่าย Engineer เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ดูโดดเด่นสวยงาม นักออกแบบท่านนี้ คือ “Robert Brunner” ชายผู้จ้าง Johnny Ive เข้ามาทำงานที่ Apple”
  • page 114: “อ่านถึงตรงนี้ กลายเป็นว่า Steve Jobs ต่างหากที่เป็นคนวางรากฐานการใช้การออกแบบขับเคลื่อนองค์กร แต่เมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัท Apple วิธีคิดแบบเก่าๆก็กลับมา วิศวกรมีอำนาจมากว่า และ Robert Brunner ก็เป็นคนพยายามนำมันกลับมาอีกครั้ง”

ตอนที่อ่านหนังสือจะมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่จอนนี่ออกแบบ โดยจะบรรยายลักษณะต่างๆโดยละอียด แต่ถ้าอยากเห็นว่าหน้าตาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นอย่างไรให้เปิดไปดูที่ส่วนตรงกลางจะมีภาพประกอบบางส่วนให้ดูประกอบ จะทำให้ได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น แต่ขอแนะนำว่าให้เราอ่านอย่างเดียวก่อน จินตนาการถึงผลิตภัณฑ์นั้น จากนั้นค่อยเปิดดูรูปอีกทีจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราจินตการถึงกับรูปจริงเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน ทำให้อ่านหนังสือเล่มนี้สนุกมากขึ้นเยอะเลยครับ

ภาพประกอบงานการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์

บางตัวไม่มีรูปประกอบ แนะนำให้ค้นหารูปในกูเกิลดูประกอบเลยครับ รวมทั้งวิดีโอสัมภาษณ์ โฆษณา การเปิดตัวสินค้าของ Apple ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ถ้าเราเปิดดูไปด้วยจะทำให้อ่านสนุกขึ้นมากเลยครับ

ตัวอย่างวิดีโอ ที่ดูแล้วจะทำให้อ่านหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์: นักออกแบบอัจฉริยะ เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple สนุกมากขึ้น

วิดีโอที่แนะนำ Unibody Macbook ที่เปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้ยึดแนวทางนี้กับเกือบจะทุกผลิตภัณฑ์ จอนนี่ ไอฟฟ์ ขึ้นนำเสนอบนเวทีตั้งแต่เวลา 10:30 นาที น้อยครั้งมากๆที่จะเห็นเขาขึ้นนำเสนอผลิตภัณฑ์บนเวที แต่ในวิดีโอโฆษณาจะมาบ่อย

https://youtu.be/-rJRMafcRUU?t=10m30s

วิดีโอนี้จะเห็นขั้นตอนการผลิต Unibody Macbook Pro ซึ่งนำการผลิตแบบนำเทคนิค CNC มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูงและมีรายละเอียดที่แม่นยำ แต่การผลิตสินค้าจำนวนมากด้วยวิธีนี้จะทำให้ผลิตได้ช้าและต้นทุนสูงมาก แต่ Apple สามารถลดต้นทุน ทั้งยังผลิตได้เร็ว ยังเป็นความลับอยู่ว่าทำได้ยังไง แต่ Apple ลงทุนกับโรงงานนี้ด้วยเงินมหาศาลมาก กว้านซื้อเครื่อง CNC จากญี่ปุ่นแทบจะทุกเครื่องที่บริษัทผลิตเครื่อง CNC ผลิตได้เลยทีเดียว

การให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ ที่หลายคนคิดว่าฉากด้านหลังที่เขานั่งอยู่คือห้องออกแบบของบริษัท Apple แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นแค่ห้องช่างธรรมดาที่เขามานั่งให้สัมภาษณ์ ห้อง Studio ออกแบบ ที่จอนนี่ ไอฟฟ์และทีมงานออกแบบของเขาทำงานอยู่ถือเป็นห้องที่ลึกลับมาก มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก มีแค่ไม่กี่คนในบริษัทที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้ การรักษาความลับผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นเข้มงวดมากจะไม่มีใครได้เห็นมันจนกว่าจะมีงานเปิดตัว ส่วนใหญ่ที่เราเห็นข่าวว่ามีภาพหลุดส่วนใหญ่จะมาจากขั้นตอนการผลิตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งโรงงานจะอยู่ในประเทศจีนเกือบจะทั้งหมด อย่างเช่น Apple Watch ไม่มีใครเห็นข่าวรั่วของสินค้าเลยจนกระทั้งมันเปิดตัว

คลิปวิดีโอที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ จอนนี่ ไอฟฟ์กล่าวรำลึกถึงสตีฟ จ๊อบส์ เขาได้เล่าถึงความสนิทสนมของเขากับสตีฟ จ๊อบส์ที่เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง การถูกหัวเราะทุกครั้งที่ออกเสียง “อะลูมินุม” แบบ British accent

อีกหนึ่งการออกมาให้สัมภาษณ์ของจอนนี่ ไอฟฟ์ เกี่ยวกับเรื่องการรออกแบบ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เขาจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบถาม-ตอบแบบยาวๆ ในการให้สัมภาษณ์อันนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเขากับทีมงาน ถ้าพูดถึงการออกแบบที่บริษัทเขาจะใช้คำว่า “We” คือ “พวกเรา” แทนการกล่าวถึงตนเอง เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันในการออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และวิดีโอนี้ยังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ลอกการออกแบบของทีมของเขาไป

วิเคราะห์ความเป็นจอนนี่ ไอฟฟ์

จอนนี่เกิดมาเพื่อจะเป็นนักออกแบบ พ่อของเขามีส่วนกับการปลูกฝั่งในเรื่องการออกแบบอย่างมาก เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เด็กและฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอด (ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตัวเองให้ไวแล้วมุ่งหน้าไปให้สุดแรง) จอนนี่ได้รับรางวัลการออกแบบแทบจะทุกสถาบันแต่ไม่ค่อยจะไปรับรางวัลเลย เขามีแนวทางการออกแบบชัดเจนมาก

