หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน อ่านแล้วครับ

, , 5 Comments

Steve Jobs by Walter Isaacson

หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson, สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน
ผู้เขียน: Walter Isaacson
บรรณาธิการ: สุทธิชัย หยุ่น
ผู้แปล: ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ
720 หน้า ราคา 595 บาท
สำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์

หนังสืออัตชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน (Steve Jobs by Walter Isaacson) อ่านจบไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน เลยขอเขียนถึงหน่อยครับ นานๆจะได้อ่านหนังสือที่หนาๆขนาดนี้จบสักที ขอขอบคุณพี่มิค ที่ให้ยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านก่อนเจ้าตัวจะได้อ่านเสียอีก ใจดีมากๆ เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ในการอ่านยังคงอยู่บนรถตู้ และ BTS ต้องหิ้วไป-กลับระหว่างหอพักกับที่ทำงานตลอดหนึ่งอาทิตย์หนักพอสมควรเลย

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple ที่เคยใช้โรงรถในการทำคอมพิวเตอร์ขาย แล้วก็กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก(ปี 2011) หนังสือที่เกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ เราจะพบว่ามีอยู่มากมายหลายเล่ม แต่เล่มนี้ิถือว่าเป็นเล่มแรกและเล่มเดียวที่สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนร้องขอ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ให้มาเขียนชีวประวัติของตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสตีฟ จ๊อบส์ ผ่านการสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้ง และคนรอบตัวเขากว่า 100 คน คนในครอบครัว เพื่อน คู่แข่ง ซึ่งส่วนใหญ่สตีฟ จ็อบส์ จะเป็นคนยุให้คนเหล่านั้นออกมาพูดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเขาเอง

ในหนังสือ สตีฟ จ็อบส์ ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่เขาอยากทำหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองนั้น เพราะเขาอยากให้ลูกๆรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น ผ่านทางมุมมองของตัวเอง ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้มาเล่าให้ฟัง ซึ่งเขารู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว ความจริงแล้วในตอนที่สตีฟ จ๊อบส์กำลังตามจีบให้ วอลเตอร์ ไอแซคสัน มาเขียนหนังสือให้นั้น ไอแซคสัน ยังไม่อยากเขียนเขาบอกว่า ถ้าจะเขียนจริงๆ เขาคิดว่าคงอีกประมาณสัก 10 ปี ต่อจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม (คงประมาณว่าให้คุณเป็นตำนานก่อน) ตอนนั้นไอแซคสันยังไม่รู้ว่าสตีฟป่วยเป็นมะเร็งแล้ว สุดท้ายด้วยหลายๆอย่างทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้น และพิมพ์ออกมาได้หลังจากสตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวติได้ไม่นานหนัก หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์โดยที่สตีฟ จ็อบส์ บอกว่าเขาจะไม่อ่านมันก่อน และเขาคิดว่าเนื้อหาข้างในมันต้องมีหลายอันที่จะทำให้เขาโกรธมากแน่ๆ เพราะเขาอยากให้มันเป็นมุมมองที่คนอื่นๆมองเขา

สตีฟ จ็อบส์ เป็นผู้ชายที่ลึกลับ มีอารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด เหี้ยม ดื้อรัน ดุดัน หยาบคาย สบถแรงๆแบบไม่ไว้หน้าใคร บางทีก็อ่อนไหว ร้องไห้ เป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ มินิมัลลิซั่ม เชื่อว่าอะไรยิ่งน้อยยิ่งดี ในหัวเขาข้างในเหมือนจะแบบไบนารี่คือมีแค่ 1 กับ 0 ทุกๆอย่างในโลกนี้ในสายตาเขามีอยู่แค่สองแบบคือ “ยอดเยี่ยมสุดๆ” กับ “ห่วยสุดๆ” ไม่ว่าอะไรก็ตามจะถูกแบ่งเป็นแค่สองอย่างเท่านั้น เช่น พนักงานก็มีแค่เกรดเอ กับห่วยแตก(มักจะโดนไล่ออก) ถ้าอะไรที่เกิดมีระหว่างกลางขึ้นมาเขาจะทำเป็นไม่สนใจไปเลยเหมือนพยายามจะตัดสิ่งนั้นออกจากชีวิตไปเลย