แนวทางการออกแบบของจอนนี่ ไอฟฟ์ คือ Minimalism น้อยคือดี ทำให้คนทั่วไปดูแล้วเหมือนไม่มีการออกแบบอยู่ในนั้นเลย ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สีขาว ใส่ใจกับทุกรายละเอียด แม้ส่วนที่คนใช้จะมองไม่เห็น ทำต้นแบบจริงหลากหลายแบบออกมาให้ได้สัมผัส งานออกแบบนำงานด้านวิศวกรรมเสมอ

จอนนี่ไม่น่าจะเป็นลูกจ้างใครได้ เขาไม่สามารถทำงานในบริษัทที่รับจ้างออกแบบได้เพราะการออกแบบที่เขาอยากทำกับคนจ้างงานถ้าไม่ตรงกัน ผู้จ้างงานจะเป็นคนตัดสินใจนั้นทำให้เขาอึดอัดใจที่จะทำมัน แต่เมื่อเขาเป็นคนคุมการออกแบบเองอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ตัวเขาเอง ความคิดสร้างสรรค์จึงเบ่งบานได้มากกว่า

หลายคนคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะขึ้นมาเป็น CEO ของ Apple แทนสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยซ้ำไป เพราะดูจากความเข้ากันกับแนวทางการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ และวัฒนธรรมการทำงานของ Apple ด้วย แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยุ่งกับงานบริหารด้านอื่นเลย เขาสนใจแค่เรื่องออกแบบ และคนที่เป็น CEO จะต้องเป็นคนทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการด้วย และดูเหมือนทิม คุกจทำหน้าทีได้อย่างดีเยี่ยม

เคยมีคนคิดว่าจอนนี่ ไอฟฟ์จะลาออกจาก Apple หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นตอนที่สตีฟ จ๊อบส์ ลงจาก CEO และเสียชีวิตไปในเวลาต่อมา ช่วงนั้นน่าจะมีการแย่งชิงอำนาจของลูกรักลูกชังกันตอนหัวเรือไม่อยู่ แต่กลับเป็นว่าจอนนี่ ไอฟฟ์ได้อำนาจมากขึ้นแทบจะเรียกว่าในบริษัท Apple ทีมงานของเขาดูจะเป็นคนคุมบริษัททั้งหมดอยู่แล้ว โอกาสที่เขาจะไปจาก Apple เหมือนจะผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ทิม คุก ก็อยู่ข้างเขาเต็มตัว โอกาสที่จะจาก Apple ไปน่าจะมีน้อยมากๆ นอกเสียจากจะวางมือเอง

จอนนี่ ไอฟฟ์ถูกมองว่าเป็นไอคอนคนใหม่แทนสตีฟ จ๊อบส์ในบริษัท Apple ไปแล้ว ทุกคนดูจะคาดหวังผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมของเขามากกว่าทุกทีมใน Apple และเราก็เชียร์อยู่เช่นกันให้เขาทำมันสำเร็จ

วิธีแสดงภาพขนาดใหญ่ด้วย Google Maps Viewer

ถ้าหากต้องการแสดงภาพที่มีขนาดใหญ่มากๆ อย่างเช่น ภาพพาราโนมา ภาพแผนที่ขนาดใหญ่ สไลด์ชิ้นเนื้อที่ถ่ายแบบทั้งสไลด์ เป็นต้น ต้องการแสดงผลแบบที่เห็นภาพโดยรวมของภาพทั้งหมดก่อน และเมื่ออยากดูรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถซูมเข้าไปดูได้ พูดง่ายๆคือแสดงเหมือนแผนที่ใน Google Maps เมื่อเลือกตำแหน่งที่สนใจได้แล้ว ก็สามารถซูมเข้าไปดูใกล้ๆได้ เพื่อดูรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในความเป็นจริงถ้าเราแสดงภาพที่มีความละเอียดสูงตั้งแต่แรกจะทำให้การโหลดข้อมูลทำได้ช้ามากเพราะภาพจะมีขนาดใหญ่ วิธีดังกล่าวนี้จะเลือกโหลดภาพเฉพาะส่วนที่จำเป็นมาแสดงทำให้การแสดงผลทำได้ราบรื่นกว่ามาก เช่น ถ้าหากต้องการดูพื้นที่โดยรวมทั้งหมดก็จะโหลดภาพที่มีความละเอียดต่ำมาแสดงผล ถ้าต้องการดูส่วนที่ละเอียดมากขึ้นเมื่อกดซูมระบบจะดึงภาพที่มีความละเอียดสูงกว่ามาแสดงเฉพาะส่วนตรงจุดที่เราสนใจ เมื่อเราคลิกเลื่อนตำแหน่งไปเรื่อยๆก็จะโหลดภาพส่วนนั้นเพิ่มเข้ามาแสดงผล

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้ Google Maps Viewer มาใช้งาน มีหลากหลายเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น https://www.pathobin.com

ขั้นตอนการใช้ Google Maps Viewer แสดงภาพขนาดใหญ่

  1. ดาวน์โหลดโปรแกรม GMap Image Cutter  ลงไว้ในเครื่อง แตกไฟล์ที่อยู่ใน zip ออกมา
  2. เปิดโปรแกรมที่ชื่อ GMapImageCutter.jar ขึ้นมา ในเครื่องจะต้องมี Java ติดตั้งไว้ด้วย ถ้าไม่มีดาวน์โหลดและติดตั้งได้ที่ https://java.com/en/download/index.jsp
  3. คลิกเลือก File → Open เลือกไฟล์ภาพที่ต้องการนำมาแสดงด้วย Google Maps Viewer ในส่วนของ Max Zoom Level ควรตั้งไว้ตามค่าเดิม แต่ถ้าต้องการเพิ่มให้ซูมได้มากยิ่งขึ้นสามารถปรับเพิ่มได้ แต่ก็จะทำให้ต้องใช้เวลาในการสร้างไฟล์นานยิ่งขึ้น จากนั้นคลิกปุ่ม Create

    Gmap cutter

  4. เมื่อโปรแกรมสร้างไฟล์เสร็จแล้ว จะได้ไฟล์ HTML และโฟลเดอร์ที่เก็บภาพที่โปรแกรมสร้างขึ้นมาใหม่จำนวนจะมากน้อยตามความละเอียดที่ตั้งไว้ สามารถแสดงผลได้ทันทีโดยการคลิกเปิดไฟล์ HTML ด้วยบราวเซอร์ท่องเว็บไซต์ทั้วไป เช่น Internet Explorer, Google chrome, Safari เป็นต้น สามารถดูในแบบ Offline ได้ทันที

    ภาพที่พร้อมใช้งาน

  5. ถ้าต้องการนำภาพดังกล่าวไปแสดงบนเว็บไซต์สามารถทำได้โดยการอัพโหลดไฟล์ HTML และโฟลเดอร์ภาพขึ้นไปไว้บนเซิร์ฟเวอร์จากนั้นเรียกการแสดงผลโดยการใช้โค้ด

ยกตัวอย่างโค้ด

<iframe src="panorama.html" width="800" height="600" frameborder="0" marginwidth="0" marginheight="0" scrolling="no">
 </iframe>

หรืออัพโหลดขึ้น Dropbox ซึ่งสามารถแสดงไฟล์ที่เป็น HTML ได้เลยเช่นกัน ต้องใส่ไว้ใน public folder ยกตัวอย่าง https://dl.dropboxusercontent.com/u/1622318/Tissue-section.html

ข้อมูลจาก https://www.labnol.org

อยากรู้ว่า รูปสวยๆรูปนั้นถ่ายด้วยกล้องอะไร เลนส์อะไร เรามีตัวช่วย

หลายๆครั้งที่เราเห็นภาพสวยๆบนเว็บไซต์ต่างๆ ก็อยากจะรู้ขั้นตอนการได้มาซึ่งภาพสวยๆอันนั้น สิ่งหนึ่งที่พอจะทำให้เราเข้าใจการทำงานของช่างภาพได้บ้าง นั้นคือเขาใช้อุปกรณ์อะไรในการถ่ายภาพนั้น(Camera Model, Flash) เลนส์อะไร(Lens Model) ความยาวโฟกัสเท่าไหร่(Focal Length) ความเร็วชัตเตอร์เท่าไหร่(Exposure Time) เปิดรูรับแสงยังไง(F Number) ISO เท่าไหร่ ถ่ายที่ไหน(GPS) เมื่อไหร่(Date, Time) ทำให้เราเข้าใจภาพนั้นมากขึ้น

ค่าต่างๆเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านทางผลงานของช่างภาพที่เราชื่นชอบ ซึ่งค่าต่างๆเหล่านี้จะถูกฝังไว้ในไฟล์ภาพนั้นๆตั้งแต่ที่กดถ่ายภาพอยู่แล้ว รายละเอียดเหล่านี้เรียกกันว่า Exchangeable image file format หรือ EXIF รายละเอียดดูได้ตามลิงค์

โดยปกติในโปรแกรมจัดการกับรูปภาพสามารถแสดงรายละเอียดของ EXIF ได้อยู่แล้ว แม้แต่ในบริการฝากรูป Flickr, Google+Photo ก็แสดงรายละเอียดของ EXIF โดยละเอียดได้ หรือใน OS X เวลากด file info ก็แสดงรายละเอียดได้เช่นกัน

แต่ภาพที่เราจะดูเอามาเป็นแรงบันดาลใจ เอาไว้เรียนรู้ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่บนเว็บไซต์ การใช้งานแบบ offline จึงดูไม่ค่อยสะดวกมากนักเป็นการทำงานหลายขั้นตอนกว่าจะได้เห็นข้อมูล การกดดูแบบออนไลน์ทันที จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า จึงเอา Extension สำหรับ Google Chrome ที่สามารถคลิกดูรายละเอียดของภาพได้โดยละเอียดมาแนะนำครับ ส่วนตัวก็ใช้โดยปกติอยู่แล้ว

Exif viewer extension for Google Chrome

Exif Viewer Extension สำหรับ Google Chrome

สามารถดาวน์โหลด EXIF Viewer สำหรับ Google Chrome มาใช้ได้ตามลิงค์ เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาจะใช้งานเพียงแค่คลิกขวาบนรูปภาพที่ต้องการดูรายละเอียดของ EXIF จะมีเมนู Show EXIF data อยูในรายการ ให้คลิกเมนูนี่เลย

ตัวอย่างภาพจาก https://pantip.com/topic/32715141 รูปสวยดีครับ เลยอยากรู้ว่าถ่ายด้วยกล้องอะไร

คลิกขวาที่ภาพ จะมีเมนู Show Exif Data

เมื่อคลิกเมนูดังกล่าว รายละเอียดต่างๆของ EXIF ก็จะแสดงที่ด้านขวาของจอ บอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน

รายละเอียดของ EXIF data ก็จะปรากฏที่ด้านขวาของจอทันที

นับว่ามีประโยชน์สำหรับมือใหม่ มือสมัครเล่น ที่หัดเรียนรู้ว่ามืออาชีพอย่างมาก อย่างไรก็ตามบางทีรูปก็จะไม่มีรายละเอียด EXIF เหมือนกัน ถ้าหากคนถ่ายภาพจะลบข้อมูลตรงนี้ออกไปซึ่งก็ทำได้เหมือนกัน

EXIF Viewer ตัวนี้ช่วยให้ได้เรียนรู้วิธีถ่ายภาพผ่านทางผลงานของมืออาชีพได้เยอะมากครับ นำเอามาประยุกต์ใช้และฝึกฝนตัวเองได้ดีเลยทีเดียว ขอแนะนำให้เพื่อนๆที่อยากฝึกฝนตนเองได้ลองติดตั้งลงเครื่องไว้ใช้งานครับ

ปล. ถ้าไม่อยากกดคลิกเข้าไปในเมนู ขอแนะนำอีกตัว EXIF Reader ตัวนี้เป็น Extension เหมือนกัน แค่วางเมาส์ไว้บนภาพ รายละเอียดเบื้องต้นก็โชว์ออกมาให้เห็นแล้ว แต่รายละเอียดจะน้อยกว่า EXIF Viewer Extension