เกี่ยวกับสตีฟ จ๊อบส์ และคนอื่นๆที่ถูกกล่าวถึง

  • เขาเคยไปแสวงบุญที่อินเดียนานถึง 7 เดือน นับถือพระพุทธศาสนา นิกายเซน
  • เป็นมังสวิรัติผลไม้ ครั้งหนึ่งแม่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมการกินของเขา แต่สตีฟก็บ่นแม่กลับไปว่า “แม่ ผมเป็นนักมังสวิรัติผลไม้ กินแต่ใบไม้ที่สาวพรหมจรรย์เด็ดจากต้นกลางแสงจันทร์” (ติสต์แตกจริงๆ)
  • สตีฟ วอซเนียก เป็นวิศวกรที่ร่วมก่อตั้งบริษัทมาพร้อมกัน เป็นคนขี้อาย ใจดี สุภาพ เก่งมาก เป็นคนซื่อสัตย์ ที่น่านับถือมาก เป็นคนออกแบบ Apple I,II ที่ทำเงินให้บริษัทมากกว่า 75% ในช่วงเริ่มต้นบริษัทช่วงที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ต่างใช้เงินจากรายได้ของผลิตภัณฑ์ที่สตีฟ วอซเนียก คิดค้นขึ้นมา แต่กลับได้รับความสนใจน้อยมาก (แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่)
  • สตีฟ จ๊อบส์ มีลูกสาวชื่อ ลิซ่า และก็ทิ้งเธอไปตอนที่สตีฟอายุ 23 ปี ซึ่งเป็นอายุที่เท่ากับอายุของแม่ของเขาทิ้งเขาไปพอดี (ตอนหลังก็กลับไปรับผิดชอบ)
  • ดูเหมือนว่าเขาจะรักลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง และค่อนข้างจะฝากความหวังไว้กับลูกชายหลายอย่าง เช่น พาไปประชุมด้วย เคยบอกว่า อยากจะให้ดูแลบริษัท Apple ด้วย
  • หลายคนลงความเห็นว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนที่ทำงานด้วยได้ยากลำบากมาก ซึ่งเหมือนเขาจะรู้ตัวนะแต่ก็ยังทำพฤติกรรมเหมือนเดิม สตีฟบอกว่าเขามีหน้าที่บอกคนนั้นว่า “ห่วย” (ด่าแรงๆ) เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำ สุดท้ายก็จะได้ผลงานห่วยๆ แต่คนอื่นก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้
  • กรรมการบริษัทชุดที่เคยไล่เขาออก เมื่อเขากับมาอีกครั้ง ถูกเขากดดันให้ลาออกหมดทั้งชุดเลย แล้วก็สรรหาชุดใหม่เข้ามาแทน ซึ่งค่อนข้างสนับสนุนตัวเขาเป็นอย่างดี
  • คนที่อยู่ใกล้เขาจะเหมือนว่าถูกดูดเขาไปอยู่ใน “สนามความจริงที่ถูกบิดเบือน” (Reality distortion field) ว่ากันว่า จะรู้สึกคล้อยตาม เชื่อใจและมีพลัง ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ให้สำเร็จลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • ในการพรีเซนต์เปิดตัวสิ้นค้าแต่ละครั้งของเขา ที่เราเห็นเรียบง่าย ตื่นเต้นนั้น เบื้องหลังนั้นผ่านการซ้อมมาอย่างดี มีการแก้ไข ให้คนรอบรอบข้างช่วยดู สรุปว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดีมากๆ เหมือนซ้อมละครเวที ยังไงยังงั้นเลย
  • สตีฟ จ๊อบส์ หมดเงินไปกับ Pixar ประมาณ 50 ล้านเหรียญซึ่งเป็นเงินครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้มาจากการขายหุ้น Apple ทิ้งตอนที่ถูกไล่ออกจากบริษัท(เหลือไว้ 1 หุ้น) ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากของบริษัท Pixar ที่รอเงินสนับสนุนจากนายทุนและรอขายกิจการ
  • สตีฟ จ็อบส์ ปฎิเสธการรักษาตั้งแต่ตอนต้นที่ตรวจพบมะเร็งตับอ่อน คนในครอบครัว และเพื่อนๆคนสนิท ต่างขอร้องให้เขาเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำเป็นไม่สนใจ และปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปกว่า 9 เดือน จนมะเร็งลุกลาม ทำให้ยากต่อการรักษา บางทีถ้าไม่รั้นก็คงอาจจะยังมีชีวิตอยู่
  • ช่วงที่ป่วยหนักมีหลายคนเข้ามาพบเขา เช่น ลาร์รี่ เพจ ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลเคยเข้ามาขอคำแนะนำจากสตีฟ จ๊อบส์ เขาพูดถึงการจะยึดอำนาจกลับจากเอริก ชมิดต์ ส่วนสตีฟแนะนำให้เขาโฟกัสแค่บางผลิตภัณฑ์ไม่ใช่คุมเป็นร้อยๆตัว ซึ่งผมคิดว่าลาร์รี่ เพจ ก็เอาข้อแนะนำของสตีฟมาทำจริงๆจากที่เราได้เห็นช่วงหลังๆที่ผ่านมา เมื่อลาร์รี่ เพจ ขึ้นเป็นซีอีโอ กูเกิล ไล่ปิดบริการต่างๆเยอะมาก
  • บิล เกตส์ คู่แข่งทางธุรกิจตลอดกาล ก็เข้ามาพบสตีฟ จ๊อบส์ เหมือนกัน โดยเขายอมรับว่าระบบปิดของสตีฟที่คุมทุกอย่างทั้งฮาร์ตแวร์ ซอร์ฟแวร์ก็ได้ผลเหมือนกัน ส่วนระบบเปิด(Windows)ของเขานั้นก็ได้ผลเป็นที่ประจักอยู่แล้ว แต่เขาคิดว่าระบบปิดของสตีฟนั้นจะได้ผลดีก็เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น!

เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

  • ที่บริษัท Apple พนักงานด้านออกแบบดูเหมือนจะมีอำนาจมากกว่าพวกพนักงานวิศวกร โดยเฉพาะ โจนาธาน ไอฟฟ์ จะรับคำสั่งจากสตีฟ จ๊อบส์โดยตรง ถ้ามีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายวิศกรกับนักออกแบบ นักออกแบบมักจะชนะเพราะสตีฟถือหางข้างนี้อยู่
  • ที่บริษัท Apple มีรางวัลมอบให้แก่คนที่กล้าเถียงสตีฟ จ๊อบส์ ด้วยนะ ซึ่งสตีฟ จ๊อบส์เองก็ดูเหมือนจะชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ใครที่จะเถียงต้องเตรียมตัวมาดีมากๆๆๆ ถ้าเถียงแล้วอาจรุ่งไปเลย หรืออาจจะดับไปเลยก็ได้
  • การสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆมักจะเริ่มต้นด้วยการ ระดมสมองกันว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มันห่วยแตกยังไง แล้วทุกคนก็จะรุมด่าว่าไม่ดียังไงบ้าง แล้วค่อยคิดหาวิธีแก้ไข ออกแบบใหม่ ส่วนใหญ่ระดมสมองกันในแคมป์ช่วงพักผ่อน
  • iPad เป็นโครงการที่เกิดมาก่อน iPhone แต่ถูกพักไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนมาทำ iPhone ก่อน สุดท้ายหลายๆอย่างที่ได้จาก iPhone ก็นำไปต่อยอดอีกทีกับ iPad
  • เริ่มต้นโครงการ iPhone มีการพัฒนาสองโครงการพร้อมกันคือ แบบที่พัฒนาต่อจาก iPod ที่มี click wheel (หน้าตาคงเท่น่าดู) ซึ่งทำให้ใช้งานยาก กับแบบที่เป็นจอทัชสกินที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
  • App Store ตอนแรกสตีฟ จ๊อบส์ ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เถียงกันหลายรอบมาก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเอาโปรแกรมมาใส่ในเครื่องของตัวเอง จนสุดท้ายก็ยอม แต่ยอมแบบมีเงือนไข ต้องให้อยู่ในมาตรฐานที่ Apple กำหนดขึ้น
  • สตีฟ จ็อบส์ อยากปฎิวัติวงการทีวี ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองคิดออกแล้ว(คิดว่าตอนนี้ Apple น่าจะเริ่มโครงการไปแล้ว)