รีวิวรีโมทไร้สายสำหรับกล้องแคนนอน Wireless Remote Control RC-6 for Canon

ได้ลองเล่นรีโมทซัตเตอร์แบบไร้สายสำหรับกล้อง Canon DSLR เป็นของเทียบราคา 250 บาท ถ้าเป็นของจริงจากค่ายราคาอยู่ที่ประมาณ 800-900 บาท เห็นฟังก์ชั่นการใช้งานกับราคาไม่แพงมากนักเลยซื้อมาลองใช้ดู คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับการตั้งถ่าย หรือ ลดการสั่นของกล้องเวลาใช้ชัตเตอร์สปีดต่ำๆ หรือแม้แต่โหมดชัตเตอร์ B ก็ใช้งานได้เช่นกัน ลองเล่นดูแล้วถือว่าคุ้มค่าตัวจึงอยากเอามาแนะนำให้เพื่อนๆมือสมัครเล่นเหมือนอย่างผมได้ลองหามาใช้กันดูครับ

ตัวรีโมทมีแค่ปุ่มเดียว หัวส่งสัญญาณอยู่ด้านบน ใช้หลักการเหมือนรีโมททีวี คือส่งสัญญาณผ่าน infrared

วิธีสังเกตว่าเป็นของแท้หรือของเทียบ ดูง่ายๆที่ตัวอักษรถ้าของจริงจะเขียนแค่ Canon เฉยๆ ของเทียบจะเขียนว่า For Canon (อันนี้ของเทียบ)

รีโมทไร้สายกล้อง Canon RC-6 ด้านหน้า

ส่วนด้านหลังมีปุ่มเลือนขึ้นลงแบบกดชัตเตอร์ใช้ทันทีกับแบบดีเลย์ 2 วินาที ด้านล่างเป็นช่องใส่ถ่านกลมขนาด 3 โวลต์

รีโมทไร้สายกล้อง Canon RC-6 ด้านหลัง

ขนาดเล็กและเบามาก อยู่ในมือก็เล็กนิดเดียว

รีโมทไร้สายกล้อง Canon RC-6

วิธีการใช้งานรีโมทไร้สายกับกล้องแคนนอน

ใส่ถ่านกลมขนาด 3 โวลต์เข้าไป ถ้าซื้อมาครั้งแรกจะมีถ่านมาให้อยู่แล้วดึงแผ่านพาสติกออกก็ใช้งานได้เลย ส่วนวิธีสังเกตด้านที่ถูกต้องของถ่านเพราะเคยใส่สลับไปมาเหมือนกัน ให้เอาด้านบวกขึ้นมา ดูตามรูป แล้วเสียบเข้าไปให้สนิท

ใส่ถ่านกลม 3 โวลต์

ที่ตัวกล้องมีการตั้งค่านิดหน่อย ที่เมนู Drive mode ให้เลือกเป็น Self-timer: 10sec/Remote control

ตั้งค่าที่กล้องให้ใช้งานรีโมทไร้สาย

เวลาใช้งานเพียงแค่กดปุ่มสีขาวที่รีโมทและให้จุดส่งสัญญาณที่หัวของรีโมทชี้ไปที่จุดรับสัญญาณที่ตัวกล้อง ตำแหน่งรับสัญญาณที่ตัวกล้องจะอยู่ตรงมือจับเท่านี้ก็สั่งถ่ายภาพได้แล้ว

ระยะห่างระหว่างตัวกล้องกับรีโมทที่ยังใช้งานได้ จากที่ลองดูด้วยตัวเองพบว่าได้ถึง 4-5 เมตรเลยทีเดียว ทำระยะได้ไกลใช้ได้เลย หรือเวลาจะกดจากด้านหลังกล้องยกสูงๆชี้หัวลงหน่อยก็รับสัญญาณได้แล้วเช่นกัน

จุดรับสัญญาณรีโมทไร้สายกล้อง Canon

ถ้าจะสั่งกดชัตเตอร์ B ให้เลือกโหมดถ่ายภาพไปที่โหมด M ปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น Bulb เวลาใช้กดหนึ่งครั้งจะเป็นการสั่งให้เปิดชัตเตอร์และกดอีกครั้งจะปิดชัตเตอร์ เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องใช้เวลาเก็บแสงนานๆ เช่น ถ่ายพลุ ถ่ายดาว เป็นต้น

รีโมทกล้อง canon ในมือเล็กนิดเดียว ยืนห่างเป็น 4-5 เมตรก็ถ่ายภาพได้

โดยรวมแล้วถือว่าได้ประโยชน์คุ้มค่ากับราคาแค่ไม่กี่ร้อยบาท ส่วนความทนทานอาจจะสู้ของแท้ไม่ได้ แต่ก็ต้องลองดูอีกสักพักว่าจะมีอายุการใช้งานยาวแค่ไหน ส่วนขนาดก็เล็กพกพาสะดวก ระยะที่สามารถสั่งกดชัตเตอร์ได้ไกลถึง 4-5 เมตรถือว่าได้ระยะไกลพอสมควรเลย สะดวกมากกว่าการตั้งเวลาแล้ววิ่งเข้าแฟรมแน่นอน ลองหามาใช้งานกันได้เลย ขอแนะนำครับ

ตามสเปคใช้ได้กับกล้อง Canon รุ่นต่างๆเหล่านี้ 5DM3, 5DM2, 6D, 7D, 60D, 60Da, 700d, 650D, 600D, 550D, 500D, 450D, 400D, 350D, 300D, EOS M (น่าจะใช้ได้กับทุกรุ่นที่มีวางขายในปัจจุบัน)

Evernote เปิดตัว Web Client ตัวใหม่ มันโล่งมาก มีภาพเปรียบเทียบ

The New Evernote web client

ผมใช้งาน Evernote มานานมากและต่อเนื่องมาตลอด ดูจากบล็อกเก่าที่เคยเขียนถึงครั้งแรกตั้งแต่ 2009 “ตอนนี้ใช้ Evernote จนติดงอมแงม” มีหลายอย่างที่ชอบ Evernote เช่น การค้นหาในบันทึกทำได้ง่าย ใช้กับอุปกรณ์ไหนก็ได้ข้อมูล Sync ถึงกันหมดและเร็ว ค่อนข้างใช้ง่าย ทำงานได้เร็ว พื้นที่ที่ให้แบบฟรีต่อเดือนถือว่าเพียงพอ ไม่ต้องสมัครแบบพรีเมี่ยมก็ยังไม่กระทบกับชีวิตมาก มีบ้างเหมือนกันที่ใกล้สิ้นเดือนแล้วพื้นที่จะเต็ม ต้องรอให้มันรีเซ็ตใหม่ในเดือนหน้า แต่เกิดนับครั้งได้

นอกจากความประทับใจด้านบนที่กล่าวมาแล้ว มีอีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจใน Evernote คือการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งเราสัมผัสได้ว่ามันดีขึ้นทุกครั้ง รวมถึงผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆที่ออกมาก็ทำให้เราตามติดไปใช้งานด้วย  เช่น Evernote Food, Skitch, Penultimate

วันนี้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ Evernote อีกครั้ง โดย Phil Libin CEO ของ Evernote ได้ออกมาเปิดตัว Web client ตัวใหม่ในงาน EC4 conference ซึ่งมันเปลี่ยนจากเดิมไปเยอะเลยทีเดียว Phil Libin บอกว่า Evernote ที่ใช้งานผ่านเว็บตัวเก่ามันอุ้ยอ้าย “cluncy” เหลือเกิน ตัวใหม่ทุกอย่างจะละลายหายไป “melt away” เหลือแต่พื้นที่ให้คุณเขียนบันทึก อยากรู้แล้วซิมันจะหายไปยังไง?

การออกแบบเป็นแนวแบนๆ เรียบหรู ตามยุคสมัยนี้ หน้าเขียนบันทึกทำให้มีสีขาวสะอาดและโล่งมากๆ ทุกอย่างถูกซ่อนไว้เกือบหมด แต่เครื่องมือที่จำเป็นจะปรากฏออกมาเมื่อเราจะเอาเมาส์ไปวางบนไอคอน ทำให้พื้นที่ในการจดบันทึกโล่ง ให้รู้สึกความคิดได้เปิดกว้างไม่ถูกปิดกั้น ดีขึ้นจริงๆนะ

ตอนนี้ Evernote เวอร์ชั่นใช้งานบนเว็บตัวใหม่ได้ปล่อย beta ออกมาให้ได้ทดลองใช้งานกันแล้ว เข้าไปตอนนี้ระบบจะถามเลยว่าจะทดลองใช้ตัวใหม่หรือไม่ ถ้าเลือกทดลองใช้ตัวใหม่แล้วอยากกลับไปใช้ตัวเก่าเข้าไปตั้งค่ากลับเป็นแบบเดิมได้ที่ Setting

ดูภาพเปรียบเทียบ Evernote เวอร์ชั่นเก่ากับใหม่

Evernote เวอร์ชั่นเก่า

เวอร์ชั่นใหม่

Evernote เวอร์ชั่นใหม่ หน้าแรก
Evernote เวอร์ชั่นใหม่ หน้าเขียนบันทึก โล่งมาก
Evernote เวอร์ชั่นใหม่ หน้าเขียนบันทึก ทดลองเขียนบันทึก

via: techcrunchengadget.com

25+ ฟอนต์แนวลายมือ ฟอนต์เขียนด้วยมือ ดาวน์โหลดฟรี

Free Hand Drawn Fonts

พยายามจะหาฟอนต์ลายมือหรือแนวเหมือนวาดด้วยมือ จะเอามาใช้ในงานออกแบบเล่นๆอันหนึ่งที่ทำอยู่ แต่อยากได้ที่ฟรีและถูกต้อง เอามาใช้ก็ไม่ได้ใช้ในทางการค้าแต่อย่างไร ก็ค้นๆดูตามเว็บออกแบบต่างๆ พบว่ามีหลายฟอนต์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว อาจจะได้ใช้ในงานอื่นๆในอนาคตด้วย เลยอยากจะบันทึกเก็บรายการฟอนต์ต่างๆที่เป็นแนวเขียนมือไว้ คัดมาเฉพาะฟอนต์ที่ตัวเองชอบเป็นหลักครับ อยากแชร์ให้คนอื่นได้ดูด้วย ดูตัวอย่างและดาวน์โหลดได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ

รวมฟรีดาวน์โหลด ฟอนต์แนวลายมือ ฟอนต์เขียนมือ

Childs Play Font

Childs Play Font

Grutch Shadedw Font

Grutch Shadedw Font

FFF Tusj Font

FFF Tusj Font

Pointy Font

Pointy Font

Sketch Rockwell Font

Sketch Rockwell Font

Pee Pants Script Font

Pee Pants Script Font

Fh Scribble Font

Fh Scribble Font

Fh Ink Font

Fh Ink Font

Positiv-A Font

Positiv-A Font

Aguzlo Font

Aguzlo Font

Handwerk Font

Handwerk Font

Marker Twins Font

Marker Twins Font

Toms Handwritten Font

Toms Handwritten Font

Barnes Erc Font

Barnes Erc Font

Pen of Truth Font

Pen of Truth Font

Sketchy Font

Sketchy Font

Tire Shop Demo Version

Tire Shop Demo Version

Octember Script Font

Octember Script Font

WC RoughTrad Bta Font

WC RoughTrad Bta Font

McCoy – Hello Lori Font

McCoy – Hello Lori Font

Peixe Frito Font

Peixe Frito Font

Thurston Erc Font

Thurston Erc Font

Karabine Font

Karabine

Tiza Font

Tiza Font

Clementine Sketch Font

Clementine Sketch Font

Oh Ashy Font

Oh Ashy Font

Love Ya Like A Sister Font

Love Ya Like A Sister Font

via: naldzgraphics.netwebdesigntoolslist.com

Wordmark.it เว็บนี้ช่วยคุณเลือกฟอนต์มาใช้งานได้ง่ายขึ้น

Wordmark.it เว็บเลือกฟอนต์ที่ชอบ

Wordmark.it เชื่อว่านักออกแบบต้องชอบเว็บนี้แน่เลย เป็นเว็บที่จะช่วยให้เราเลือกฟอนต์ที่จะนำมาใช้ในงานออกแบบของเราได้ง่ายขึ้นมาก เพียงพิมพ์ข้อความลงไปบนช่องด้านบนของเว็บไซต์ และกดโหลดฟอนต์ “load font” แล้วฟอนต์ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องเราก็จะถูกนำมาแสดงบนเว็บไซต์ ให้เราได้พรีวิวดูก่อนว่าฟอนต์ไหนจะเหมาะกับข้อความที่เราออกแบบไว้