ยังมีอีกหลายเรื่องที่อ่านแล้วสนุกมากในหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่เราได้เห็นข่าวหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นของโลกไอที เราได้อ่านเบื้องหน้าของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านทางสื่อต่างๆ แต่หนังสือเล่มนี้เปิดเผยให้เห็นเบื้องหลังที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

สุดท้ายมานั่งคิดว่า เคยได้ฟังปาฐกถาของสตีฟ จ๊อบส์ ในงานรับปริญญาของแสตนฟอร์ดเมื่อนานมาแล้ว ในหนังสือมีเขียนถึงเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน โดยเผยให้เห็นว่าตอนแรกเขาพยายามจะให้นักเขียนบทมืออาชีพมาช่วยเขียน แต่สุดท้ายก็เขียนขึ้นเองแล้วก็ให้คนรอบข้างช่วยดูอีกที ผมมานั่งดูอีกครั้ง พบว่าสามเรื่องที่เขาพูดถึงในการปาฐกถาครั้งนั้นมันครอบคุมชีวิตของเขาได้อย่างดีอย่างไม่นาเชื่อ กลายเป็นว่าหนังสืออัตชีวประวัติเล่มนี้เป็นส่วนขยายการพูดครั้งนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือเรียกได้ว่า ถ้าจะสรุปหนังสือเล่มหนาขนาด 720 หน้าให้สั้นที่สุด และดีที่สุด ก็คือปาฐกถาอันนี้แหละ ใช่เลย!

สรุปส่งท้าย ถึงจะรวย เก่ง อัจฉริยะ มากแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นความตาย แต่สิ่งที่เหลือไว้ก็คือ ผลงาน และความสร้างสรรค์ ที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง

เป็นหนังสือที่อ่านสนุก และได้แรงบันดาลใจดีเยี่ยมครับ

 

5 Responses

    • sarapuk

      28 มิถุนายน 2012 17:42 pm

      สรุปแบบย่อๆครับ(ย่อจริงๆนะ) ยังมีส่วนที่สนุกๆในหนังสืออีกเยอะเลยครับ เช่น แกไปแสวงบุญที่อินเดีย แล้วไปกินอาหารไม่สะอาดเข้า ขี้แตกไปเป็นอาทิตย์ เรื่องอะไรประมาณนี้ครับ ต้องอ่านครับ

      ตอบกลับ
        • sarapuk

          28 มิถุนายน 2012 17:51 pm

          ยังมีเรื่อง ฮาๆ อย่างเช่น เอาโลโก้แอปเปิ้ลมาทำเป็นธงโจรสลัด (เหมือนตรากระโหลกกระดูกไขว้แต่เปลี่ยนหัวกระโหลกเป็นโลโก้แอปเปิ้ล) แล้วก็เอาไปปักไว้บนตึกบริษัท ไม่ควรพลาดครับ

          ตอบกลับ

Leave a Reply