ยังสามารถปรับแต่งข้อความเพิ่มเติมได้จาก เมนูด้านบน ได้แก่ แบบพื้นหลังสีดำตัวอักษรสีขาว พื้นหลังสีขาวตัวอักษรสีดำ รูปแบบตัวอักษร(ตัวเขียน เล็ก ใหญ่) ขนาดของฟอนต์ เป็นต้น เว็บทำงานได้ค่อนข้างเร็วเลย จะโหลดฟอนต์มาบางส่วนถ้าเลื่อนจนสุดแต่ยังไม่ถูกใจก็คลิกโหลดฟอนต์มาแสดงผลเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ

นอกจากนั้นมันใช้กับภาษาไทยได้ด้วยนะครับ ลองพิมพ์ภาษาไทยเข้าไปก็ใช้งานได้ดีเลย

ทดสอบใช้งานภาษาไทยใน Wordmark.it

นับว่าช่วยให้การเลือกฟอนต์ทำได้ง่ายขึ้นมากๆ น่าจะเป็นประโยชน์กับมือใหม่ที่ทำงานด้านออกแบบ ทำเว็บไซต์ ทำสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่แน่ใจว่ามืออาชีพเขามีเครื่องมืออะไรในการเลือกฟอนต์ แต่สำหรับมือสมัครเล่นอย่างเรา เว็บนี้มีประโยชน์มากครับ Bookmark ไว้เลยล่ะ

เข้าไปใช้งานได้ที่ https://wordmark.it

via: https://twitter.com/AdobeMuse/status/514512039788560384

ชุด kit วาดภาพสีน้ำ วาดเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ได้ตามใจฉัน

ช่วงเดือนที่ผ่านมาเราสนุกกับการวาดรูปใน iPad ด้วยแอพพลิเคชั่น Paper by 53 และสไตลัส Pencil มาก มันทำให้วาดสนุกขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตามการวาดในจออิเล็กทรอนิกส์ก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ได้อารมณ์ของการวาดจริงๆ ความรู้สึกวาด เขียนลงกระดาษตอนจับปากกา ดินสอ หรือพู่กันตอนลงสี ยังสู้ของจริงไม่ได้อย่างที่ใจอยากได้

แต่เพราะ iPad มันตอบโจทย์อย่างหนึ่งนั้นคือมันพกไปไหนมาได้ สะดวก เราหยิบขึ้นมาวาดได้ทันทีที่อยากวาด ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ตรงนั้นได้อย่างดี แต่จะให้พกกระดาษ ชุดสีน้ำ น้ำ พู่กัน ไปไหนมาไหนก็ดูไม่สะดวกสักเท่าไหร่นัก

จนกระทั้ง…ด้วยความบังเอิญ วันหนึ่งอยากได้หมึกให้ปากกา ปากกาหมึกซึม Parker เพราะตัวที่ใช้อยู่มันมีกลิ่นที่ไม่ชอบเอาเสียเลย และโดนน้ำหรือความชื่นก็เลอะ ก็เข้าไปค้นใน Google ตามปกติ ทำให้ไปเจอบล็อกนี้ https://www.bbblogr.com ซึ่งเขียนรีวิวพวกปากกา สมุดสเก็ต หมึก ไว้ดีมากๆ ได้ความรู้เยอะมาก ต้องขอบคุณเจ้าของบล็อกจากใจจริง และในนั้นก็ทำให้รู้ว่ากลุ่ม Sketcher จะออกไปวาดรูปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเขาก็จะมีชุด kit แบบพกพาสำหรับออกไปวาดรูปที่ไหนก็ได้ ไปเที่ยว ไปกินกาแฟ กินข้าว เดินเล่น วาดที่ไหนก็ได้ตามใจ มันดูสะดวกมากๆ (มีสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้อยู่บนโลกด้วย) เป็นที่มาของบล็อกนี้ที่อยากเขียนถึง “ชุด kit วาดสีน้ำ” เอาพอสังเขปตามที่ได้สัมผัส ได้ใช้งานครับ

อุปกรณ์ชุดวาดภาพสีน้ำ

  1. สมุดสเก็ตภาพ (Canson 120gsm, 110 บาท)
  2. ปากกาหมึกซึมแบบกันน้ำ (Unipin, 35 บาท)
  3. ชุดสีน้ำ (Koi Water Colors Pocket Field Sketch Box 18 colors, 425 บาท)
สมุด ปากกา สี มีอุปกรณืเท่านี้ก็พร้อมลุยออกไปวาดรูปแล้ว

มีแค่ 3 ชิ้นนี้ก็พร้อมออกไปวาดรูปนอกบ้านแล้วครับ ซึ่งที่ผ่านมาเกือบเดือนก็รู้สึกชอบและพอใจกับชุด kit นี้มาก เอาติดกระเป๋าไปไหนมาไหนตลอด นอกจากนี้ใครที่คิดว่ามันราคาแพงไปหน่อย ก็มี Sketcher หลายๆคนก็มีการทำชุด kit ด้วยตัวเองด้วยนะ โดยใช้พวกฝาขวดมาทำเป็นหลุมสี เอาฝาติดกับกล่องพลาสติกเล็กๆก็เท่และก็ใช้ได้จริงอีกด้วย https://www.sketchlandyard.com/1660/

ชุดวาดสีน้ำ Koi Water Colors Pocket Field Sketch Box

เปิดกล่องดูข้างในของกล่องชุดสีน้ำก้อน

ข้างในจะมีสีน้ำแบบเป็นก้อน และตัวพู่กันแบบมีแท็งน้ำอยู่ตรงด้ามจับ มีถาดสี (ใช้ไปได้สักพักแล้ว ของใหม่ไม่เละนะ) สิ่งที่สุดยอดน่าจะเป็นตัวสีน้ำที่เป็นก้อนแห้ง และพู่กันที่มีแท็งเก็บน้ำไว้ได้ ทำให้คิดอยากวาดเมื่อไหร่ก็ได้ มีน้ำให้ใช้ตลอดตราบใดที่ไม่ลืมเติมน้ำเข้าไปนะ

สีก้อนแบบ 18 สี

สีน้ำของ Sakura Koi จะมีให้เลือกแบบ 12, 18, 24 สี ราคาก็แตกต่างกัน ของผมเป็นกล่อง 18 สี ซื้อมาจากร้าน siam-market ที่ central world ครับ

พู่กันมีแท็งน้ำ

พู่กันที่มีแท็งน้ำ แท็งน้ำมีจุกปิดแน่น ตอนจะใช้ก็เปิดจุกออกแล้วหมุนหัวพู่กันเข้าไป เมื่อเราบีบเบาๆน้ำที่อยู่ในแท็งก็จะไหลออกมาที่ปลายพู่กัน แล้วเราก็ป้ายลงสีน้ำก้อน แล้วก็สนุกกับการระบายสีลงรูปวาดของเราได้เลยครับ สะดวกจริงๆนะเออ

อีกอย่างที่ทำให้ผมลุกขึ้นวาดรูป มองหาอุปกรณ์อะไรแบบนี้ ส่วนหนึ่งเพราะได้เห็นสมาชิกและกิจกรรมของกลุ่ม BANGKOK SKETCHERS GROUP ที่เอารูปสวยๆ มาแชร์ให้ดู ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากออกไปวาดรูปบ้าง

สรุปว่าตอนนี้ก็สนุกกับการได้วาดแบบนี้มากครับ สวยไม่สวยอีกเรื่อง สนุกไว้ก่อน เข้าไปดูตัวอย่างรูปที่วาดได้ที่นี้ครับ https://sarapuk.tumblr.com

เล่าถึง Pencil by 53 ปากกาวาดรูปใน iPad

Pencil by 53 เป็น stylus สำหรับใช้งานกับ iPad ออกแบบมาให้ใช้งานกับแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ Paper by 53 แต่ก็ใช้กับแอพพลิเคชั่นอื่นๆได้เช่นกันแต่จะใช้งานบางฟีเจอร์ไม่ได้ และต้องเป็นรุ่น iPads with a Retina display และ iPad mini ขึ้นมา เหตุที่เลือกซื้อ stylus ตัวนี้มาเพราะชอบที่จะวาดรูปเล่นใน iPad ด้วยแอพพลิเคชั่น Paper by 53 มากกว่าตัวอื่นๆ การที่ 53 ออกตัว stylus ที่เพิ่มความสามารถ ความสะดวกและลูกเล่นให้แอพพลิเคชั่นของตัวเองได้มากขึ้น จึงไม่ลังเลที่จะซื้อตัวนี้ อีกทั้งการออกแบบนั้นดูดีมากๆ ได้ลองวาดรูปด้วย Pencil มาได้สักพักหนึ่งแล้ว จึงนำมาแนะนำและเขียนถึงสักเล็กน้อย ผมชอบมันมากครับ

PENCIL by FiftyThree

Pencil by 53 มีให้เลือกสองแบบคือ ด้ามเป็นไม้ Wallnut มีแม่เหล็กที่ด้ามทำให้วางติดกับเคสของ iPad ได้ กับอีกแบบที่ด้ามเป็นอลูมิเนียม ราคาก็ต่างกันเล็กน้อย 59.95 USD(1,936 บาท)สำหรับด้ามไม้(Wallnut) และ 49.95 USD(1,613 บาท)สำหรับด้ามอลูมิเนียม(Graphite)

Pencil model

ตอนสั่งซื้อยังเป็นแบบพรีออเดอร์ต้องรอเกือบเดือนกว่าๆ ล่าสุดตอนนี้มีของพร้อมส่งแล้ว แต่ยังจำกัดการสั่งซื้อเฉพาะอเมริกาและแคนนาดาเท่านั้น ตอนที่สั่งฝากให้เพื่อนที่อเมริกาหิ้วเข้ามาให้ครับ โดยเลือกตัวที่ด้ามเป็นไม้

แกะกล่อง Pencil by 53

Packaging ของ Pencil by 53

Pencil ถูกบรรจุมาในกล่องกระดาษทรงกระบอกสวยงาม กระทัดรัด เปิดออกก็จะเจอ stylus เสียบอยู่ข้างในพร้อมกับ คู่มือและหัวสำรองของปากกาหัวท้ายอย่างละอัน

อุปกรณ์ที่มาให้มาในกล่อง Pencil

Pencil เวลาใช้งานจะเชื่อมต่อกับ iPad ผ่านทาง Bluetooth การเชื่อมต่อก็ง่ายมากแค่จิ้มลงปุ่ม Pencil ใน Paper app ไม่ต้องเข้าไป setting ให้วุ่นวาย (ต้องเปิด Bluetooth ใน iPad ก่อนนะ) และต้องมีการชาร์ตไฟให้ Pencil ด้วย ซึ่งสามารถใช้งานได้ราว 1 เดือนต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง ถึงแบตเตอรี่หมดก็ยังใช้งานเป็น stylus เขียนแบบธรรมดาได้ แต่จะใช้งานฟีเจอร์พิเศษไม่ได้เท่านั้นเอง

วิดีโอแนะนำการเชื่อมต่อ Pencil กับ iPad

ถอดส่วนหัวออกมาเพื่อนำไปชาร์ต
เสียบชาร์ตไฟกับช่องเสียบ usb

เมื่อไฟเต็มไฟ LED จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ดูวิดีโอแนะนำวิธีชาร์ตได้ที่ https://vimeo.com/79440652

เชื่อมต่อกับ iPad

การใช้งาน นอกจากจะเป็น stylus แบบธรรมดาใช้เขียน ใช้วาดแทนมือได้แล้ว เมื่อเชื่อมต่อกับ iPad และใช้แอพพลิเคชั่น Paper by 53 แล้วมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาดังนี้

ฟีเจอร์เด่นของ Pencil

1. Palm Rejection คือ สามารถว่ามือลงบนจอ iPad ได้เวลาเขียน โดยแอพพลิเคชั่นจะรู้ได้ว่าส่วนไหนเป็น Pencil ส่วนไหนเป็นมือ ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเขียนลงกระดาษจริงๆ อันนี้ต้องบอกว่ามีประโยชน์มากเพราะเวลาเขียนหรือวาดเลี่ยงยากที่มือเราจะไม่โดนจอเลย ทำให้เขียนได้ถนัดมากขึ้น

Palm rejection

2. Erase ด้านท้ายของ Pencil จะมียางที่เป็นวัสดุเป็นยางเหมือนกับด้านหัว มันคือยางลบ(เหมือนกับดินสอจริงๆเลย) ที่ตรงท้ายของด้ามจะเป็นยางลบเมื่อหมุนกลับด้านมาก็ลบได้เลย ความจริงที่แอพก็มียางลบให้แต่เมื่อมียางลบตรงท้ายมาให้ ทำให้สะดวกขึ้น ไม่ต้องสลับไม่มา การวาด การเขียนก็ไม่สะดุด ราบลื่นต่อเนื่อง

Erase

3. Blend นอกจากตรงท้ายมันจะเป็นยางลบแล้ว เมื่อเราถือ Pencil ไว้แล้วเอานิ้วลงไปถูที่จอ จะเป็นเหมือนเราเอานิ้วลงไปถูสีน้ำที่อยู่บนกระดาษจริงๆเลย เหมือนกับการเกลี่ยสี (Blend) ตรงนี้สามารถตั้งค่าให้รูปแบบการใช้งานแบบนี้เป็นอย่างอื่นได้นะ เลือกได้ 3 แบบคือ Blend, Draw และ Nothing

Blend

วิดีโอแนะนำ Pencil by 53

ความรู้สึกหลังใช้งาน

หัวของ Pencil เป็นยางอ่อนๆเวลาวาดเขียนให้ความรู้สึกเหมือนใช้พู่กันเลยทีเดียว ซึ่งมันดีมากถ้าใช้หัว brush แบบพู่กัน แต่จะคุมยากนิดหนึ่งเมื่อเลือก brush เป็นปากกา หรืออาจเพราะเราใช้ iPad mini จอธรรมดา ทำให้การวาดไม่ค่อยเต็มประสิทธิภาพเท่าไหร่ ถ้าเป็น iPad ตัวใหญ่น่าจะวาดสนุกกว่านี้แน่นอน อีกอย่างตัว Blend บางทีการใช้งาน Draw ด้วย Pencil มันก็โผล่มา จึงเลือกปิดไป แล้วเมื่อรูปไหนจะใช้ค่อยเปิดใช้งานซึ่งก็ให้ภาพที่น่าประทับใจ กินแบตน้อยตั้งแต่ได้มาเพิ่งชาร์ตไปสองครั้ง โดยรวมแล้วชอบมากครับ สิ่งที่อยากให้ปรับปรุงคือฟีเจอร์ Blend ที่บางครั้งแยกไม่ได้ว่าเป็นนิ้วหรือปากกา รออัพเดตแล้วกัน

ผลงานที่ทดลองวาดด้วย Pencil 

FiftyThree blog

สิ่งหนึ่งที่ภูมิใจเล็กๆคือผลงานชิ้นหนึ่งของเราได้ลงใน tumblr ของ FiftyThree ด้วย ตัวลอยได้ไปหลายวันเลย เข้าไปกดไลค์ได้ที่นี้ครับ https://madewithpaper.fiftythree.com/post/79458033978/bright-light-little-lamp-made

เข้าไปดูผลงานอื่นๆได้ที่ https://sarapuk.tumblr.com

โคมเหงา

 

ทดสอบการใช้ Blend

 

ซูชิ

 

เรือใบในม่านหมอก

 

กล้องแพง

Tinkercad โปรแกรมออกแบบงาน 3D อย่างง่าย ใช้งานออนไลน์ผ่านหน้าเว็บ

Tinkercad

Tinkercad เป็นโปรแกรมออกแบบงานทางด้าน 3 มิติ ใช้งานผ่านทางเว็บบราวเซอร์ เป็นของบริษัท Autodesk บริษัทที่ทำโปรแกรม 3 มิติที่ดังๆอย่าง 3ds Max, Maya, AutoCAD นั้นแหละ

Tinkercad เป็นโปรแกรมออนไลน์ที่ใช้ได้ฟรี ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย รวดเร็ว โปรแกรมจะมีรูปทรง 3 มิติพื้นฐานบางส่วนมาให้ เราสามารถสร้างรูปร่างที่ซับซ้อนจากการประกอบรูปทรงพื้นฐานเหล่านี้ได้ จากรูปทรงพื้นฐานที่ธรรมดาๆ บวกกับความคิดสร้างสรรค์ก็สามารถประกอบรูปร่างให้มันเป็นรูปทรง 3 มิติที่น่าทึ่งได้เช่นกัน ลักษณะเหมือนต่อเลโก้ นอกจากนี้โปรแกรมยังมีความยืดหยุ่นสูง โดยอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถสร้างรูปทรงจากโค้ด JavaScript ได้อีกด้วย(แนวคิดเดียวกับ Minecraft) ตัวอย่างเจ๋งๆที่มีคนทำไว้ เช่น Godzillaรถแข่ง, เรือ+ปราสาท ลองเข้าไปดูตัวอย่างอื่นๆได้ที่ Discover

นอกจากนี้ ตัวอัพเดตล่าสุดของ Tinkercad เราสามารถ Export โครงสร้าง 3 มิติเข้าไปในเกม Minecraft ได้อีกด้วย ต้องถูกใจขาเกมแน่นอน เท่าที่เข้าไปเปิดดูใน Discover ที่แชร์ในเว็บไซต์มีหลายคนสร้างปราสาทเพื่อนำเข้า Minecraft เยอะพอสมควรเลย เรียกได้ว่าเป็นส่วนเสริมเกม Minecraft อีกตัวหนึ่งก็คงได้

Download for Minecraft

ดูตัวอย่างการ Export ปราสาทที่สร้างใน Tinkercad แล้วนำเข้าไปในเกม Minecraft ได้ในคลิป

https://www.youtube.com/watch?v=LnT1ZGQ0Abo

เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมออนไลน์ที่ใช้ได้ฟรี คนที่อยากลองสร้างผลงาน 3 มิติไม่ควรพลาด จะทำแบบง่ายๆไปจนถึงสุดล้ำก็น่าลองทั้งนั้น

เข้าไปเล่น Tinkercad ได้ที่ https://tinkercad.com

via: Polygon

Exit mobile version